วันที่แปด เดือนเจ็ด ย่างเข้าฤดูใบไม้ร่วง
องค์รัชทายาทหลางฉางกับฮั่วเสี่ยวหมานบุตรีแห่งจวนโหวเข้าพิธีอภิเษกสมรส เมืองหลวงแคว้นติ้งปกคลุมไปด้วยบรรยากาศรื่นเริง นอกพระราชวัง เต็มไปด้วยสีแดงแห่งความมงคล งานเลี้ยงถูกจัดตั้งแต่ตำหนักบูรพาไปจนถึงประตูพระราชวัง เหล่าขุนนางบุ๋นบู๊เดินเข้าพิธีตามลำดับขั้น พรมสีแดงผืนหนึ่งทอดยาวไปยังห้องโถงใหญ่เป็นระยะทางหลายลี้ วันนี้หลางฉ่างสวมอาภรณ์สีแดงประจำตำแหน่งรัชทายาท ยิ่งขับเน้นให้เขาดูหล่อเหลาสุขุมมากยิ่งขึ้น เขาจูงมือฮั่วเสี่ยวหมานที่แต่งกายเต็มยศไม่ต่างกันเดินขึ้นบันไดไปพร้อมกันอย่างระมัดระวัง สุดท้ายก็มายืนอยู่กลางตำหนัก แล้วค้อมกายให้ฮ่องเต้แคว้นติ้งกับฮองเฮาด้วยท่าทางงดงาม
พิธีอภิเษกสมรสที่เดิมตั้งใจเลื่อนเข้ามาเพื่อปลอบขวัญฮ่องเต้แคว้นติ้ง ถึงแม้จะจัดขึ้นอย่างเรียบง่าย แต่ยังคงหรูหราโอ่อ่า เหมือนดั่งภาพมายาในฝัน แสดงให้เห็นถึงความอุดมสมบูรณ์ของแคว้นติ้งได้เป็นอย่างดี
เหนือบันได ซูหลีกับซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยนั่งในตำแหน่งที่ถัดลงมาจากฮ่องเต้แคว้นติ้งและฮองเฮา กวาดมองไปรอบด้าน ในงานเลี้ยงส่วนมากเป็นขุนนางขั้นสองขึ้นไป รวมถึงเชื้อพระวงศ์ ท่ามกลางกลุ่มคน ซูหลีกลับมองเห็นเงาร่างของเซี่ยอวิ๋นเซวียนนั่งอยู่ข้างประตูอย่างเหนือความคาดหมาย ทั้งสองสบตากันจากที่ไกลๆ ชะงักงันเล็กน้อยก่อนจะละสายตาออกไป นางถอนหายใจ เดาว่าเพราะการตายของเซี่ยหมิงหยาง ทำให้เสด็จพี่ละอายใจ จึงได้สุภาพกับเซี่ยอวิ๋นเซวียนเป็นพิเศษ มิเช่นนั้นเขาซึ่งไร้ตำแหน่งในวัง ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่อาจเข้ามาร่วมพิธีในตำหนักใหญ่ได้อย่างนี้
เมื่อเจ้าหน้าที่พิธีการขานร้องเสียงสูง หลางฉ่างกับฮั่วเสี่ยวหมานก็หันมาคารวะให้กัน กระทั่งเสร็จสิ้นพิธี ฮ่องเต้แคว้นติ้งกับฮองเฮาสบตากันด้วยใบหน้าเกลื่อนยิ้ม รู้สึกปลื้มปีติอย่างบอกไม่ถูก ฮั่วถิงชวนเองก็สุขสมใจไม่ต่างกัน
งานเลี้ยงเริ่มต้นขึ้นอย่างเป็นทางการ บ่าวสาวถูกส่งตัวเข้าห้องหอ เงาร่างสีแดงคู่หนึ่งที่ค่อยๆ ห่างออกไปสะท้อนในครรลองสายตาของซูหลี นางกลับรู้สึกเศร้าสร้อยอย่างบอกไม่ถูก หลางฉ่างเลื่อนงานแต่งเข้ามาเพื่อที่นางจะได้หมั้นหมายกับตงฟางเจ๋อได้อย่างราบรื่น ยามนี้งานแต่งของเสด็จพี่เสร็จสิ้นแล้ว นางกับเขา กลับยังคงอยู่ห่างกันคนละฟากฟ้า ไม่รู้จะได้พบกันอีกเมื่อใด
ยามนี้ข้างกายนาง กลับเป็นเซียงซืออวี่ที่เข้าวังด้วยฐานะราชบุตรเขย ซึ่งกำลังยืนมองทิศทางที่บ่าวสาวเดินจากไปอย่างครุ่นคิดเช่นกัน
ฮ่องเต้แคว้นติ้งเห็นเช่นนั้น ก็หันไปมองซูหลี แล้วเอ่ยพลางแย้มยิ้มอย่างรักใคร่ “รอให้ถึงงานแต่งของฉางเล่อ พ่อจะจัดงานอย่างยิ่งใหญ่! ให้ฉางเล่อของพ่อได้แต่งงานอย่างสมเกียรติ!”
ฮองเฮายิ้มแล้วกล่าวว่า “หม่อมฉันเองก็จะเตรียมชุดแต่งงานที่ดีที่สุดให้ฉางเล่อ ไม่ให้นางรู้สึกน้อยหน้าเด็ดขาดเพคะ!”
ฮ่องเต้แคว้นติ้งกล่าวอย่างเบิกบาน “ดี! องค์หญิงของข้า สมควรได้รับสิ่งที่ดีที่สุด!”
ซูหลีเงยหน้าเล็กน้อย สายตาราบเรียบไร้อารมณ์ ยิ้มแล้วเอ่ยอย่างใจเย็น “ขอบพระทัยเสด็จพ่อและเสด็จแม่มากเพคะ ฉางเล่อไม่ได้ต้องการสิ่งใด ขอเพียงได้อยู่ตอบแทนบุญคุณเคียงข้างเสด็จพ่อและเสด็จแม่ไปนานๆ ก็พอแล้วเพคะ”
รอยยิ้มบนดวงหน้าธิดาอันเป็นที่รักดูสุภาพเรียบร้อย ในสายตากลับไร้ชีวิตชีวา หัวใจของฮ่องเต้แคว้นติ้งบีบรัดเล็กน้อย นึกย้อนไปถึงเมื่อไม่นานมานี้ ยามนางเอ่ยถึงตงฟางเจ๋อเต็มไปด้วยความหนักแน่นและความคาดหวัง สายตาเปล่งประกาย ท่าทางมีชีวิตชีวา ยามนี้นางหมั้นหมายกับเซียงซืออวี่ตามที่เขาต้องการแล้ว แต่เขากลับไม่เคยเห็นนางแย้มยิ้มออกมาจากข้างในอีกเลย อดรู้สึกเศร้าโศกไม่ได้
ฮองเฮากล่าว “ฉางเล่อกตัญญูรู้คุณ ฝ่าบาทกับข้าต่างก็ปลื้มใจยิ่งนัก หากเจ้าไม่อยากแยกออกไปอยู่นอกวัง หลังแต่งงานก็อยู่ในวังต่อ เช่นนั้นยังสามารถอยู่ข้างฝ่าบาทกับข้าได้ทุกวัน! ยังมีฮุ่ยเอ๋อร์…” จู่ๆ นางก็หันไปมองซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ย แล้วกล่าวเชิงตำหนิเล็กน้อย “เจ้าต้องเลือกสวามีได้แล้ว ยามนี้เจ้าอายุครบยี่สิบแล้ว แต่ยังไม่เห็นเงาสวามีเลยแม้แต่น้อย! เจ้าไม่อยากให้ป้าเห็นเจ้าเป็นฝั่งเป็นฝาแล้วใช่หรือไม่?”
ถึงแม้กล่าวด้วยน้ำเสียงตำหนิ แต่สีหน้ากลับเต็มไปด้วยความรักใคร่ ซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยแย้มยิ้ม แล้วกล่าวว่า “เสด็จป้า! อวิ๋นฮุ่ยบอกแล้วว่าไม่รีบ! รอให้อวิ๋นฮุ่ยพบคนที่เหมาะสม ย่อมต้องขอให้ฝ่าบาทกับเสด็จป้าช่วยดูให้อยู่แล้วเพคะ”
ฮองเฮายิ้มอย่างจนใจ “เจ้าน่ะ มีความคิดเป็นของตนเองตั้งแต่เด็ก เหมือนกับพ่อของเจ้า ที่ต้องจัดการเรื่องแต่งงานด้วยตนเองให้ได้ เอาเถิด ตามใจเจ้าก็แล้วกัน ขอเพียงเจ้ามีความสุขก็พอแล้ว!”
ครั้นได้ยินประโยคสุดท้ายของฮองเฮา ฮ่องเต้แคว้นติ้งเงยหน้ามองซูหลี เห็นเพียงสายตาที่ซูหลีมองอวิ๋นฮุ่ยมีแววอิจฉาสะท้อนอยู่รางๆ เขาพลันสะท้านไปทั้งใจ ตั้งแต่กลับมาอยู่ด้วยกัน เขามักคิดหาทางชดเชยความรักของพ่อที่ขาดหายไปสิบกว่าปีให้นางอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าเรื่องใดล้วนยึดความสุขของนางเป็นหลัก มีเพียงเรื่องการแต่งงานของนางที่เขายืนหยัดในความต้องการของตนเอง แต่ทว่า แม้เขาจะทำเพื่อความสุขของฉางเล่อถึงเพียงนี้ ฉางเล่อของเขากลับไม่มีความสุขแม้แต่น้อย!
“ฉางเล่อ!” จู่ๆ ฮ่องเต้แคว้นติ้งก็เรียกนาง ใบหน้าเศร้าหมองของธิดาอันเป็นที่รัก ทำให้ความหนักแน่นในใจเขาเริ่มสั่นคลอน “วันนี้เป็นวันแต่งงานของเสด็จพี่เจ้า ข้าสำราญใจยิ่ง หากเจ้ามีความปรารถนาใด ก็บอกข้าได้ ข้าจะรับปากเจ้าทุกเรื่อง!”
ซูหลีชะงักงันเล็กน้อย เห็นเพียงในดวงตารักใคร่หวงแหนของเขาแฝงไว้ด้วยแววสับสนลังเลรางๆ นางอดสงสัยไม่ได้ “เสด็จพ่อเพคะ?”
เซียงซืออวี่พลันลุกขึ้นยืน ยกถ้วยสุราขึ้น แล้วกล่าวพร้อมรอยยิ้มจริงใจ “ความปรารถนาขององค์หญิง คือได้อยู่ข้างกายฝ่าบาทและฮองเฮาไปนานๆ ซืออวี่กับองค์หญิง ขอให้ฝ่าบาทและฮองเฮาทรงมีพระพลานามัยแข็งแรง พระชนมายุยืนยาว ขอให้แคว้นติ้งเจริญรุ่งเรือง และสงบสุขตลอดไป! สุราถ้วยนี้ ซืออวี่ขอดื่มคารวะฝ่าบาทและฮองเฮา” เอ่ยจบก็แหงนหน้ากระดกสุราหมดในครั้งเดียว
ฮ่องเต้แคว้นติ้งมองดูเขา แล้วลอบถอนหายใจเล็กน้อย วาจาที่ติดอยู่ในปาก กลับถูกกลืนลงไปอีกครั้ง เขายิ้มแล้วชูถ้วยสุราขึ้นดื่มหมดในครั้งเดียว ลึกๆ ในใจยิ่งรู้สึกสับสนลังเล
ไม่นาน หลางฉ่างก็ย้อนกลับมา ฝีเท้ามั่นคง สีหน้าอ่อนโยน สายตาเต็มไปด้วยความอบอุ่น ซูหลีอดถอนใจเบาๆ ไม่ได้ ดูท่าวันนั้นที่จวนแม่ทัพ เสด็จพี่ได้พูดคุยกับอวิ๋นฮุ่ย ทำให้คลายปัญหาในใจได้ พอหลางฉ่างย้อนกลับมา ก็ถูกผู้คนห้อมล้อม ยกถ้วยสุราเพื่อดื่มอวยพร
ครั้นกลุ่มคนค่อยๆ แยกย้ายกันไป หลางฉ่างจึงปลีกตัวเดินมาหา ซูหลีกับเซียงซืออวี่ก้าวออกมาแล้วชูถ้วยสุราขึ้น ยิ้มแล้วกล่าวอย่างจริงใจว่า “วันนี้เป็นวันมงคลของเสด็จพี่ ฉางเล่อขอให้เสด็จพี่กับพี่สะใภ้มีทายาทในเร็ววัน อยู่เคียงคู่กันไปจนแก่เฒ่า!” เอ่ยจบ นางก็ยกสุราขึ้นดื่มหมดถ้วยในคราวเดียว
หลางฉ่างเองก็ดื่มสุราในถ้วยจนหมดในคราวเดียว นัยน์ตาอ่อนโยนสะท้อนแววห่วงใยอย่างชัดเจน “พี่เองก็ขอให้ฉางเล่อสมปรารถนาในสิ่งที่หวังเช่นกัน!”
นางกำนัลเดินเข้ามารินสุรา นึกไม่ถึงกลับถูกขุนนางผู้หนึ่งที่ยืนอยู่ข้างหลังเดินชน กาสุราร่วงตกพื้น น้ำสุราในกาหกใส่รองเท้าผ้าไหมลายมังกรของหลางฉ่าง
ทุกคนตกตะลึง ขุนนางคนหนึ่งร้องขึ้นด้วยความตกใจ “ในพิธีแต่งงาน สุราหกใส่รองเท้าของเจ้าบ่าว…ถือเป็นลางร้าย!”
กลุ่มคนตื่นตะลึง ใบหน้าของฮ่องเต้กับฮองเฮาก็แปรเปลี่ยนเป็นกลัดกลุ้ม ฮั่วถิงชวนตะโกนสั่ง “ทหาร! ลากตัวนางออกไป…”
นางกำนัลตกใจรีบคุกเข่า หวาดกลัวทำอะไรไม่ถูก ทหารเข้ามาหมายจะลากตัวนางออกไป นางกำนัลรีบตะโกน “องค์รัชทายาทโปรดไว้ชีวิตด้วยเพคะ…”
ซูหลีรีบกล่าว “เสด็จพี่เพคะ นางกำนัลมิได้ตั้งใจทำพลาด วันนี้เป็นวันมงคลของเสด็จพี่ หากเกิดเหตุหลั่งเลือดเกรงจะยิ่งเป็นลางร้ายมากกว่า มิสู้สั่งให้นางกลับไปคัดบทพระธรรมและสวดภาวนาให้เสด็จพี่ ไม่ดีกว่าหรือเพคะ?”
หลางฉ่างแย้มยิ้มเล็กน้อย หันไปมองนางกำนัลแล้วกล่าวว่า “องค์หญิงขอร้องไว้ ถือว่าแล้วกันไป เจ้าไปเถิด” นางกำนัลดีใจ รีบโขกหัวขอบคุณแล้วจากไปทันที