ภาค 4 กวาดล้างหมื่นลี้ บทที่ 321 ชดเชยด้วยของกำนัลชุดหนึ่ง

ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี

หลังจากเขากว่างเฉิงประสบเคราะห์หนัก สำนักทรุดโทรมเสียหายรอการฟื้นฟู ไม่ใช่เพียงสิ่งปลูกสร้างในสำนักเท่านั้น ยังรวมไปถึงการปรับเปลี่ยนผู้คนจำนวนมากเช่นกัน

ผู้อื่นไม่เอ่ยถึง ซินตงผิงถูกจัดการออกจากสำนัก สือเถี่ยล่วงลับ อย่างน้อยที่สุดก็ตำแหน่งอันเป็นตัวแปรสำคัญสองตำแหน่งคือผู้อาวุโสสูงสุดหอคัมภีร์ยุทธศาสตร์กับผู้อาวุโสสูงสุดตำหนักอาญาก็ว่างเพิ่มขึ้น

ตำแหน่งเหล่านี้ล้วนต้องการคนมาเสริมเติม

เยี่ยนจ้าวเกอไม่ได้ออกความเห็นกับเรื่องนี้ ถึงกระนั้นตำแหน่งของเขาตอนนี้ก็ไม่ธรรมดา การประชุมกำหนดแผนส่วนในของสำนัก เขาล้วนมีคุณสมบัติเข้าร่วม

การตัดสินใจสุดท้ายของเขากว่างเฉิง คือโยกย้ายยอดฝีมือระดับสูงสองท่านที่ถูกส่งไปประจำการณ์ที่ทะเลสาบตะวันออกและปฐพีพิภพกลับมา

เพื่อต่อกรกับการคุกคามของปีศาจอัคคีที่ทะเลตะวันออก ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ใหญ่ทั้งหกในสมัยปัจจุบันได้บรรลุข้อตกลงไว้นานแล้ว ว่าทุกสำนักล้วนต้องส่งยอดฝีมือมหาปรมาจารย์ขั้นที่แปด ขั้นรูปญาณระยะกลางอย่างน้อยหนึ่งคนประจำการณ์เหนือทะเลตะวันออก เฝ้าดูแลพื้นที่สัญจรสำคัญจากโลกปีศาจอัคคีสู่โลกแปดพิภพ

การคัดเลือกคนสามารถสลับสับเปลี่ยนได้เองโดยแต่ละสำนัก ทว่าอย่างน้อยที่สุดทุกๆ สำนักล้วนต้องคงมหาปรมาจารย์ระดับสุดยอดคนหนึ่งประจำเหนือทะเล ร่วมกันก่อแนวป้องกันแรก เฝ้าติดตามแนวโน้มการเคลื่อนไหวของโลกปีศาจอัคคี พร้อมทั้งจัดการเหตุปะทะระดับกลางและเล็กประจำวัน

หากปีศาจอัคคีมีการเคลื่อนไหวใหญ่ เช่นนั้นตำหนักอัสนีสวรรค์ เมืองทะเลมรกต และหอคลื่นโหมที่อยู่ติดทะเล ก็จะเพิ่มกำลังพลตอบโต้ในบัดดล

พิศสถานการณ์ค่อยตัดสินใจ ยามจำเป็นเขาไร้พรมแดน เขากว่างเฉิง และสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ที่จัดว่าอยู่ห่างจากทะเล ก็ต้องส่งยอดฝีมือและไพร่พลไปยังทะเลตะวันออกเช่นกัน แต่ว่าโดยทั่วไปแล้วนั่นเป็นเรื่องที่ร้ายแรงอย่างยิ่งแล้ว คล้ายกับสงครามเต็มรูปแบบกับปีศาจอัคคีในปีนั้น

สถานการณ์รูปแบบสุดท้ายนี้ ไม่พบเห็นมาหลายปีแล้ว เรื่องที่ทั่วไปแล้วค่อนข้างหนักหนา ก็เหมือนเช่นเหตุที่ทะเลสาบปิดนภาก่อนหน้านี้ และเคราะห์หนักเขากว่างเฉิงครานี้ รับมือกับกลุ่มอิทธิพลระดับเมืองทะเลมรกต

ยามปกติไปมาหาสู่กับปีศาจอัคคี กวาดล้างปีศาจอัคคีที่ถาโถมสู่โลกแปดพิภพให้ราบคาบ ล้วนรับผิดชอบโดยมหาปรมาจารย์ทั้งหกท่านนั้นที่ถูกส่งมาจากแต่ละสำนักดินแดนศักดิ์สิทธิ์ใหญ่ทั้งหกแห่งละหนึ่งท่าน

ภายใต้การบัญชาของพวกเขา ก็มีจอมยุทธ์ร่วมสำนักของแต่ละสำนักเช่นกัน บ้างก็ประจำการ บ้างก็ฝึกประสบการณ์ชั่วคราว

อาจารย์ของเฟิงอวิ๋นเซิงในอดีตครั้งยังอยู่ที่สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ ก็สิ้นชีพในการโรมรันปะทะกับปีศาจอัคคี ยามที่ปฏิบัติหน้าที่ประจำทะเลตะวันออก

ผู้ทรงอำนาจของเขากว่างเฉิงที่ปฏิบัติหน้าที่ประจำทะเลตะวันออก มักจะถูกเรียกว่าผู้อาวุโสสูงสุดทะเลตะวันออกตามความเคยชิน

ว่าแล้ว นี่ก็เป็นเรื่องยากเรื่องหนึ่ง คล้ายกับการรักษาชายแดน ซ้ำยังไม่มีผลประโยชน์มากนัก ขณะเดียวกันยังต้องสู้รบปรบมือกับปีศาจอัคคีตลอดทั้งปี

ด้วยเหตุนี้ตั้งแต่จัดตั้งตำแหน่งผู้อาวุโสสูงสุดทะเลตะวันออกของเขากว่างเฉิงมา จึงมีการสับเปลี่ยนหมุนเวียนตลอดเวลา

ที่ควรแก่การเอ่ยถึงคือเยี่ยนตี๋ บิดาของเยี่ยนจ้าวเกอ ก่อนหน้าที่จะมารับช่วงต่อตำแหน่งผู้อาวุโสสูงสุดตำหนักสืบวิชา ก็รับหน้าที่ผู้อาวุโสสูงสุดทะเลตะวันออก สังหารปีศาจอัคคีเหนือทะเลกว้างจนเพลิงสะพัดทั่วท้องนภา เผาแผ่นฟ้าต้มสมุทร ชื่อเสียงลือลั่น

อีกทั้งผู้อาวุโสสูงสุดทะเลตะวันออกแห่งสำนักเขากว่างเฉิงในปัจจุบัน ก็คือยอดฝีมือระดับสุดยอดมหาปรมาจารย์ขั้นที่เก้าอีก ขั้นรูปญาณระยะท้ายท่านหนึ่งของสำนักเขากว่างเฉิง ฉางเจิ้น

ยามเคราะห์หนักเขากว่างเฉิง ฉางเจิ้นตั้งใจกลับสำนัก ผลคือประสบเข้ากับปีศาจอัคคีเข้าบุกรุกพอดี ชุลมุนอลหม่านไปทั่วบริเวณ

ผู้อาวุโสสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ที่ประจำการทะเลตะวันออก สวนกับเขาพอดี ทั้งสองพลางประมือกับยอดฝีมือของปีศาจอัคคี พลางคุมเชิงซึ่งกันและกัน ฉางเจิ้นจึงถูกยื้อไว้ที่ทะเลตะวันออก

ขณะนี้เคราะห์หนักกว่างเฉิงปิดฉากลง และเหตุอลหม่านปีศาจอัคคีที่ทะเลตะวันออกค่อยๆ สงบลงแล้ว สำนักเขากว่างเฉิงจึงส่งคนไปสับเปลี่ยนกับฉางเจิ้น

คนที่ดำรงตำแหน่งผู้อาวุโสสูงสุดทะเลตะวันออกใหม่ เยี่ยนจ้าวเกอกลับก็คุ้นเคยดีเช่นกัน ซึ่งก็คืออาจารย์ของเฟิงอวิ๋นเซิงและซือคงจิง ฟู่เอินซูนั่น

สถานที่ที่สถานการณ์คล้ายกับทะเลตะวันออก ยังมีปฐพีพิภพ

ภาคีบึงน้ำไร้ขอบเขตตอนนี้ถูกทลายสูญสิ้น ทว่าปฐพีพิภพยังคงดำรงอยู่ คนเฝ้ารักษาเตรียมพร้อมยังคงจำเป็นต้องมี หากแต่เขากว่างเฉิงก็ต้องปรับเปลี่ยนคนเช่นกัน

ซ่งเฉานำความเห็นของเขากว่างเฉิงถ่ายทอดให้กับเมืองทะเลมรกต ทางเมืองทะเลมรกตนั้นก็มีคำตอบกลับมาอย่างเร็วไวยิ่งเช่นกัน สำหรับการแลกเปลี่ยนสิ่งของวัตถุดิบจำนวนมากของทั้งสองฝ่าย แสดงให้เห็นว่าวาดหวังให้สำเร็จ ส่วนของที่เขากว่างเฉิงต้องการ จะพยายามจัดหาให้พึงพอใจอย่างเต็มกำลัง

แต่ไรทั้งสองฝ่ายก็เป็นพันธมิตร มักมีการแลกเปลี่ยนระหว่างกันบ่อยครั้ง หากแต่หนนี้ขอบเขตมากขึ้นกว่าเดิมมหาศาล ทั้งสองสำนักล้วนต้องตระเตรียมให้เหมาะสมสอดคล้องกัน

สำหรับเรื่องที่เยี่ยนจ้าวเกอและเขากว่างเฉิงเป็นไปได้ที่จะรับรู้ถึงจุดประสงค์ของฝ่ายตนเอง ซ่งเฉาเองก็รู้สึกได้แล้วเช่นกัน

กระนั้น เขากว่างเฉิงไม่ได้เล่นแง่กับเมืองทะเลมรกตแต่อย่างใด การแลกเปลี่ยนวัตถุดิบสิ่งของทั้งสองฝ่าย ก็ไม่ได้ตั้งใจโก่งราคาเอาเปรียบเช่นกัน

ถึงแม้ว่าจะราคาสูงขึ้นสักหน่อย เทียบกับที่ผ่านมา ทว่าสำหรับฝั่งเมืองทะเลมรกต การได้มาซึ่งศิลาภูตไม่ดับสูญ เทียบกับที่ต้องจ่ายแล้ว มากกว่าอักโข

ซ่งเฉาปฏิบัติต่อคนอื่นอย่างสุภาพ อ่อนโยน มีเมตตา และใจกว้าง พานพบเยี่ยนจ้าวเกออีกครั้ง ก็ซาบซึ้งมากกว่าเดิมเช่นกัน

“ศิษย์พี่ซ่งออกจะเกรงใจเกินไปแล้ว” เยี่ยนจ้าวเกอหยิบยันต์หยกชิ้นหนึ่งไว้ในมือ พลางมองซ่งเฉา “แต่ไหนแต่ไรสำนักข้าและท่านมีไมตรีจิตต่อกัน เฝ้าสังเกตการณ์ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน เรื่องนี้ต่างหากเป็นสาระสำคัญ”

“ศิษย์น้องเยี่ยนไม่จำเป็นต้องปฏิเสธ บางทียันต์หยกอันงดงามประณีตนี้อาจจะเป็นโอกาสและโชคชะตาส่วนหนึ่ง แต่ยังคงเป็นของที่ไม่ชัดเจน ให้ของสิ่งนี้เป็นของกำนัล อันที่จริงข้าละอายแก่ใจ เพียงแต่ไร้สมบัติติดกายจริงๆ ของอื่นออกจะยิ่งไม่พอด้วยซ้ำ” ซ่งเฉาเอ่ย

เยี่ยนจ้าวเกอลูบไล้ยันต์หยกในมือ เหตุไฉนซ่งเฉามองของกำนัลตามหลังเช่นนี้ ทั้งสองฝ่ายต่างรู้ดีแก่ใจ จึงยิ้มน้อยๆ “ศิษย์พี่ซ่งน้ำใจไมตรีเปี่ยมล้น หากข้าปฏิเสธอีก ออกจะไร้เหตุผลเกินไปหน่อย ในเมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ก็ขอบคุณศิษย์พี่ซ่ง”

ซ่งเฉาส่ายศีรษะ “ศิษย์น้องเยี่ยนเจ้าเกรงใจไปแล้ว”

หลังจากเยี่ยนจ้าวเกอลังเลอยู่ชั่วครู่ เขาก็เอ่ยถามว่า “ศิษย์พี่ซ่งจวนจะกลับวารีพิภพแล้วกระมัง?”

“วันสองวันนี้ก็จะไปแล้ว” ซ่งเฉาเอ่ยตอบ

เยี่ยนจ้าวเกอลุกขึ้น “ข้าไปส่งพวกท่านก็แล้วกัน”

ทั้งสองออกไปพร้อมกัน เยี่ยนจ้าวเกอส่งกระแสจิต สั่งอาหู่ไม่กี่ประโยค ฝ่ายหลังพยักหน้าแล้วก็ถอยไป

ชายหนุ่มกลับมาถึงที่พำนักของพวกเขาพร้อมกันกับซ่งเฉา ครั้นเข้าไปในลานบ้าน ก็แลเห็นเงาร่างสองสาย กำลังขวักไขว่ไปมาไม่หยุด ประลองทักษะยุทธ์

เงาร่างสองสาย ป็นซือคงจิงกับหลี่จิ้งหว่าน การแลกเปลี่ยนเรียนรู้ของทั้งสองค่อนข้างเป็นมิตร ในด้านหนึ่งเป็นการปิดประตูประลอง ไม่ให้ภายนอกรับรู้ อีกทางหนึ่งต่อสู้ถึงระดับหนึ่งก็จะหยุดเช่นกัน

ด้วยความที่พวกนางไม่ได้ไปยอดเขาพ้นอัคคี จัดหาสนามฝึกใหญ่ในการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ของศิษย์ใต้สำนักเขากว่างเฉิง หรือมุ่งหน้ายังตำหนักสืบทอดวิชาโดยเฉพาะ เพียงแค่ปิดประตูแลกเปลี่ยนเรียนรู้ อยู่ที่ที่พำนักของคณะซ่งเฉา

ระดับพลังฝึกปรือหญิงสาวทั้งสองขณะนี้ล้วนไม่ต่ำต้อย หากปล่อยมือเท้าอิสระประมืออย่างดุเดือดสักครั้ง พลังทำลายล้างก็น่าครั่นคร้ามแล้วเช่นกัน กวาดล้างสิ่งปลูกสร้างโดยรอบยิ่งไม่ต้องกล่าวถึง

เพราะฉะนั้นวิธีประลองของพวกนางในขณะนี้ โดยส่วนมากเป็นการเปลี่ยนกระบวนท่ายุทธ์กับความเข้าใจในวิชาวรยุทธ์ ไม่ขับเคลื่อนปราณจิตราขอบเขตใหญ่ คล้ายกับการประลองเพลงกระบี่เจ็ดดาราของเยี่ยนจ้าวเกอกับลู่เวิ่นในหอคัมภีร์ยุทธศาสตร์ในตอนนั้นอยู่บ้าง

ทว่าแม้จะเป็นเช่นนี้ ขณะเงาร่างงามระหงสองสายโฉบไปมา ก็ให้ความรู้สึกลายตาจนมึนงงเช่นกัน

ซ่งเฉาพิศเงาร่างของซือคงจิง ถอนทอดใจพลางเอ่ย “เมื่อการประชุมฝ่านภาคราก่อนก็มีความรู้สึก แต่เวลานั้นไม่เคยพบว่าพรสวรรค์ของศิษย์น้องซือคงผู้นี้ช่างน่าตื่นตะลึงจริง”

เยี่ยนจ้าวเกอผงกศีรษะ

ระดับพลังฝึกปรือของทั้งสองคนในสนาม ล้วนอยู่ในระดับปรมาจารย์ขั้นจิตราชั้นนอกระยะท้าย

สำหรับหลี่จิ้งหว่าน นี่ปกติอย่างมาก อายุนางใกล้เคียงกับเยี่ยนจ้าวเกอ สำหรับการสืบทอดสายหลักของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ใหญ่ทั้งหก อายุราวยี่สิบเลื่อนสู่ขั้นจิตราชั้นนอก อายุราวยี่สิบห้าปีก้าวสู่ขั้นเคียงนภา อายุราวสามสิบปีสู่ขั้นผ่านภา นี่นับเป็นความเร็วโดยเฉลี่ย

ทว่าซือคงจิงก็น่าครั้นคร้ามอยู่บ้างแล้ว เพราะในตอนนี้นางยังอายุไม่ถึงยี่สิบปี

เยี่ยนจ้าวเกอเอื้อนเอ่ย “ศิษย์น้องซือคงพรสวรรค์ล้ำเลิศอย่างแท้จริง ทำให้ผู้คนชื่นชม”

น้ำเสียงที่เขากล่าววาจานี้ คล้ายกับผู้อาวุโสวิพากษ์ผู้ด้อยอาวุโสอยู่บ้าง หากแต่ซ่งเฉากลับไม่ได้รู้สึกว่ามีปัญหาใดๆ

เพราะคนผู้นี้ที่อยู่ข้างกายเขา อายุใกล้กับหลี่จิ้งหว่าน แต่กลับเป็นมหาปรมาจารย์แล้ว

………..