ภาคที่ 4 ตอนที่ 55 มีลมพัดคลื่นเล็กน้อย

Jun Jiu Ling หวนชะตารัก

เด็กคนนี้ขี้โมโหนัก 

 

 

หลายวันหลังจากนั้นคุณหนูจวินก็ไม่เห็นร่องรอยของจูจั้นจริงๆ 

 

 

แต่ก็ไม่ต้องกังวล อย่างไรเขาก็ไม่ใช่เด็กจริงๆ เคยผ่านประสบการณ์สังหารคนรวมถึงถูกสังหารมาแล้วทั้งสิ้น อย่างน้อยเส้นทางจากติ้งโจวไปเมืองหลวงเขาก็เคยเดินทางผ่านแล้วรอบหนึ่ง ไม่เหมือนตนที่เดินตามแผนที่ซึ่งอาจารย์ทิ้งไว้ให้อย่างเดียว 

 

 

เขาลูกนี้ท้ายที่สุดก็หาต้นเซียนจื่ออิงพบเพียงต้นเดียว 

 

 

นี่ก็ไม่เลวยิ่งแล้ว ระหว่างติ้งโจวไปถึงเมืองหลวงต้องตัดผ่านเขามากมาย นางต้องหาสมุนไพรพบเพียงพอแน่ 

 

 

นี่ไม่ลำบาก นี่ง่ายดายยิ่ง 

 

 

อาจารย์ใช้เวลาสิบปีวิจัยตำรับยาออกมาแล้ว จัดการเรื่องที่ยากที่สุดไปแล้ว เรื่องง่ายดายที่เหลืออยู่ก็ให้นางมาทำให้สำเร็จเถอะ 

 

 

“แม่นาง แม่นาง วันนี้ฝนจะตก” 

 

 

เห็นคุณหนูจวินพลิกกายขึ้นม้า หญิงชรารีบกวักมือเรียก 

 

 

“วันนี้อย่าไปเลย” 

 

 

คุณหนูจวินตบๆ ผ้ากันฝนบนหลังม้า 

 

 

“ไม่เป็นไร ข้าเอาผ้ากันฝนมาแล้ว นางเอ่ย “ข้าต้องเร่งเดินทาง ขอบคุณท่านยาย ข้าไปแล้ว”  

 

 

หญิงชรามองเด็กสาวเร่งม้าควบเร็วรี่จากไปก็อดไม่ได้เดินตามส่งหลายก้าว 

 

 

“เป็นแม่นางที่กตัญญูจริงๆ” นางจับต้นไม้เก่าแก่พลางถอนหายใจ “ระหกระเหินค้นหาสมุนไพรเช่นนี้ลำบากปานใด” 

 

 

คุณหนูจวินกลับไม่ได้รู้สึกลำบาก ชีวิตที่ระหกระเหินเช่นนี้เริ่มต้นตั้งแต่นางสิบขวบแล้ว 

 

 

ก่อนฝนห่าใหญ่จะตก นางก็สวมผ้ากันฝนแล้ว นางไปตามเครื่องหมายบนแผนที่ ก่อนหน้าที่ม้าจะไม่อาจเดินหน้าต่อได้ก็ค้นพบศาลเจ้าของเทพภูเขาแห่งหนึ่ง 

 

 

เลี้ยงม้า เก็บฟืน จุดไฟ ตากผ้ากันฝน เปลี่ยนเสื้อผ้าที่เปียก วางกลไกอาวุธลับที่ไม่ว่าคนหรืองูและแมลงล้วนไม่อาจเข้าใกล้ตัวเรียบร้อย งานเป็นพรวนนี้ยุ่งแต่ไม่วุ่นวาย ก่อนหน้าฟ้ามืดนางก็ทำเสร็จอย่างรวดเร็ว 

 

 

นางนอนอยู่บนเปลอย่างสบายอารมณ์ พลิกดูจดหมายของอาจารย์ กินอาหารแห้งที่อุ่นร้อนเรียบร้อยแล้ว 

 

 

ในศาลเจ้าเก่าพังมีนางเพียงคนเดียว ด้านนอกฝนห่าใหญ่เทกระหน่ำ แต่ในหัวใจนางไม่หวาดหวั่นวิตกสักนิด ตรงกันข้ามกลับสงบอย่างยิ่ง 

 

 

ด้านนอกฝนห่าใหญ่ปกคลุมฟ้าดิน มีคนเดินอยู่ในนั้นเลือนราง สายตาจับจ้องมายังวัดเก่าพังด้านนี้ ครู่หนึ่งหลังจากนั้นก็หายไปในความมืดของราตรี 

 

 

………………………………………. 

 

 

เจียงหนานคึกคักขึ้นบ้างแล้ว บนถนนใหญ่ในเมืองหลวงยิ่งครึกครื้น 

 

 

ด้านในโรงหมอจิ่วหลิงที่เงียบสงบมาตลอดก็ครึกครื้นยิ่งเช่นกัน 

 

 

แน่นอนความเงียบสงบนี้ไม่ได้บ่งบอกว่าโรงหมอจิ่วหลิงไม่มีลูกค้าจนหน้าประตูดักนกกระจอกได้ แต่คนที่เข้าโรงหมอจิ่วหลิงได้ไม่มั่งคั่งก็สูงศักดิ์ ดังนั้นไม่เหมือนร้านยาโรงหมอที่อื่นซึ่งคนไปคนมาเช่นนั้น 

 

 

นี่ก็ไม่ได้ทำให้โรงหมอจิ่วหลิงกลายเป็นสิ่งที่ชาวบ้านตาดำได้แต่เคารพอยู่ไกลๆ ไม่อาจเอื้อมถึงได้ 

 

 

โรงหมอจิ่วหลิงค่าตรวจกับค่ายาแพง แต่พวกเขาก็มียาที่ถูกเหมือนกัน 

 

 

หน่อฝีที่ทำให้เด็กนับไม่ถ้วนพ้นจากภัยของฝีดาษต้องการเพียงไม่กี่ร้อยอีแปะ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการถ่ายทอดวิชาปลูกฝีให้กับหมอนับไม่ถ้วน 

 

 

วิชาแพทย์เป็นสิ่งที่สืบทอดในตระกูลถ่ายทอดในสำนัก โรงหมอจิ่วหลิงกับคุณหนูจวินสอนให้กันโดยไม่มีหมกเม็ดสักนิดเช่นนี้ 

 

 

ก็ดั่งเช่นที่นางพูด คนหนึ่งรักษาไม่สู้หมื่นคนรักษา หมอคนหนึ่งทำได้ถึงขั้นนี้ หากยังมีคนตำหนินางว่าค่าตรวจค่ายาแพง นั่นถึงตาบอดไร้หัวใจ 

 

 

“เจ้าก็บอกข้าสิ ที่แท้ใช่นางหรือไม่” 

 

 

ท่านหมอเฒ่าเฝิงนั่งอยู่ในโรงหมอ ท่าทางดื้อรั้นอยู่บ้างเอ่ยขึ้น 

 

 

“ไม่เช่นนั้นวันนี้ข้าจะไม่ออกไป” 

 

 

เฉินชียิ้มพลางคำนับ“ใต้เท้าเฝิง ท่านอย่าทำข้าลำบากใจสิ” เขาเอ่ย “ข้าก็แค่ผู้ดูแลใหญ่คนหนึ่ง ขายยาเก็บเงิน เรื่องอื่นข้าไหนเลยจะรู้เล่า  

 

 

ท่านหมอเฒ่าเฝิงมองเขา 

 

 

“ตอนนี้ข่าวล้วนแพร่ออกไปแล้ว บอกว่าภรรยาท่านชายคนนั้นมาจากเมืองชิ่งหยวน” เขาเอ่ย “ตอนแรกนางไม่ใช่อยู่ที่ชิ่งหยวนรึ?” 

 

 

ที่สำคัญที่สุดก็คือ นางกับบุตรชายเฉิงกั๋วกงยังมีเรื่องคลุมเครือพูดได้ไม่ชัดพวกนั้นอีก 

 

 

เฉินชีหัวเราะฮ่าฮ่า 

 

 

“ดูท่านพูดเข้าสิ คนเมืองชิ่งหยวนมากไป” เขาเอ่ย 

 

 

ท่านหมอเฒ่าเฝิงอยากพูดอะไร เฉินชีก็ตบหัวไหล่เขา 

 

 

“เอาล่ะ ใต้เท้าเฒ่าของข้า นี่เฉิงกั๋วกงใกล้จะเข้าเมืองหลวงแล้ว ถึงเวลามองปราดเดียวไม่ใช่ก็รู้แล้วหรือ” เขายิ้มบอก 

 

 

คำพูดนี้ที่แท้ปฏิเสธหรือว่ายอมรับกันฮึ? ท่านหมอเฒ่าเฝิงในใจยังคงไม่มั่นใจ เพียงแต่รู้จักกันมานานปานนี้แล้ว เขาก็รู้ว่าเฉินชีดูไปแล้วสรวลเสเฮฮา แต่ปิดปากสนิทนัก พูดจาลงมือทำก็รู้จักสมควรอย่างที่สุด 

 

 

“ข้านี่ในใจร้อนใจนะ”เขาถอนหายใจเอ่ย “ผ่านไปนานปานนี้แล้ว นางยังไม่มีข่าวคราว” 

 

 

“วางใจเถอะ วางใจเถอะ เรื่องปลูกฝีไม่ใช่จัดการแล้วรึ” เฉินชียิ้มตอบ 

 

 

ท่านหมอเฒ่าเฝิงถลึงตากระทืบเท้า 

 

 

“ข้ากังวลใจเพราเรื่องหน่อฝีรึ?” เขาเอ่ย 

 

 

เฉินชีหัวเราะฮ่าฮ่าตบหัวไหล่เขา 

 

 

“ไม่ใช่ ไม่ใช่ ข้ารู้ว่าท่านเป็นห่วงคุณหนูจวิน” เขาเอ่ยพลางดันท่านหมอเฒ่าเฝิงเดินไปทางด้านนอก “ท่านวางใจเถิด ท่านยังไม่รู้จักนางรึ เรื่องใดจะทำให้นางลำบากได้ นางเก่งกล้าสามารถปานใด” 

 

 

ก็เหมือนจะเป็นเช่นนั้นจริงๆ แต่… 

 

 

“ข้าฟังคำพูดนี้ของเจ้าทำไมแปลกปานนี้เล่า” ท่านหมอเฒ่าเฝิงขมวดคิ้วเอ่ย 

 

 

เฉินชีหัวเราะฮ่าฮ่าส่งท่านหมอเฒ่าเฝิงออกจากประตู หมุนตัวมาก็ถอนหายใจแล้วเห็นฟางจิ่นซิ่วเดินเข้ามาในโถง 

 

 

“ข่าวนี้ไม่รู้ว่าเล็ดลอดออกมาจากที่ใด หลายวันนี้ในที่ลับในที่แจ้งคนที่มาสืบข่าวมากมายจริงๆ” เฉินชีรีบเอ่ยเสียงเบากับนาง 

 

 

“ใต้หล้าไหนเลยมีกำแพงที่ลมไม่ลอด” ฟางจิ่นซิ่วเอ่ย 

 

 

“คุณหนูจวินก็ไม่ได้บอกว่าให้หรือไม่ให้บอก พวกเราเลยไม่บอก” เฉินชีสีหน้าเคร่งเอ่ย 

 

 

ฟางจิ่นซิ่วจะพูดอะไร นอกประตูก็มีคนเดินเข้ามา 

 

 

“อั้ยย่ะ ขุนนางน้อยหนิง” เฉินชีรีบร้องเรียก เข้าไปต้อนรับอย่างดีอกดีใจ 

 

 

หนิงอวิ๋นเจาอมยิ้มพยักหน้าให้เขา แล้วยิ้มให้ฟางจิ่นซิ่ว 

 

 

ฟางจิ่นซิ่วผงกศีรษะไม่พูดจา สีหน้าเย็นชาอย่างที่เป็นมาเสมอก่อนหน้า 

 

 

“ข้าได้ยินข่าวลือเรื่องนั้น…” หนิงอวิ๋นเจาเอ่ยขึ้นตรงเข้าประเด็น 

 

 

“ไม่มีลมไม่เกิดคลื่น” เฉินชีเอ่ยรับคำของเขา สีหน้าจริงจังนอกจากนี้ยังทำท่ามืออันหนึ่งให้หนิงอวิ๋นเจาขณะหันหลังให้ฟางจิ่นซิ่ว 

 

 

หนิงอวิ๋นเจาตะลึงเล็กน้อยจากนั้นก็ยิ้มแล้ว 

 

 

“ได้ ข้าเข้าใจแล้ว” เขาเอ่ย พยักหน้าให้เฉินชีกับฟางจิ่นซิ่ว “ถ้าอย่างนั้นข้าขอตัว” 

 

 

เฉินชีก็ไม่ได้รั้งไว้ มองหนิงอวิ๋นเจาหมุนตัวเดินออกไปเช่นนี้ 

 

 

“เจ้าดูสิ คำเล่าลือร้ายกาจปานใด” เขาพรูลมหายใจหมุนตัวเอ่ยกับฟางจิ่นซิ่วอย่างจริงจัง 

 

 

ฟางจิ่นซิ่วคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้มมองเขา 

 

 

“พวกเจ้าทายปริศนาใบ้อะไรกัน?” นางเอ่ยถาม 

 

 

เฉินชีลูบศีรษะพลางหัวเราะแห้งๆ 

 

 

“ข้าเล่นทายปริศนาใบ้อะไร ข้าเพียงบอกเขาว่าอย่าเชื่อข่าวลือ” เขาเอ่ยจากนั้นก็ร้องเอ๋ “เหมือนคำพูดประโยคนั้นจะใช้ไม่ถูกนะ” 

 

 

เขาถูฝ่ามืออับอายอยู่บ้าง 

 

 

“อ่านหนังสือน้อย อ่านหนังสือน้อย ขายหน้าคนแล้ว” 

 

 

ฟางจิ่นซิ่วเหล่ตามองเขา 

 

 

“ทำไมเจ้าดีกับเขาปานนั้น? ผู้อื่นบอกไม่ได้ เจ้ากลับบอกเขาได้? เจ้าเกี่ยวข้องอะไรกับเขา?” นางเอ่ยถาม 

 

 

เฉินชีหัวเราะแห้งๆ อีกครั้ง 

 

 

“เจ้าพูดอะไรเล่า ข้าดีกับเขาอย่างไร? เขาไม่ใช่สตรีเสียหน่อย” เขาเอ่ย 

 

 

ฟางจิ่นซิ่วร้องอ้อ 

 

 

“หากเป็นสตรีคนหนึ่ง เจ้าก็จะดีกับผู้อื่นแล้วรึ?” นางเอ่ยถาม 

 

 

เสียงหัวเราะของเฉินชียิ่งฝืดเฝื่อน 

 

 

“เจ้าดูสิ เจ้าดูสิ อ่านหนังสือมากเข้าก็ไม่ดี คิดมากจริงๆ” เขาเอ่ย 

 

 

เสียงคุยเล่นแผ่วเบาด้านในโถงหลังร่าง หนิงอวิ๋นเจาไม่ได้สนใจ เขายืนอยู่นอกโรงหมอจิ่วหลิงด้วยสีหน้าหลากหลายอารมณ์อยู่บ้าง 

 

 

ที่จริงมาถามหรือไม่ก็ไม่จำเป็นอะไร เฉินชีพูดถูกแล้ว ไม่มีลมไม่เกิดคลื่น หากนางทำลงไปแล้วจะไม่เกิดคลื่นได้อย่างไร 

 

 

หนิงอวิ๋นเจายิ้มน้อยๆ 

 

 

“นี่เป็นใบที่สามแล้ว” เขาเอ่ยกับตนเอง 

 

 

“คุณชาย ใบอะไรที่สามแล้วขอรับ?” เสี่ยวติงอยู่ด้านข้างได้ยินเข้าก็เอ่ยถามอย่างไม่เข้าใจ 

 

 

“ไม่มีอะไร” หนิงอวิ๋นเจาเอ่ย กำลังจะเดินไปข้างหน้าก็เห็นบนนถนนวุ่นวายอยู่พักหนึ่งควบคู่กับเสียงร่ำไห้ตะโกน 

 

 

ที่แท้เป็นนายทหารกลุ่มหนึ่งกำลังขับไล่ผู้ชายผู้หญิงหลายคนอยู่ ในหมู่ผู้ชายผู้หญิงนี่ยังมีเด็กน้อยด้วย เห็นชัดยิ่งว่าเป็นคนครอบครัวหนึ่ง 

 

 

“ท่านทหาร ขอร้องพวกท่าน อย่าไล่พวกเราออกไปเลย” 

 

 

“เดือนหน้าพวกเราก็จะหาเงินมาจ่ายครบได้แล้ว” 

 

 

พวกเขาร้องไห้วิงวอน 

 

 

นายทหารทั้งหลายสีหน้าเย็นชา ใบหน้าเต็มไปด้วยความรำคาญ 

 

 

“ใครมีเวลารอพวกเจ้า” พวกเขาเอ่ยเสียงดัง พูดจบก็ยกไม้กระบองในมือหวดเข้าไป 

 

 

ผู้ชายผู้หญิงได้แต่ร้องไห้ไม่กล้ารั้งอยู่จากไปข้างนอก 

 

 

“นี่เกิดเรื่องอะไรขึ้น?” 

 

 

“นี่ไม่ใช่ครอบครัวของซุนเอ้อร์ที่ขายน้ำแกงแพะตรงเมืองฝั่งตะวันตกหรือ?” 

 

 

“ต้องจ่ายเงินอะไรสักอย่าง ไม่เช่นนั้นจะไม่อนุญาตให้ตั้งร้านที่ถนน” 

 

 

“อยู่ดีๆ เก็บเงินอะไร?” 

 

 

“ไม่รู้สิ สรุปคือพักนี้คำสั่งเรียกเก็บเงินของทางการอยู่ดีๆ ก็เพิ่มขึ้นมาก” 

 

 

ผู้คนบนถนนชี้มือชี้ไม้วิพากษ์วิจารณ์ฉากนี้ 

 

 

ความวุ่นวายนี้เกิดขึ้นเพียงพริบตาเดียว เมื่อนายทหารขับไล่คนครอบครัวนี้ไป ผู้คนก็สลายตัวอย่างรวดเร็วยิ่ง 

 

 

หนิงอวิ๋นเจายืนอยู่ที่เดิมไม่ก้าวเท้า คล้ายคิดสิ่งใดได้ 

 

 

“ไม่มีลมไม่เกิดคลื่น” เขาเอ่ยขึ้น