ภาคที่ 4 ตอนที่ 54 ไม่เดินทางลำพังในป่าเขา

Jun Jiu Ling หวนชะตารัก

ดาบยาวสองเล่มเล็งไปที่จินสือปา หอกยาวสองเล่มเล็งไปที่ม้าของจินสือปา หน้าหลังซ้ายขวาขบวนแถวเป็นระเบียบเวลานี้ดูแล้วประหนึ่งกำแพงโลหะปราการเหล็ก  

 

 

ไม่ใช่แค่จินสือปา องครักษ์เสื้อแพรอีกสี่คนที่เหลือก็ถูกขนาบคุมไว้ในขบวนแถวเช่นนี้เหมือนกัน 

 

 

“นี่คือที่พวกเจ้าบอกว่าพี่น้องผูกพันลึกซึ้งรึ?” จินสือปาเอ่ยเย็นชา 

 

 

เหลยจงเหลียนยิ้มแล้ว 

 

 

“เจ้าเคยสังหารศัตรูเคยได้รับบาดเจ็บ พวกเราจะทิ้งเจ้าได้อย่างไร ย่อมต้องเข้าเมืองหลวงรับรางวัลด้วยกัน” เขาเอ่ย 

 

 

แม้ทั้งพูดและเคลื่อนไหว แต่ม้าของพวกเขาล้วนไม่หยุด เคลื่อนที่ตามขบวนแถวยังคงรักษาความเป็นระเบียบ จากข้างนอกมองความผิดแปลกไม่ออกสักนิด 

 

 

“นางไปที่ไหนแล้ว?” จินสือปาเลิกคิดแล้วเอ่ยถาม 

 

 

เหลยจงเหลียนส่ายศีรษะให้เขา 

 

 

“คุณหนูจวินทำสิ่งใดไม่เคยคาดเดาได้” เขาเอ่ยตอบ 

 

 

………………………………………. 

 

 

ตอนที่เฉิงกั๋วกงนำแม่ทัพและกำลังพลออกเดินทางอย่างคึกคัก คุณหนูจวินหนึ่งคนหนึ่งม้าก็เดินทางเร็วรี่อยู่บนทางภูเขาแล้ว 

 

 

ที่นางเดินทางไม่ใช่ทางหลวง แล้วก็ไม่ได้ตรงลงใต้ คล้ายไม่มีจุดหมายแล้วก็คล้ายกำลังตามหาอะไรอยู่ 

 

 

กลางวันเดินทาง กลางคืนค้างแรม ข้ามเขาข้ามภู ลงเนินค้นหุบเขา บางครั้งวันหนึ่งเดินทางร้อยลี้ บางครั้งก็สามวันไม่เปลี่ยนที่ 

 

 

ตัวอย่างเช่นตอนนี้ นางพักอยู่ที่เขาลูกนี้มาสามวันแล้ว 

 

 

สงครามอลหม่านครั้งนี้ส่งผลกับเขตภูเขาไม่มากเท่าเมืองด้านนอก หมู่บ้านที่ตีนเขาแลดูสบายอกสบายใจ 

 

 

“แม่นาง เจ้าจะขึ้นเขาไปอีกแล้วหรือ?” หญิงชราที่นั่งอยู่หน้าประตูบ้านศิลาเอ่ยถาม 

 

 

คุณหนูจวินบรรทุกห่อสัมภาระบนม้าเรียบร้อยแล้วก็ตบหัวม้าเบาๆขานรับ 

 

 

“เขาใหญ่ปานนี้ ทั้งพืชพันธุ์ยังงอกเขียวขจี ตามหาสมุนไพรต้นหนึ่ง นั่นยากมากเท่าไร” หญิงชราเอ่ยถามอย่างเป็นห่วงเป็นใย 

 

 

“ไม่ยากหรอก” คุณหนูจวินอมยิ้มเอ่ย ไม่ได้รำคาญหญิงชราคนนี้ แต่ตั้งใจเอ่ยตอบ “สมุนไพรต้นนี้งอกในสถานที่พิเศษ ไม่ใช่หาสะเปะสะปะทั่วเขาทั่วทุ่ง” 

 

 

หญิงชราพยักหน้าพร่ำบ่นกำชับให้นางระวังงูระวังหมูป่าหมาป่าแล้วมองดูคุณหนูจวินขึ้นม้าเดินทางไปข้างหน้า 

 

 

ที่ตีนเขาคุณหนูจวินผูกม้าดีแล้วก็สะพายห่อสัมภาระ ตั้งใจมองรอบด้านทีหนึ่งแล้ววิ่งตรงไปยังทิศทางหนึ่ง คล้ายเมื่อนานมาแล้วที่อาจารย์พานางทำเช่นนั้น 

 

 

“ลำบากรึ? เจ้าคิดว่าเรียนวิชาแพทย์ง่ายดายปานนั้นงั้นรึ ต้องเดินทางแปดพันลี้ ลองชิมร้อยสมุนไพร” 

 

 

เขานั่งยองอยู่บนหินภูเขาสีหน้าเคร่งขรึม พลางทึ้งเถาวัลย์เส้นหนึ่งติดมือลงมาส่งให้นาง บนนั้นมีผลขนาดเท่าเม็ดไข่มุกสีแดงสดพวงหนึ่ง 

 

 

“ลองชิมสิ” 

 

 

นางรับไปกินอย่างไม่ลังเลสักนิด เงยหน้าขึ้นอีกทีก็เห็นเขาทำสีหน้าสงสัยใคร่รู้มองตนเอง 

 

 

“กินได้ไหม?” เขาเอ่ยถาม “กินได้ไหม?” 

 

 

นางไม่ทันเอ่ยตอบเพราะลิ้นชาไปแล้ว คนทั้งร่างก็อ่อนปวกเปียกล้มลงไปนั่งบนพื้น 

 

 

“ดูสิ ลองชิมก็รู้แล้วสินะ ไม่ใช่สิ่งใดล้วนกินได้” เขายังนั่งยองอยู่บนก้อนหิน สีหน้าเคร่งขรึมเอ่ยขึ้น 

 

 

คิดถึงตรงนี้คุณหนูจวินก็หยุดเท้า เงยหน้ามองด้านหน้า เถาวัลย์เครือหนึ่งปรากฏตรงหน้า บนนั้นบุปผาน้อยสีเหลืองนวลแย้มบานอยู่ 

 

 

รอจนถึงฤดูใบไม้ร่วงก็จะมีผลสีแดงสดพวงแล้วพวงเล่าแขวนอยู่เต็ม 

 

 

เหมือนที่อาจารย์พานางเดินทางผ่านป่าเขาหุบเขาเหล่านั้นไปพบเข้า 

 

 

เวลานั้นนางคิดว่าอาจารย์พานางวิ่งขึ้นเขาลึกป่าทึบ ตั้งใจแกล้งให้ลำบากขู่นาง จะให้นางทนความลำบากไม่ไหวยอมแพ้เลิกติดตาม 

 

 

ตอนนี้ดูแล้วที่จริงเขาก็กำลังไล่ตามความปรารถนาของตนเองอยู่เหมือนกัน เดินทางระหกระเหินไม่ใช่สะเปะสะปะ แต่มีเป้าหมาย สมุนไพรที่โรคของฮั่นชิงต้องการก็งอกอยู่ในสถานที่เช่นนี้ 

 

 

คุณหนูจวินฟันเถาวัลย์ลงมากองหนึ่ง ถักมันเป็นมงกุฎดอกไม้วงหนึ่งอย่างชำนาญสบายๆ สวมไว้บนศีรษะ วิ่งตรงไปยังที่สูงขึ้น 

 

 

ข้ามผ่านป่าทึบผืนหนึ่ง ลานสายตาฉับพลันเปิดกว้าง ลมภูเขาพัดวนบนหน้าผา เมื่อดอกไม้น้อยสีเหลืองดอกหนึ่ง ในที่สุดก็ปรากฏในสายตา คุณหนูจวินก็อดไม่ได้ร้องฮ่าเสียงดังทีหนึ่ง 

 

 

เสียงตะโกนหยาบคายนี้กระจายไปพร้อมสายลมภูเขา 

 

 

อย่างไรก็ไม่มีใครได้ยิน 

 

 

คุณหนูจวินสูดลมหายใจลึกทีหนึ่งเดินไปยังที่ซึ่งดอกไม้อยู่ แต่หลังเดินไปหลายก้าว นางก็หยุด ใช้เท้าเหยียบพื้นดินเบาๆ 

 

 

ใต้เท้าความรู้สึกอ่อนยวบเล็กน้อยส่งผ่านมา หากไม่ละเอียดคงสังเกตไม่พบสักนิด คงแค่คิดว่าเพราะเหยียบอยู่บนหญ้า ที่จริงนี่เพราะหินภูเขาข้างใต้เปราะร่วน 

 

 

ครั้งนี้นางไม่มีทางประมาทอีกแล้ว 

 

 

คุณหนูจวินถอยหลังก้าวหนึ่ง กำลังปลดห่อสัมภาระก็ได้ยินหลังร่างมีเสียงดังขึ้น 

 

 

“โอ๊ะ ที่นี่มีดอกไม้หนึ่งดอก” 

 

 

คำพูดนี้ เสียงนี้… 

 

 

คุณหนูจวินหันหน้าไปมอง 

 

 

หลังพุ่มไม้มีเงาคนทอดลงมา ตามติดด้วยเสียงฝีเท้าดังขึ้น จากนั้นจูจั้นก็เดินออกมา 

 

 

“ตกใจล่ะสิ?” เขายักคิ้วเอ่ย “คิดว่าจะถูกแย่งอีกแล้ว” 

 

 

คุณหนูจวินฟื้นกลับมานิ่งสงงบ 

 

 

“ท่านมาได้อย่างไร?” นางเอ่ย “ท่านตามข้ามาตลอดรึ?” 

 

 

จูจั้นยกมือให้นาง 

 

 

“เจ้าอย่าคิดมาก” เขาเอ่ย “อย่าคิดว่าเพราะข้าเป็นห่วงเจ้า ใส่ใจเจ้า เห็นเจ้าออกมาคนเดียวไม่วางใจถึงตามมาเชียว” 

 

 

คุณหนูจวินมองเขาคล้ายอับจนปัญญาอยู่บ้าง 

 

 

“ข้าไม่ได้คิดมากจริงๆ” นางเอ่ย “ท่านวางใจ” 

 

 

จูจั้นเห็นชัดว่าสีหน้าไม่วางใจ 

 

 

“เจ้ารีบร้อนออกมาเดินทางตามลำพังเช่นนี้เพื่อตามหาต้นเซียนจื่ออิงไปรักษาโรคให้แม่นางคนนั้น ส่วนข้าเพื่อใช้หนี้ในเร็ววัน” เขาเอ่ย “เจ้าอย่าได้คิดมากเด็ดขาด นี่เป็นเพียงการแลกเปลี่ยนครั้งหนึ่งเท่านั้น” 

 

 

คุณหนูจวินแกว่งเชือกในมือ 

 

 

“จูจั้น ข้าไม่อาจไม่คิดมากได้” นางเอ่ย 

 

 

เจ้าดูสิเจ้าดู 

 

 

จูจั้นฉับพลันทำสีหน้าเป็นเช่นนี้อย่างที่คิดทันที 

 

 

“…ท่านตามข้ามาตามหาต้นเซียนจื่ออิง” คุณหนูจวินเอ่ย “ถ้าอย่างนั้นต้นนี้ที่หาเจอนับว่าเป็นของท่านหรือนับว่าเป็นของข้าเล่า?” 

 

 

จูจั้นตะลึง 

 

 

“จูจั้น การค้าไม่อาจทำเช่นนี้ได้กระมัง?” คุณหนูจวินเอ่ย “ท่านเคยเอาเปรียบข้าไปครั้งหนึ่งแล้ว ครั้งนี้ยังจะทำเช่นนั้นอีกรึ?” 

 

 

“อะไรเรียกข้าเอาเปรียบเจ้า?” จูจั้นถลึงตาตวาด “เจ้าพูดจาระวังหน่อย 

 

 

“เมื่อครู่ท่านก็พูดเอง ตกใจล่ะสิ? คิดว่าจะถูกแย่งอีกแล้ว” คุณหนูจวินกะพริบตา ผายมือออกเอ่ยขึ้น “อีกแล้ว นั่นก็คือพูดว่าครั้งก่อนข้าถูกแย่งอย่างไรเล่า” 

 

 

ผู้หญิงคนนี้ ผู้หญิงคนนี้ จูจั้นยื่นมือชี้นาง 

 

 

“เจ้าดื้อดึงไร้เหตผลจริงๆ” เขาเอ่ยอย่างโมโห “ไม่สำนึกบุญคุณ ทำไมเจ้าไม่จำว่าใครช่วยเจ้าไว้” 

 

 

“ท่านไม่ได้บอกว่าไม่ใช่บุญคุณช่วยชีวิต เป็นเพียงการค้าครั้งหนึ่งรึ?” คุณหนูจวินกะพริบตาตั้งใจมองเขา “ที่แท้ท่านก็ช่วยข้าจริงๆ หรอกหรือ” 

 

 

นางพูดพลางสองตาระยิบระยับ สีหน้าดีใจทั้งยังตื่นเต้น กำมือก้าวไปทางจูจั้นก้าวหนึ่ง 

 

 

“ท่านชาย ท่านมีบุญคุณช่วยชีวิตข้าไว้จริงๆ ข้าย่อมควรมอบ…” 

 

 

คำพูดของนางยังเอ่ยไม่ทันจบ จูจั้นก็สบถทีหนึ่ง 

 

 

“คนแซ่จวิน นับว่าเจ้าร้ายกาจ” เขาตะโกน “พวกเราต่างคนต่างหา ใครก็อย่าได้เอาเปรียบใคร” 

 

 

พูดจบก็หมุนตัวยกหัวไหล่สับแขน สองสามก้าวเดินออกไปแล้ว 

 

 

มองดูตรงหน้าคล้ายไม่เคยมีคนปรากฏตัวมาก่อน คุณหนูจวินก็โคลงศีรษะคิดครู่หนึ่ง 

 

 

“ดูแล้วโกรธมาก?” นางพึมพำกับตนเอง “นี่ข้าไม่นับว่ารังแกคนกระมัง? ข้าก็ไม่ได้พูดอะไรนะ” 

 

 

เทียบกับคำเสียดสีเหน็บแนมที่อาจารย์เอ่ยกับนางตอนนั้น นางเป็นมิตรเหลือเกินแล้ว 

 

 

นางส่ายศีรษะ มองดูทิศทางที่จูจั้นจากไป 

 

 

อย่างไรก็เป็นเด็กที่ถูกตามใจจนเคยตัวล่ะนะ