หลางฉ่างกำไข่มุกที่สะท้อนแสงรางๆ สีหน้ามีความสุขของฮั่วเสี่ยวหมานยามเปิดฝากล่องผุดขึ้นมาในสมองเขา นางในยามนั้นงดงามบริสุทธิ์ไม่มีที่เปรียบ หัวใจของเขาสั่นไหว สายตาของเขาค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นอ่อนโยน และเต็มไปด้วยความอบอุ่นใจ
ซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยยืนอยู่ข้างกายเขา มองเห็นอย่างชัดเจน นางถอนหายใจ แล้วเอ่ยว่า “เสี่ยวหมานเป็นถึงบุตรีแห่งจวนโหว มีเครื่องประดับล้ำค่าให้นางเชยชมไม่รู้ตั้งมากมายเท่าใด หลายปีมานี้ กลับให้ความสนใจกับของขวัญที่พระองค์มอบให้เป็นพิเศษ เห็นได้ว่าผู้มอบของขวัญมีความสำคัญต่อนางถึงเพียงใด! องค์รัชทายาท อวิ๋นฮุ่ยเติบโตมาพร้อมกับเสี่ยวหมาน รู้ดีว่านางเป็นคนนิสัยเถรตรงและปากไว แต่ลึกๆ แล้วเป็นคนดีมาก หัวใจของนางมั่นคงต่อพระองค์ เพื่อพระองค์แล้ว นางยอมเปลี่ยนแปลงตนเอง กระทั่งเป็นฝ่ายยอมรับหม่อมฉันในฐานะชายารองก่อน ภรรยาเช่นนี้ มิใช่มารดาแห่งแผ่นดินที่พระองค์ทรงต้องการหรอกหรือเพคะ?”
หลางฉ่างจ้องมองไข่มุกสีขาวในมือ กล่าวด้วยสายตาที่ไหวระริก “พักนี้หมานเอ๋อร์เปลี่ยนไปมากจริงๆ…”
“แทนที่จะเฝ้าคะนึงหาผู้ที่อยู่แสนไกล มิสู้ถนอมรักษาคนตรงหน้าไว้ให้ดี” ซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยถอนหายใจ แล้วค่อยๆ ก้าวเท้าไปกลางลานสวน เอ่ยด้วยสายตาหนักแน่น “ในเมื่อองค์รัชทายาทรู้นิสัยหม่อมฉัน ก็ย่อมรู้ว่าหัวใจของอวิ๋นฮุ่ยไม่ได้อยู่ในวังหลวงแห่งนี้ หม่อมฉันเพียงต้องการผู้ที่มีรักเดียว ต้องการเป็นภรรยาธรรมดา ที่ได้ใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายเท่านั้นเพคะ”
หลางฉ่างเก็บงำความคิด แล้วเก็บต่างหูข้างนั้นไว้ในอกเสื้อ จากนั้นก็หันไปมองเงาร่างสีเขียวอ่อนที่ยืนอยู่กลางสวน ราวกับต้องการสลักภาพนั้นไว้ในส่วนลึกของหัวใจ เขากล่าวด้วยน้ำเสียงเศร้าหมองเล็กน้อย “ไม่รู้ว่าผู้ใดจะมีบุญได้ครอบครองหัวใจของอวิ๋นฮุ่ย”
ซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยหันกลับมาแย้มยิ้ม “องค์รัชทายาทเป็นว่าที่ฮ่องเต้ของแคว้นเรา ต้องแบกรับภาระบ้านเมืองมากมาย เรื่องเล็กน้อยของอวิ๋นฮุ่ย พระองค์จะกลัดกลุ้มไปไยเล่าเพคะ?”
หลางฉ่างเดินเข้ามาใกล้นาง แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “สำหรับข้า เรื่องของอวิ๋นฮุ่ยไม่เคยเป็นเรื่องเล็ก ภายหน้าหากอวิ๋นฮุ่ยพบคนในดวงใจ หลางฉ่างจะขอทำทุกอย่างเพื่อความสุขของเจ้า ขอเพียงอวิ๋นฮุ่ยมีความสุข หลางฉ่างก็พอใจแล้ว”
หัวใจของซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยสั่นสะท้าน ดวงหน้างามแปรเปลี่ยนเป็นซาบซึ้ง นางก้าวเข้ามาแล้วค้อมกายอย่างงดงาม แย้มยิ้มแล้วกล่าวอย่างจริงใจ “น้ำใจของพี่ชาย อวิ๋นฮุ่ยขอขอบคุณล่วงหน้า!”
หลางฉ่างยิ้มเล็กน้อย ความรู้สึกขมฝาดในใจค่อยๆ จางหายไป
ซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยพลันนึกขึ้นได้ จึงถามเขา “ใช่แล้ว เหตุใดจู่ๆ องค์รัชทายาทจึงเสด็จมาที่นี่เล่าเพคะ?”
หลางฉ่างยังไม่ทันตอบ เสียงของตงฟางเจ๋อก็พลันดังออกมาจากห้องด้านใน “เป็นเจ๋อที่ตั้งใจเชิญองค์รัชทายาทมาเอง”
ซูหลีขานเรียก “เสด็จพี่”
หลางฉ่างหันกลับไป เห็นเพียงเงาร่างของคนคู่หนึ่งเดินเคียงข้างกันออกมาจากในห้องหนังสือ พลันตกตะลึง “ฉางเล่อ? ฮ่องเต้แคว้นเฉิง? เหตุใดพวกท่าน…”
ตงฟางเจ๋อเอ่ยเสียงราบเรียบ “องค์รัชทายาทเสด็จมาตามนัดหมายได้ เจ๋อซาบซึ้งยิ่งนัก”
หลางฉ่างครุ่นคิด ไม่นานก็พลันกระจ่าง เขากล่าวด้วยความตกตะลึง “คนที่ฉางผิงโหวต้องการตัวก็คือท่าน?” เขาหันไปมองซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยอย่างไม่อยากเชื่อ ตกตะลึงไม่หาย ลึกๆ ในใจเริ่มกังวล “อวิ๋นฮุ่ยใจกล้าเกินไปหรือไม่ เจ้าซ่อนตัวฮ่องเต้แคว้นเฉิงไว้ในจวน หากเมื่อครู่ฮั่วถิงชวนจับได้ รู้หรือไม่ว่าเจ้าจะมีโทษสถานใด?”
ซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยถอนหายใจ แล้วกล่าวว่า “ความร่วมมือของสองแคว้นถูกบ่อนทำลายครั้งแล้วครั้งเล่า เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ ถึงแม้อวิ๋นฮุ่ยเป็นเพียงสตรีอ่อนแอ แต่กลับมิอาจนิ่งดูดาย ฉะนั้นจึงได้ลักลอบช่วยเหลือฮ่องเต้แคว้นเฉิงเงียบๆ เพคะ”
“เสด็จพี่” ซูหลีเอ่ยพลางทอดถอนใจ “เพื่อสืบหาความจริงโดยเร็วที่สุด พวกเราจำต้องทำเช่นนี้อย่างเสียมิได้ โชคดีที่วันนี้ไม่เกิดปัญหา”
สายตาของซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยไหวระริก นางเดินเข้าไปกุมมือซูหลี สองสาวมองตากันอย่างลึกซึ้ง ก่อนจะแย้มยิ้มเล็กน้อย คำพูดมากมายแม้ไม่เอ่ยออกมาก็สื่อถึงกัน ความปรองดองและเชื่อใจหวนกลับคืนมาอีกครั้ง แทนที่ความคับข้องใจที่จางหายไปจนสิ้น
ซูหลีกล่าวอีกว่า “เพียงแต่ไม่รู้ว่าผู้ใดเป็นคนลอบส่งข่าวให้ฮั่วถิงชวนมาค้นจวนถึงที่นี่”
สายตาของหลางฉ่างฉายแววกังวล เขาถอนหายใจอย่างจนใจ ผ่านไปครู่หนึ่ง จึงค่อยถามว่า “ฮ่องเต้แคว้นเฉิงนัดข้ามาที่นี่ เดาว่าคงพบเบาะแสคดีระเบิดโรงหล่อแล้วกระมัง?”
ตงฟางเจ๋อกล่าว “ตอนที่เซิ่งฉินไปค้นหาเบาะแสในบ้านของผู้ต้องสงสัย ได้ประมือกับชายปิดหน้าคนหนึ่ง เขาเห็นรอยสักรูปปลารอยเล็กๆ บนข้อมืออีกฝ่าย หากมิใช่เขาบังเอิญกระชากแขนเสื้อชายปิดหน้าคนนั้นจนขาด เกรงว่าคงจะไม่เห็น”
“รอยสักรูปปลา?” หลางฉ่างได้ยินก็พลันหน้าเปลี่ยนสี เขาก้มหน้า สายตาสับสนลังเล
ซูหลีกล่าวอย่างสงสัย “แต่อาศัยเพียงรอยสักรูปปลาจะมั่นใจได้เช่นไรว่าชายปิดหน้าคนนั้นเกี่ยวข้องกับผู้ต้องสงสัย?”
ตงฟางเจ๋อเอ่ยเสียงขรึม “ชายปิดหน้าคนนั้นหนีรอดไปได้ เซิ่งฉินเจอจี้หยกที่มีลวดลายเหมือนรอยสักนั้น น่าจะเป็นสัญญาณลับในการติดต่อกันของพวกเขา เพียงเสียดายที่ยังสืบหาความหมายของรอยสักรูปปลาไม่ได้”
ซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยกล่าวอย่างไม่เข้าใจ “เหตุใดสัญญาณลับในการติดต่อกันอันหนึ่งเป็นรอยสัก อันหนึ่งเป็นจี้หยกเล่า?”
ซูหลีเอ่ยด้วยสายตาครุ่นคิด “หากอีกฝ่ายเป็นกองกำลังลับ เกรงว่าจำต้องทำภารกิจให้สำเร็จ จึงจะมีสิทธิ์สักรูปปลาไว้บนข้อมือ”
ซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยกล่าวคล้ายกำลังคิดอะไรบางอย่าง “เช่นนั้นก็หมายความว่า ชายปิดหน้าคนนั้นอาจเป็นผู้บงการในคดีระเบิดโรงหล่องั้นหรือ!”
ซูหลีชะงักงัน จู่ๆ ก็ถามด้วยน้ำเสียงร้อนรน “เสด็จพี่ เสด็จพี่เคยบอกว่าตอนถูกลอบโจมตีที่เขตชายแดน เคยเห็นรอยสักรูปปลาบนข้อมือของหัวหน้าผู้ร้ายด้วย หรือคดีระเบิดโรงหล่อจะเป็นฝีมือของคนคนเดียวกัน?”
หลางฉ่างถอนหายใจเสียงเบา “ใช่แล้ว หากรอยสักเหมือนกัน ก็น่าจะเป็นคนกลุ่มเดียวกัน”
ตงฟางเจ๋อเอ่ยเสียงเย็น “ดูท่าอีกฝ่ายคงไม่ได้หมายหัวข้าคนเดียว แต่เกรงว่าจะมีจุดประสงค์ที่ใหญ่กว่า แต่คล้ายว่าพอข้าไปจากเมืองหลวงแคว้นติ้ง อีกฝ่ายก็หยุดเคลื่อนไหว”
ซูหลีกล่าวอย่างครุ่นคิด “เป็นเช่นนั้นจริงๆ อีกฝ่ายต้องการอะไรกันแน่? ตอนที่ลักพาตัวเสด็จพี่พวกเขาต้องการตัวอาจารย์เซี่ยอย่างเห็นได้ชัด ต่อมาก็คล้ายว่าเพียงต้องการทำลายความสัมพันธ์ของสองแคว้น…”
ซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยเอ่ยพลางคิดใคร่ครวญ “ยุแยงตะแคงรั่วบ่อนทำลายความร่วมมือของสองแคว้น…บีบบังคับให้ฮ่องเต้แคว้นเฉิงไปจากเมืองหลวงแคว้นติ้ง…หรือว่าอีกฝ่ายต้องการพิรุณโปรยปราย?!”
ซูหลีกับตงฟางเจ๋อสบตากัน การที่ความร่วมมือล้มเหลวส่งผลกระทบต่อการแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ของสองแคว้นโดยตรง หรือว่านี่คือจุดประสงค์ของอีกฝ่าย?
ตงฟางเจ๋อพลันฉุกคิดขึ้นมาได้ เขาเอ่ยถามเสียงเข้ม “ตอนที่องค์รัชทายาทถูกซุ่มโจมตี คนที่ช่วยพระองค์ก็คือเซียงซืออวี่?”
หลางฉ่างกล่าว “ใช่ หากมิใช่สหายเซียงเข้ามาช่วยไว้ได้ทัน เกรงว่าข้าคงถูกอีกฝ่ายสังหารไปแล้ว”
ตงฟางเจ๋อแสยะยิ้มเย็นชา “น่าแปลก เซียงซืออวี่มีวรยุทธ์ธรรมดา กอปรกับสุขภาพอ่อนแอ กลับสามารถช่วยองค์รัชทายาทจากอันตรายได้อย่างปลอดภัย ในขณะที่ทหารหลายคนถูกสังหารจนหมด…” เขาหยุดพูดไปครู่หนึ่ง แล้วหันไปมองหลางฉ่างด้วยสายตาแฝงความหมาย “องค์รัชทายาทไม่รู้สึกว่าแปลกบ้างหรือ?”
หลางฉ่างขมวดคิ้วกล่าวว่า “ถึงแม้สหายเซียงมีวรยุทธ์ธรรมดา แต่กลับฉลาดมีไหวพริบ ครั้งที่แล้วฉางเล่อถูกลักพาตัว ก็เป็นเขาที่ช่วยไว้ได้ทัน”
ตงฟางเจ๋อกล่าวเสียงเย็น “หากเขารู้ทุกอย่างล่วงหน้า ก็ย่อมรับมือได้อย่างดีอยู่แล้ว!”
ซูหลีเอ่ยถามด้วยความสงสัย “ท่านสงสัยเซียงซืออวี่หรือ?”
ตงฟางเจ๋อกล่าวอย่างมีความหมายแฝง “เมื่อครู่ท่านหญิงเตือนข้า ความร่วมมือล้มเหลว บีบบังคับให้ข้าจากไป ทำให้ฮ่องเต้แคว้นติ้งไม่พอใจข้า จุดประสงค์สูงสุดของเขามิใช่พิรุณโปรยปราย แต่คือทำให้ข้ากับเจ้าหมั้นหมายไม่สำเร็จ! คนผู้นี้ไม่เป็นมิตรกับข้าตั้งแต่พบกันครั้งแรกแล้ว เอ่ยวาจาแฝงความนัยซ้ำแล้วซ้ำเล่า และตอนนี้…คนที่ได้รับความโปรดปรานจากเสด็จพ่อเจ้า และหมั้นหมายกับเจ้า ก็คือเซียง ซือ อวี่”
ซูหลีอดขมวดคิ้วไม่ได้ นางสับสนและไม่เข้าใจ ถึงแม้เรื่องที่ตงฟางเจ๋อพูดจะไม่ได้ไร้เหตุผลเสียทีเดียว แต่อาศัยเพียงเรื่องแค่นี้ มิอาจตัดสินได้ว่าเซียงซืออวี่เป็นผู้บงการ การปรากฏตัวของเขาบนเรือในวันนั้นน่าสงสัยก็จริง แต่เรื่องที่เขาช่วยนางไว้โดยไม่ห่วงชีวิตก็เป็นเรื่องจริงเช่นกัน และหลังจากนั้นเขาก็ไม่ได้มีการกระทำที่ผิดปกติแต่อย่างใด การหมั้นหมายปลอมๆ ครั้งนี้ นางก็เป็นฝ่ายเสนอเอง ถ้าหากเป็นเขาจริง เช่นนั้นจุดประสงค์ที่แท้จริงของเขาคืออะไรกันแน่?
หลางฉ่างใคร่ครวญอย่างลึกซึ้ง ก่อนจะเอ่ยว่า “ถึงแม้จะเป็นอย่างที่ฮ่องเต้แคว้นเฉิงพูด หากต้องการพิสูจน์ว่าเซียงซืออวี่เป็นผู้บงการจริงหรือไม่ ก็ยังต้องการหลักฐานมากกว่านี้”
ตงฟางเจ๋อกล่าว “ข้าจะรีบส่งคนไปตรวจสอบ หากเจอหลักฐานเมื่อใดจะรีบรายงานให้องค์รัชทายาททราบทันที!”
หลางฉ่างเอ่ยเสียงเข้ม “ได้! แต่ท่านต้องรับปากข้า ว่าจะต้องออกจากเมืองหลวงแคว้นติ้งไปก่อน ยามนี้คำสั่งห้ามยังไม่ถูกยกเลิก ข้าไม่อยากให้เกิดปัญหา ส่วนเซียงซืออวี่ข้าจะระวังให้มาก หากพบเรื่องผิดปกติใด ก็จะรายงานฮ่องเต้แคว้นเฉิงทันทีเช่นกัน”
ตงฟางเจ๋อจ้องหน้าเขานิ่งๆ ก้าวเท้าไปข้างหน้า แล้วเป็นฝ่ายยื่นมือออกไปก่อน
หลางฉ่างชะงักเล็กน้อย จากนั้นก็ก้าวเข้ามาจับมือเขาตอบ แล้วกล่าวเสียงขรึม “ท่านกับข้า ไม่ว่าฝ่ายใดสืบหาเบาะแสเจอก่อน ก็ต้องรายงานให้อีกฝ่ายรู้ทันที พบกันที่โรงเตี๊ยมหงหลง เมืองหลินซี ณ ชายแดนเฉิงติ้ง ไม่พบไม่แยกย้าย!”
——————————-