ภาค 4 กวาดล้างหมื่นลี้ บทที่ 320 รุดหน้าพร้อมกันแต่ข้ากุมชัย

ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี

สำหรับเมืองทะเลมรกต สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ที่เป็นศัตรูคู่แค้นแต่ไหนแต่ไรมา พลังความสามารถยกระดับขึ้น นับเป็นข่าวร้ายอย่างถึงที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย

ส่วนสำนักเขากว่างเฉิงที่เป็นพันธมิตรพลังความสามารถยกระดับขึ้น มีทั้งส่วนที่เป็นคุณ และก็มีแรงกดดันเช่นกัน

สำหรับตำหนักอัสนีสวรรค์กับสำนักเขาไร้พรมแดน แท้จริงแล้วก็มีปัญหาที่คล้ายคลึงกัน

แม้จะวางตัวเป็นกลาง ดำเนินนโยบายเกาะเดี่ยวเสมอมา หอคลื่นโหมที่ชัยภูมิค่อนข้างอยู่เหนือข้อพิพาท เผชิญหน้ากับสถานการณ์ขาขึ้นที่เห็นได้ชัดว่าเหนือกว่าของสำนักเขากว่างเฉิงและสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ ก็ต้องเสมองเช่นกัน

ขณะเดียวกันที่ต้องการรักษาจุดยืนเป็นกลางเอาไว้ตลอดเวลา เป็นอิสระโดยสิ้นเชิง หากไม่ใช่ไม่มีคุณค่าที่ทำให้ผู้อื่นคอยพะวง ก็เป็นพลังความสามารถที่ทำให้ผู้อื่นไม่กล้าล่วงเกินได้ง่ายๆ

เงื่อนไขแรกหอคลื่นโหมไม่พอใจอย่างแน่นอน

ซึ่งถ้าหากพวกเขาย่ำอยู่กับที่ตลอดเวลา สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์กับสำนักเขากว่างเฉิงกลับรุดหน้า กระนั้นช้าหรือเร็วเงื่อนไขที่สองก็จะเปลี่ยนเป็นไม่พอใจเช่นกัน

หอคลื่นโหมที่วางตัวเป็นกลางยังเป็นเช่นนี้ ทั้งสามสำนัก เมืองทะเลมรกต ตำหนักอัสนีสวรรค์ และสำนักเขาไร้พรมแดนยิ่งไม่ต้องกล่าวถึง

หากไม่สามารถตามเขากว่างเฉิงกับสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ได้ทัน กระนั้นก็ทำได้เพียงค่อยๆ ตกลงรั้งท้าย ค่อยๆ เสียอำนาจเป็นฝ่ายกระทำ ในสถานการณ์ใต้หล้าของโลกแปดพิภพนี้ ทำได้เพียงไหลไปตามกระแสคลื่นอย่างจำใจ

ส่วนสำนักเขาไร้พรมแดน ความต้องการที่เร่งด่วนที่สุด เหมือนเช่นสำนักเขาไร้พรมแดนก่อนหน้านี้ คือต้องปรากฏยอดฝีมือขั้นจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ท่านหนึ่งโดยด่วน

เป็นเช่นนี้แล้วจึงจะควบคุมขวานจามสวรรค์ สามารถหยัดยืนในยุคปัจจุบันได้อย่างภาคภูมิ

ซึ่งสำหรับเมืองทะเลมรกตกับตำหนักอัสนีสวรรค์ การที่สามารถมีจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขึ้นอีกย่อมดีที่สุดแน่นอน ไม่เช่นนั้นก็ต้องมีอาวุธศักดิ์สิทธิ์เป็นของตนเอง!

บนเขากว่างเฉิง เยี่ยนจ้าวเกอพลางหยิบศิลาภูตไม่ดับสูญออกมาจากกระเป๋าย่อส่วน พลางพินิจพิเคราะห์ “หลอมอาวุธศักดิ์สิทธิ์ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ”

“ต่อให้เป็นก่อนหน้าวิกฤตการณ์ใหญ่ ที่การหลอมสร้างอาวุธวิเศษและอาวุธศักดิ์สิทธิ์ง่ายกว่าตอนนี้ยิ่งนัก อาวุธศักดิ์สิทธิ์ก็ไม่ใช่ของที่จะได้มาอย่างง่ายดายปานนั้น”

ความยากที่จะได้มาซึ่งอาวุธศักดิ์สิทธิ์อยู่ที่สองจุด อย่างแรกคือวิธีหลอมสร้าง กระบวนการหลอมมีความยากมหาศาล อย่างที่สองก็คือวัตถุดิบยากอย่างยิ่งจะได้มา

เยี่ยนจ้าวเกอเพ่งพินิจศิลาภูตไม่ดับสูญ “ของเล่นนี้ไม่ใช่วัตถุดิบหลักอย่างแน่นอน น่าจะเป็นวัตถุดิบเสริมที่ค่อนข้างเป็นส่วนสำคัญ”

“มีวัตถุดิบหลักแล้ว จึงจะสามารถกำหนดแบบแผนหลอมสร้างให้แน่นอนได้ หลังจากที่มีแผนการและแนวคิดที่ชัดเจนสำหรับอาวุธศักดิ์สิทธิ์ของตนแล้ว จึงจะสับเปลี่ยนมารวบรวมวัตถุดิบเสริมได้”

“ดูเหมือนว่า เมืองทะเลมรกตมีวัตถุดิบหลักแล้ว ทว่าไม่รู้ว่าจะเป็นของวิเศษแบบใด?”

ชายหนุ่มลูบคางของตน โลกแปดพิภพในปัจจุบัน วัตถุดิบหลักสำหรับหลอมอาวุธศักดิ์สิทธิ์ โดยส่วนใหญ่สามารถพูดได้ว่าต้องเป็นของวิเศษที่มีเพียงส่วนเดียว และแทบหาไม่ได้จึงจะใช้ได้

เนื่องจากปัญหาในเรื่องฝีมือและแผนการหลอมสร้าง อาวุธศักดิ์สิทธิ์ที่หลอมออกมาส่วนมากจึงล้วนค่อนข้างสอดคล้องและเหมาะสมกับความลึกซึ้งในวิชาวรยุทธ์ของผู้หลอม

ทว่าโดยทั่วไปแล้ว เรื่องวัตถุดิบหลักถูกจังหวะหรือไม่ ก็สำคัญเป็นอย่างมากเช่นกัน

ยกตัวอย่างเช่น หากเมืองทะเลมรกตใช้ของล้ำค่ายิ่งสายเพลิงชิ้นหนึ่ง หรือของล้ำค่ายิ่งสายดินมาหลอมอาวุธศักดิ์สิทธิ์ของตน กระนั้นไม่ใช่ใช้ไม่ได้ หากแต่ระดับความยากในการหลอมจะมหาศาลอย่างยิ่งยวด

เยี่ยนตี๋กล่าว “พวกเรากำลังอยู่ในช่วงทุ่มเทพัฒนาไปข้างหน้า คนอื่นๆ แต่ไรก็ไม่ย่ำอยู่กับที่ ทุกๆ คนต่างกำลังยกระดับตัวเอง”

“เจ้าสำนักเขาไร้พรมแดนฉู่เหยียน ได้ยินว่าก็มีความคิดที่จะเข้าฌานอีกครั้งเช่นกัน คิดอยากมุ่งมั่นบ่มเพาะ ทะลวงระดับศักดิ์สิทธิ์”

“จอมยุทธ์ตำหนักอัสนีสวรรค์ นอกจากจะตั้งใจฝึกฝนพัฒนาพลังฝึกปรือตนเองแล้ว ก็กำลังคิดหาวิธีการหลอมอาวุธศักดิ์สิทธิ์ของพวกเขาตลอดเวลาอย่างแน่นอน อีกทั้งไม่ใช่วันสองวัน รุ่นสองรุ่น หากแต่ทุ่มเทเตรียมการมาโดยตลอด”

“แม้ว่าคิดๆ ดูแล้ว หอคลื่นโหมก็ไม่เคยผ่อนปรนการเสาะหาโอกาสและวัตถุดิบ หลอมสร้างอาวุธศักดิ์สิทธิ์ของตัวเองเช่นกัน ต้องการรักษาความเป็นกลางและความเป็นอิสระของตัวเองไว้ ยิ่งแน่วแน่เพียงใด ก็ยิ่งกระจ่างชัดถึงความสำคัญในความแกร่งกล้ายิ่งใหญ่ของตัวเองเช่นกัน” เยี่ยนตี๋เอื้อนเอ่ยอย่างใจเย็น “สำนักเรากับสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ตอนนี้นำหน้าอยู่ก้าวหนึ่ง แต่ถ้าหยุดฝีเท้าไม่เดินหน้า ก็จะถึงวันที่ไม่ได้ถือไพ่เหนือกว่าอีกต่อไปในที่สุด”

เยี่ยนจ้าวเกอยิ้มฉับพลัน “เช่นนั้นท่านว่า ศิลาภูตไม่ดับสูญนี้ พวกเราจะให้หรือไม่ให้?”

เยี่ยนตี๋ระบายยิ้มออกมาเช่นกัน ชี้นิ้วหาเยี่ยนจ้าวเกอ “ให้ เหตุไฉนไม่ให้เล่า?”

“ใช่แล้ว ไยจะไม่ให้เล่า?” เยี่ยนจ้าวเกอยิ้มพลางเอ่ย “ในที่สุดแล้วตอนนี้คือพันธมิตร มีสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์กับตำหนักอัสนีสวรรค์เป็นศัตรูร่วมกัน ทั้งต่างไม่ใช่พวกมักสร้างเรื่องยุ่งยาก เมืองทะเลมรกตเองก็น่าจะเข้าใจจุดนี้เหมือนกัน ต่อให้ภายหลังเกิดการเปลี่ยนแปลงอะไร ก็จัดการพวกสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ก่อนแล้วค่อยว่ากัน”

“ทุกคนวิ่งไปข้างหน้าพร้อมกัน ทว่าพวกเรายังนำหน้าก้าวหนึ่ง เช่นนั้นไม่มีอะไรให้น่าหวั่นใจ”

เยี่ยนจ้าวเกอตบศิลาภูตไม่ดับสูญเบาๆ “พัฒนาพร้อมกัน ความได้เปรียบของเขากว่างเฉิงข้าเพียงมากขึ้นเรื่อยๆ เท่านั้น”

เยี่ยนตี๋ยิ้ม “เรื่องราวใต้หล้ายากคาดเดา ใครก็ไม่กล้าพูดว่าตนเองจะสามารถยิ้มได้ตลอดไป แต่ว่าออกอุบายกับศัตรู ตามหลักก็ควรเป็นเช่นนี้ ออกอุบายกับพันธมิตร แม้แต่ความมั่นใจเล็กน้อยปานนั้นสำนักเราก็ไม่มีแล้วเช่นกันหรือ?”

บุตรชายแบมือ “แน่นอน ข้อแรกคือพันธมิตรผู้นี้อย่าได้เกิดความคิดผิดแผกไป”

“ซ่งอู๋เลี่ยง ในฐานะจอมยุทธ์ขั้นศักดิ์สิทธิ์ที่อ่อนเยาว์ที่สุดในโลกแปดพิภพในตอนนี้ ย่อมไม่ได้โง่เขลาขนาดนั้น ยิ่งไม่ต้องพูดถึงความอาฆาตระหว่างพวกเขากับสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ ที่ไม่ได้ด้อยไปกว่าความขัดแย้งระหว่างพวกเรากับสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์แม้แต่น้อย” เยี่ยนตี๋กล่าว

ยอดฝีมือระดับศักดิ์สิทธิ์ไม่กี่ท่านที่โลกแปดพิภพในปัจจุบันรับรู้ ล้วนนับรวมหยวนเจิ้งเฟิงที่เลื่อนขั้นใหม่ และจอมมารศักดิ์สิทธิ์หยวนเทียนที่เพิ่งสิ้นชีพไปไว้ด้วย ทั้งหมดมีเจ็ดคน เจ้าเมืองทะเลมรกต จอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ทะเลมรกต ซ่งอู่เลี่ยงคือหนึ่งคนที่อ่อนเยาว์ที่สุด

แน่นอนว่าชายหนุ่มผู้นี้ คือการเทียบกับคนระดับหยวนเจิ้งเฟิงและหวงกวงเลี่ย อายุอานามจริงๆ ของซ่งอู่เลี่ยงก็ไม่น้อยแล้วเช่นกัน มากกว่าคนระดับสือเถี่ยและฟางจุ่นอยู่มากโข

ทว่าหากนับตามลำดับอาวุโสอย่างเข้มงวดล่ะก็ แท้จริงแล้วซ่งอู๋เลี่ยงด้อยอาวุโสกว่าพวกเขาหยวนเจิ้งเฟิงรุ่นหนึ่ง ลำดับอาวุโสเดียวกับคนระดับสือเถี่ยและเยี่ยนตี๋

ในอีกทางหนึ่ง ซ่งอู๋เลี่ยงมีบุตรยามชรา อายุของ ‘คุณชายเจ็ดทะเล’ ซ่งเฉาจึงไม่มากแต่อย่างใด

เยี่ยนจ้าวเกอนึกเรื่องหนึ่งขึ้นได้ฉับพลัน ก่อนจะมองไปทางเยี่ยนตี๋ “จริงสิ ท่านพ่อ ข่าวที่ทางประมุขตำหนักส่งมานั้น…”

เรื่องที่เขาหมายถึง คือเรื่องที่ตอนแรกมีคำเล่าลือ ว่าเยี่ยนตี๋หาใช่สายเลือดตระกูลเยี่ยนแห่งเกาะนภากลางที่แท้จริงไม่

ถึงแม้ว่าจะถูกเยี่ยนจ้าวเกอใช้อุบายอัสนีบาตปรามไว้ แต่ข้อเท็จจริงเรื่องราวเป็นเช่นไร กลับยากเอื้อนเอ่ยอยู่บ้าง

จดหมายที่ปู่ของเยี่ยนตี๋ทิ้งไว้ คือปัญหาที่ใหญ่ที่สุด

ผ่านการวินิจฉัยของปู่สามเยี่ยนเหวินเจินแล้ว จดหมายนี้เป็นของจริง ไม่ใช่ปลอมขึ้นมาแต่อย่างใด…

อย่างน้อยที่สุด ด้วยสายตาของเยี่ยนเหวินเจิน ก็มองไม่ออกว่าเป็นฉบับปลอม

เมื่อเป็นเช่นนี้ แท้จริงแล้วจึงเรื่องราวกลายเลวร้ายพอสมควร

พูดตามใจนึกคิด อันที่จริงเยี่ยนจ้าวเกอเองไม่ได้ใส่ใจเรื่องนี้เป็นพิเศษ ทว่าเยี่ยนตี๋จะมีความคิดเยี่ยงไร ก็ยากเอ่ยแล้ว

เยี่ยนตี๋มองเยี่ยนจ้าวเกอด้วยความสงบนิ่ง “ข้าถือว่าตัวเองเป็นคนของตระกูลเยี่ยน ในตระกูลมีคนนับถือว่าข้าเป็นคนในตระกูล นี่ก็เพียงพอแล้ว”

เยี่ยนจ้าวเกอได้ยินดังนั้น เขาก็ผงกศีรษะอย่างไร้สุ้มเสียง

“การประลองแห่งจันทราครั้งที่ห้าใกล้เข้ามาแล้ว” เยี่ยนตี๋เอ่ยขึ้นมา

“หนนี้สามารถให้ศิษย์น้องเฟิงเข้าร่วมได้แล้ว นางจำเป็นต้องเรียนรู้จากประสบการณ์การหยิบยืมพลังมงกุฎแห่งจันทราด้วยตัวเองเช่นกัน การประลองแห่งจันทราที่ดำเนินไป จะเสริมเติมประสบการณ์ในการประมือกับสตรีแห่งจันทราคนอื่นๆ” เยี่ยนจ้าวเกอนวดขมับของตนเอง “แต่ว่า ถ้าหากไม่มีเหตุสุดวิสัยใหญ่โต ครานี้ก็ไม่มีความหวังอะไรนัก”

“จากการประมาณการณ์ล่วงหน้าของข้าแต่เดิม ในการประลองแห่งจันทราครั้งที่หก จึงจะเป็นโอกาสในการปลดปล่อยพลังของเฟิงอวิ๋นเซิง หากแต่สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ก็ใช้วิชาหยินหยางค้ำจุนบ่มเพาะสตรีแห่งจันทราเช่นกัน ทำให้พลังความสามารถของนางพัฒนาขึ้นอีกก้าว แม้ว่าความพยายามของศิษย์น้องเฟิงจะเหนือคนธรรมดาทั่วไป แต่ระยะเวลาที่ต้องชดเชยความล่าช้าก่อนหน้านี้ ยังจำเป็นต้องอดทนอีกหลายส่วน”

เยี่ยนตี๋ได้ยินดังนั้นก็พยักหน้า “เรื่องนี้มอบอำนาจทั้งหมดให้เจ้าแล้ว ให้เจ้าเป็นผู้รับผิดชอบ ในเมื่อต้องเข้าร่วมการประลองแห่งจันทราครั้งที่ห้า หนนี้เจ้าก็ร่วมเดินทางด้วยเถอะ”

เยี่ยนจ้าวเกอกล่าว “ข้ามีความตั้งใจเช่นนี้อยู่พอดี”

……………..