ตอนที่ 398 พระอาทิตย์จำลอง

หยางโปมองงูยักษ์ที่เลื้อยออกไปก็รู้สึกได้ถึงความหนาวเหน็บที่เกิดขึ้นจากบริเวณรอบข้าง

หยางโปหันไปมองอวี่เหวิน ” นี่มันเกิดอะไรขึ้นน่ะ ? ที่นี่อากาศหนาวขนาดนี้ทำไมถึงได้มีงูเยอะแยะไปหมด ? “

” แปลว่าพวกเรามาถูกที่แล้วล่ะ ที่นี่จะต้องมีของแน่ๆ ! ” อวี่เหวินพูดขึ้นก่อนที่จะหันมามองหยางโป ” เพราะงูเหล่านี้น่ะเป็นสัตว์ที่คุ้มครองเผ่าหยีไงล่ะ พวกมันปกป้องและดูแลรักษาสมบัติของที่นี่ ! “

อาจารย์ฉินดวงตาเป็นประกายขึ้นมา ทว่าก็หันไปถามอวี่เหวินว่า ” นายเป็นใครกันแน่ ? ทำไมนายถึงรู้เรื่องเผ่าอี้มากขนาดนี้ ? “

อวี่เหวินไม่ได้พูดอะไรแต่ก้มหน้าเก็บกระดิ่งและเดินหน้าต่อ

 

เจ้าอ้วนหลิวเองก็เริ่มสงสัยขึ้นมาขณะที่เขามองดูอวี่เหวินที่เดินออกไป ทว่าในเวลานี้ก็ทำได้เพียงแค่เดินตามอีกฝ่ายเท่านั้น

หลังจากผ่านกลุ่มงูเหล่านั้นไปได้แล้วพวกเขาก็เดินทางมาถึงยอดเขาในเวลาอันรวดเร็ว ที่นี่มีต้นสนเรดวูดที่มีความสูงสองเมตรตั้งอยู่ใจกลางและดูเงียบเหงาเป็นอย่างมาก

เห็นแบบนี้หยางโปก็รู้สึกผิดหวังขึ้นมา พวกเขาอุตส่าห์เดินทางมาถึงที่นี่แถมลัวย่าวหัวเองก็ยังต้องเจอกับอันตรายอีก ในเวลานั้นเองเขาก็นั่งลงบนหินก่อนที่จะพูดขึ้น ” สงสัยพวกเราจะเดากันผิดแล้วล่ะ “

หลูตงซิงยืนบนยอดเขาพร้อมกับมองไปด้านหน้าที่ไกลออกไปขณะที่ไม่มีใครรู้เลยว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่

เจ้าอ้วนหลิวเองก็เดินมานั่งลงบนก้อนหินที่อยู่ข้างๆลัวย่าวหัวโดยไม่พูดอะไรเช่นกัน

 

ตอนนี้อวี่เหวินดูเหมือนกับกำลังคิดอะไรบางอย่างอยู่ จนทำให้ทุกคนอดไม่ได้ที่จะหันไปมองเขา

” พวกนายลุกขึ้นก่อน เราต้องย้ายหินนี่ ! ” อวี่เหวินพูดขึ้น

ทุกคนต่างพากันตกตะลึงขึ้นมาในทันที ” หรือว่าปากถ้ำจะอยู่ด้านใต้หินนี่เหรอ ? “

อวี่เหวินไม่ได้อธิบายอะไรแต่เดินไปที่ต้นไม้ที่อยู่ตรงกลางแทน

ในเวลาอันรวดเร็วเสียงจากต้นไม้ก็ดังขึ้นจนทำให้หยางโปและคนอื่นๆต้องรีบตามไปดู ตอนที่พวกเขาพบ

อวี่เหวิน ร่างกายของเขาก็มีของแปลกประหลาดบางอย่างอยู่ตรงหน้า

ซึ่งมันก็คือรถเข็นที่มีไม้วางอยู่บนนั้นทั้งหมดสามต้นแถมด้านล่างยังมีรอกแขวนอยู่ด้วย !

 

นี่คือรอกขนย้ายของนี่นา !

หยางโปรู้สึกตกตะลึงขึ้นมาในทันที !

ทุกคนเองก็รีบเข้าไปล้อมรอกขนย้ายทันที ถ้าหากที่อวี่เหวินเพิ่งพูดไปว่าหินก้อนนั้นมีของอยู่ด้านล่างทุกคนก็ไม่เชื่อเท่าไหร่หรอก แต่ทันทีที่เห็นของชิ้นนี้ทุกคนก็เริ่มเชื่อขึ้นมาแล้ว !

ทุกคนรีบผลักรอกขนย้ายไปยังยอดเขาทันที

ในเวลาอันรวดเร็วรอกขนย้ายก็ถูกวางลงบนยอดเขา หลังจากที่หยางโปนำหินมาวางด้านหน้ารอกขนย้ายแล้ว เขาก็ล็อครอกขนย้ายเอาไว้หลังจากนั้นก็นำเชือกมาผูกกับหิน ส่วนอวี่เหวินก็นำไม้กระดานแผ่นยาวๆสองชิ้นมาวางขนาบด้านข้างของก้อนหิน ทำแบบนี้แล้วก็สามารถที่จะใช้ไม้กระดานมาแงะหินได้แล้ว !

 

ในเวลาอันรวดเร็วทุกคนก็เตรียมตัวและแบ่งหน้าที่กันอย่างชัดเจน หยางโปสวมใส่ถุงมือก่อนที่จะทำหน้าที่ดึงเชือก

” 1 2 3 ดึง ! “

ภายใต้คำสั่งของอาจารย์ฉินทุกคนก็ออกแรงกันอย่างเต็มที่จนหยางโปเองก็รู้สึกว่าตัวเองถูกดึงไปด้านหลังอย่างต่อเนื่อง

ในเวลาอันรวดเร็วหินก้อนนั้นก็ถูกดึงไปอยู่ด้านข้างจนทำให้เห็นปากถ้ำที่มืดสนิทอยู่ด้านในนั้น

หลูตงซิงเห็นแบบนั้นก็รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาทันที ” ที่นี่แหละ ! “

 

ทันทีที่นำไฟฉายส่องเข้าไปก็พบว่าบันไดหนึ่งอันอยู่ตรงหน้า ซึ่งบันไดนี้แตกต่างจากที่พวกเขาเคยเห็น เพราะมันมีก้านไม้แค่ก้านเดียวเท่านั้นซึ่งถูกวางพาดเป็นสี่ทิศตามทิศต่างๆและสามารถที่จะลงไปได้ตามต้องการ

ทุกคนต่างกระตือรือร้นที่จะลองทว่าในเวลานี้พวกเขาก็ยังคงรอให้โหยวเสี่ยวอู่ผู้มีประสบการณ์เป็นคนนำลงไปก่อน พวกเขาผูกเชือกไว้กับเอวของโหยวเสี่ยวอู่เพื่อที่จะมั่นใจได้ว่าเขาจะปลอดภัย

หลังจากที่เห็นโหยวเสี่ยวอู่เข้าไปด้านในได้แล้วทุกคนก็เริ่มเตรียมตัวเช่นเดียวกัน !

ในเวลาอันรวดเร็ว โหยวเสี่ยวอู่ก็ตะโกนกลับมาว่าด้านล่างปลอดภัยดี ทุกคนก็จับเชือกและไต่ลงไปด้านล่างทีละคนโดยที่ด้านบนมีบอดี้การ์ดคอยคุ้มกันอยู่สองคน

หลังจากลงมาด้านล่างแล้วหยางโปก็เพิ่งจะสังเกตเห็นว่ากิ่งก้านพวกนี้มีความแตกต่างจากที่เคยเห็น เมื่อใช้มือสัมผัสมันก็พบว่ามันมีความเย็นอีกทั้งยังสังเกตเห็นอีกว่าถูกแกะสลักจากหิน

 

หลังจากเดินไปได้ครู่หนึ่งระหว่างที่เท้าเดินอยู่บนพื้นดินและแสงไฟก็สาดส่องเข้าไปด้านใน ทันทีที่กวาดมองไปรอบๆเขาก็เกิดอาการตกตะลึงขึ้น !

เพราะสิ่งที่เขามองเห็นคืออะไรบางอย่างสีดำๆที่อยู่ตรงข้ามกับเขามันเป็นพื้นที่ว่างเปล่าขนาดใหญ่ที่ไม่มีแม้แต่พื้นดิน !

หยางโปถอยออกไปสองสามก้าวก็พบว่าทุกคนเองต่างก็มองไปรอบๆด้วยสายตาแปลกประหลาด เขาเองก็กวาดตามองไปรอบๆเช่นเดียวกัน

ที่นี่มีความกว้างเกือบจะเท่ากับสนามบาส ภายในนี้มีบันไดหินเก้าชั้นซึ่งไม่รู้เลยว่าใช้หยกชนิดไหนมาทำเป็นบันไดทว่าทันทีที่ถูกแสงสาดกระทบไปบนนั้นมันก็เปล่งประกายออกมาระยิบระยับทันที

 

ด้านใต้ของบันไดมีรูปปั้นที่อยู่ในท่าหมอบคลานซึ่งรูปปั้นที่เป็นเครื่องปั้นดินเผาเหล่านั้นเป็นสัตว์ตระกูลวัว แพะ หมูและหมา สถานที่ที่มีขนาดใหญ่ขนาดนี้ แต่กลับมีแค่บันไดช่างดูว่างเปล่ามากจริงๆ

” ดูข้างบนนั่นสิ ! “

หยางโปได้ยินเสียงของลัวย่าวหัวพูดขึ้นก็รีบเงยหน้าขึ้นไปมอง เขาเองก็เปล่งเสียงอุทานออกมาด้วยความตกใจไม่แพ้กัน ” นั่นมันอะไรน่ะ ? “

หยางโปเงยหน้ามองพื้นที่ที่ว่างเปล่าด้านบนซึ่งมีรถม้าถูกแขวนลอยอยู่กลางอากาศซึ่งบนนั้นมีรูปปั้นรูปทรงมนุษย์อยู่ด้านใน และที่สำคัญด้านบนของรถม้ามีแผนทองแดงทรงกลมขนาดใหญ่วางอยู่ !

 

แผ่นทองแดงมีขนาดใหญ่เท่ากับฝาหม้อ เป็นเพราะเวลาที่ยาวนานจึงทำให้ถูกสนิมเกาะจนทั่วแถมสีเดิมของมันก็ได้หายไปแล้วด้วย

หยางโปจ้องแผ่นทองแดงตรงหน้าและพยายามนึกถึงสถานะของมันว่ามันหมายถึงอะไร ทันใดนั้นเขาก็นึกขึ้นมาได้ว่าแผ่นทองแดงนี้อาจจะเป็นตัวแทนที่หมายถึงพระอาทิตย์ก็เป็นได้ !

” นี่มันอะไรกันเนี่ย ? หรือว่าพวกเขาอยากจะบินเหรอ ? หรือว่าคนสมัยก่อนจะยกยอปอปั้นบรรพบุรุษถึงขนาดนี้เลยเหรอ ? บางทีอาจจะเป็นการแสดงความรู้สึกว่าอยากจะไปสวรรค์และเชยชมดวงจันทร์งั้นเหรอ ? “

ลัวย่าวหัวเห็นรถม้าที่ลอยอยู่กลางอากาศก็เปิดปากพูดขึ้น

อาจารย์ฉินจ้องรถม้าพร้อมกับพูดขึ้น ” นี่ไม่ใช่รถม้าธรรมดาแต่มันน่าจะเป็นนิทาน ! แผ่นทองแดงนั่นน่ะน่าจะหมายถึงพระอาทิตย์ “

 

พูดจบอาจารย์ฉินก็หันไปมองอวี่เหวิน ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้เห็นคุณค่าของอวี่เหวินแต่เขาเองก็ต้องยอมรับว่า

อวี่เหวินมีความเข้าใจเกี่ยวกับวัฒนธรรมของเผ่าอี้มากกว่าเขามาก !

อวี่เหวินพยักหน้า ” มันคือพระอาทิตย์ ! ในบันทึกประวัติศาสตร์ของอาณาจักรเย่หลาง พระอาทิตย์น่าจะเป็นสิ่งที่คนนำมากำหนดช่วงเวลาในทุกๆวันซึ่งมันจะขึ้นลงตามชั่วโมง ฉันคิดว่าน่าจะใช่นะ “

หยางโปมองแผ่นโลหะ ” พระอาทิตย์นี่ทำงานหนักเหมือนกันเนอะ ลำบากน่าดูเลย “

หลูตงซิงจ้องแผ่นโลหะ ” พระอาทิตย์นี่ดูเรียบง่ายแต่ก็เป็นงานหยาบเหมือนกันนะ “

หยางโปมองเข้าไปด้านในที่ว่างเปล่าก็พบว่ามันไม่ได้มีของมากมายเท่าไหร่นัก เขาใส่ไฟฉายส่องไปบนกำแพงก็พบกับภาพวาดที่อยู่บนนั้น

 

หยางโปสามารถสังเกตเห็นเนื้อหาที่อยู่บนกำแพงได้อย่างรวดเร็ว เป็นเพราะว่าเขาเห็นตัวละครบนภาพวาดและจิตรกรรมฝาผนังตรงหน้าให้ความรู้สึกราวกับทุกคนนางฟ้าและเกือบทุกคนสามารถบินและขับเคลื่อนด้วยเมฆได้ !

หยางโปเข้าใจในทันทีว่าชั้นนี้คงจะมีความหมายหมายถึงสรวงสวรรค์ !

อาจารย์ฉินเองก็คิดเช่นเดียวกัน เขากวาดตามองไปรอบๆ หลังจากที่เห็นหยางโปสำรวจดูอย่างละเอียดเขาก็อดไม่ได้ที่จะพูดขึ้นมาว่า ” จากภาพวาดบนฝาผนังชั้นนี้คงจะเป็นโลกของเซียน “

” โลกของเซียน ? ” หยางโปถามด้วยความประหลาดใจ

อาจารย์ฉินพยักหน้าโดยไม่ได้พูดอะไรต่อจากนั้น