ภาคที่ 4 ตอนที่ 56 ยิ้มเพราะใครโกรธเพราะใคร

Jun Jiu Ling หวนชะตารัก

บนถนนเอะอะเช่นเดิม เสียงเรียกขานดังไม่หยุด เรื่องเมื่อครู่คล้ายไม่ได้เกิดขึ้น 

 

 

เมืองหลวงก็เป็นเช่นนี้ เรื่องเล็กน้อยจุดความวุ่นวายขึ้นพักหนึ่งได้ แต่ความวุ่นวายนี้จะผ่านไปรวดเร็วยิ่งนัก ดูคล้ายทุกคนใส่ใจ แต่ที่จริงเมื่อไม่เกี่ยวกับตนล้วนปล่อยทิ้งไว้ 

 

 

แต่หากเรื่องเกี่ยวพันถึงคนจำนวนมากเล่า? 

 

 

พูดถึงเกี่ยวพัน เรื่องที่เด็กสาวคนนี้ทำวันนี้ คนที่เกี่ยวพันถึงยิ่งมากขึ้นทุกทีจริงๆ 

 

 

หนิงอวิ๋นเจายิ้มอีกครั้ง 

 

 

“คุณชาย ที่แท้ท่านดีใจปานนี้เรื่องอะไรหรือขอรับ?” เสี่ยวติงเอ่ยถามอีกครั้งอย่างไม่เข้าใจ “วันนี้ท่านยิ้มมากจริงๆ” 

 

 

“เวลาอื่นข้าก็ไม่ได้ร้องไห้เสียหน่อย” หนิงอวิ๋นเจายิ้มเอ่ยพลางเดินไปข้างหน้า 

 

 

“คุณชายท่านล้อข้าเล้ว” เสี่ยวติงกระฟัดกระเฟียดโอดครวญ 

 

 

“ท่านอาของข้าถูกให้ออกจากตำแหน่งแล้ว นี่สำหรับตระกูลข้า สำหรับฮ่องเต้ล้วนไม่ใช่เรื่องน่าเบิกบานใจอะไร ข้ายังจะยิ้มแย้มแจ่มใสอีกหรือ” หนิงอวิ๋นเจายิ้มเอ่ยขึ้น 

 

 

“ถ้าอย่างนั้นตอนนี้…” เสี่ยวติงเอ่ยถาม 

 

 

“ตอนนี้เจรจาสงบศึกแล้ว บ้านเมืองประชาชนล้วนสงบสุข เฉิงกั๋วกงก็ปลอดภัยกลับมาตามพระราชประสงค์แล้ว นี่เป็นเรื่องน่าเบิกบานใจปานใด ย่อมต้องยิ้มมากเข้า หรือจะหน้าบึ้งให้ราชสำนักอึดอัดรึ?” หนิงอวิ๋นเจาเอ่ย “ช่วยผู้อื่นเท่ากับช่วยตนเอง ไม่ตบหน้าผู้อื่น ผู้อื่นย่อมไม่ตบหน้าเรา” 

 

 

เสี่ยวติงหัวเราะฮ่าฮ่าแล้ว 

 

 

“คุณชาย ท่านลากไปไกลแล้วกระมัง” เขาเอ่ย “ท่านต้องดีใจเพราะคุณหนูจวินจะมาแล้วแน่” 

 

 

พูดจบไม่รอหนิงอวิ๋นเจาตอบโต้ เขาก็วิ่งตื๋อไปข้างหน้าก่อนก้าวหนึ่ง 

 

 

หนิงอวิ๋นเจายิ้มไม่พูดไม่จา ก้าวเชื่องช้าตัดผ่านกลางฝูงชนที่ไปๆ มาๆ 

 

 

………………………………………. 

 

 

เสียงฝีเท้าทำลายความเงียบสงบของป่าเขาและทำสกุณาไก่ป่าแตกตื่นโผบินพรึบพรับวุ่นวายชนกันสะเปะสะปะอยู่พักหนึ่ง 

 

 

คุณหนูจวินยื่นมือปิดจมูกปากไว้ จามหลายหน จากนั้นก้าวเท้าสองสามก้าวก็มุดออกไปจากพุ่มไม้เตี้ยนี่แล้ว 

 

 

ตรงหน้าพลันปรากฏถ้ำภูเขาแห่งหนึ่ง หน้าผาสูงชันตั้งตระหง่าน 

 

 

คุณหนูจวินพรูลมหายใจ ปลดห่อสัมภาระลงหิ้วไว้แล้ววิ่งเข้าไป เดินไปได้หลายก้าวแล้วฉับพลันนางก็หยุดเท้าลง มองดูรอบด้านสีหน้าระแวดระวัง 

 

 

ที่นี่เพิ่งมีคนผ่านมา 

 

 

เป็นชาวเขาใกล้ๆ ที่มาล่าสัตว์ตัดฟืนหรือคนอื่น? 

 

 

คุณหนูจวินกวาดตามองรอบด้าน ฉับพลันดวงตาก็ทอประกายจับอยู่บนหน้าผา 

 

 

แม้ระยะทางไกลอยู่บ้าง แต่ยังคงมองเห็นชัดเจนว่ามีคนผู้หนึ่งเกาะอยู่บนหน้าผา 

 

 

และคนผู้นี้… 

 

 

“จูจั้น!” 

 

 

คุณหนูจวินหลุดปากตะโกน ก้าวไวๆ วิ่งเข้าไป 

 

 

เมื่อยืนอยู่ใต้หน้าผาเงยศีรษะขึ้นยิ่งมองเห็นคนด้านบนชัด จูจั้นที่ไม่พบหน้ามาหลายวันนั่นเอง 

 

 

เจ้าหมอนี่ถึงกับยังอยู่ที่นี่ คิดว่าเขาไล่ตามกองกำลังของเฉิงกั๋วกงไปเมืองหลวงแล้วเสียอีก 

 

 

จูจั้นปีนป่ายอยู่กลางอากาศ กำลังระมัดระวังและลื่นไหลลงมาอย่างรวดเร็ว 

 

 

ความเคลื่อนไหวรวมถึงเสียงตะโกนด้านล่างทำให้การเคลื่อนไหวของเขาหยุดลง 

 

 

“เฮ้” เขายื่นมือชี้ไปที่ตีนเขา “คนแซ่จวิน ที่นี่ข้ามาถึงก่อนนะ” 

 

 

แล้วโบกมืออีก 

 

 

“เจ้าไปเสีย ไปเสีย” 

 

 

คนผู้นี้ยังจำประโยคนั้นได้อีกแหนะ คุณหนูจวินหลุดหัวเราะ ในเวลาเดียวกันคิ้วก็ขมวดขึ้นมา 

 

 

เขาลูกนี้หน้าผาสูงชันยิ่งนัก 

 

 

“นี่ ท่านระวังหน่อย” นางตะโกนเสียงดัง “ต้องการให้ข้าช่วยหรือไม่?” 

 

 

จูจั้นหัวเราะฮ่าแล้ว 

 

 

“อย่าฝัน” เขาตะโกนบอก “เจ้าผู้หญิงคนนี้หวังอะไรอยู่ข้ารู้” 

 

 

เขาชี้จุดที่ไม่ไกลข้างใต้ร่าง 

 

 

“ข้าบอกเจ้าไว้เลย ต้นเซียนจื่ออิงต้นนี้ข้าหาพบ ไม่เกี่ยวข้องกับเจ้า” 

 

 

ถึงกับหาพบจริงๆ? คุณหนูจวินก้าวเท้าไปข้างหน้าอีกครั้ง กะพริบตามองไปทางหน้าผา 

 

 

ระหว่างหินผาที่ซ้อนเป็นชั้นๆ สลับกันมีดอกไม้ดอกหนึ่งเอนไหวอยู่ลางๆ 

 

 

ดีเหลือเกิน 

 

 

บนหน้านางอดไม่ได้ผุดรอยยิ้ม แต่ครู่ต่อมาก็ผุดความหวาดผวาออกมาอีก 

 

 

“นี่ ฝั่งนั้นอันตรายมาก หินภูเขาส่วนใหญ่ร่วนแล้ว ท่านอย่าข้ามไป…” นางตะโกนเสียงแหลม 

 

 

เสียงยังไม่ทันเอ่ยจบก็เห็นร่างของจูจั้นแกว่งไกวทีหนึ่ง พร้อมกันนั้นเสียงร้องเฮ้ยก็ดังขึ้น คนพลันร่วงลงมา 

 

 

คุณหนูจวินก็กรีดร้องเสียงหลง มือกุมศีรษะ 

 

 

ไม่ ไม่ ไม่… 

 

 

ท่ามกลางเสียงกรีดร้องแหลม มีเสียงหัวเราะฮ่าฮ่าดังลั่นดังขึ้น 

 

 

“ดูท่าทางโง่งมนั่นของเจ้าสิ” จูจั้นหัวเราะเสียงดัง ตะโกนขึ้นมา 

 

 

คุณหนูจวินสีหน้าตะลึงมองไป เห็นเขาห้อยแกว่งไปมาอยู่กลางทาง เชือกเส้นหนึ่งมัดอยู่บนเอวของเขา 

 

 

“ข้าไม่ใช่คนโง่เสียหน่อย” จูจั้นหัวเราะเอ่ยขึ้น มือหนึ่งส่ายเชือก ยังคงพร่ำบ่นกับตนเอง “อย่าคิดว่าใต้หล้ามีแค่เจ้าที่ร้ายกาจสิ” 

 

 

คุณหนูจวินอยากพูดอะไรบางอย่างแต่ก็พูดไม่ออก เพียงจ้องเขานิ่งสนิท 

 

 

จูจั้นเยาะเย้ยหลายประโยคเห็นนางไม่มีปฏิกิริยาก็ไม่พูดต่ออีก 

 

 

“ดูไว้เถอะข้าเก็บสมุนไพรต้นนี้ได้ พวกเราก็ไม่ติดค้างกันแล้ว” เขาทิ้งท้ายประโยคหนึ่ง มือปีนป่ายหินภูเขา เท้าออกแรงเหยียบทีหนึ่ง คนก็เหวี่ยงตัวไปทางสมุนไพรด้านข้าง 

 

 

แต่ตอนที่เขากำลังจะคว้าหินภูเขาก้อนหนึ่งยึดร่างมั่นคงได้ เชือกที่มัดอยู่ตรงเอวซึ่งห้อยลงมาจากด้านบนก็พลันร่วงหล่น 

 

 

จูจั้นรู้สึกเพียงร่างกายหนักขึ้นวูบหนึ่ง เท้าเหยียบอากาศวูบหนึ่ง คนก็ร่วงลงไปเบื้องล่าง 

 

 

บัดซบ! 

 

 

คราวนี้เขาไม่ได้ร้องเฮ้ยเสียงดังแล้ว แต่ในใจด่าประโยคหนึ่ง 

 

 

เชือกเส้นนั้นประหนึ่งงูตัวยาวตัวหนึ่งร่วงหล่นเห็นชัดยิ่งนัก คุณหนูจวินที่ยืนอยู่ตรงตีนเขาก็มองเห็นชัดเจนแจ่มแจ้ง 

 

 

เห็นร่างกายของจูจั้นไหลร่วงลงเบื้องล่างอีกครั้ง มือของคุณหนูจวินยังคงกุมศีรษะ แต่ไม่ได้กรีดร้องเสียงหลงเหมือนก่อนหน้า 

 

 

นางเพียงมองนิ่งอึ้ง ประหนึ่งทุกสิ่งในโลกล้วนไม่มีอยู่แล้ว มีเพียงคนผู้นั้นกำลังร่วงหล่น 

 

 

ร่วงหล่น 

 

 

หินภูเขากลิ้งร่วง 

 

 

ร่วงลงบนพื้น ประหนึ่งตุ๊กตาดินปั้นแตกเละ ดุจตุ๊กตาผ้าถูกตัดขาด 

 

 

ที่แท้ก็ตายเช่นนี้หรือ? 

 

 

นาทีนั้นฉากนั้นเป็นเช่นนี้หรือ? 

 

 

ในหูเสียงหินภูเขากลิ้งร่วงดังขึ้นไม่หยุด แต่คนที่หล่นร่วงคนนั้นกลับหยุดแล้ว 

 

 

จูจั้นสองขาห้อยอยู่กลางอากาศ สองมือเกาะอยู่บนหินภูเขาที่นูนออกมาก้อนหนึ่ง เขาไม่ได้หยุดชะงักสักนิด ออกแรงแกว่งตัวขึ้นไปข้างบน มือเท้าใช้ในการปีนป่ายหน้าผา 

 

 

เขาหยุดอยู่ที่หนึ่งอย่างรวดเร็วยิ่ง เอามีดที่เอวออกมาพลิกมือตัดเชือกที่มัดเอวออก เชือกเส้นยาวไม่มีที่ยึดเกาะอีกต่อไปร่วงหล่นลงจากเขา มีดของเขาแทงคว้านบนหน้าผาอย่างฉับไว 

 

 

แทบจะพริบตาเดียวมีดก็โยนทิ้งด้วย ต้นเซียนจื่ออิงรากติดยาวเฟื้อยถูกเขาคาบไว้ในปาก คนก็ปีนขึ้นไปข้างบน หายไปจากสายตาอย่างรวดเร็วยิ่ง 

 

 

คุณหนูจวินยังคงยืนอยู่ที่เดิม คล้ายตะลึงอย่างสิ้นเชิง ไม่ทราบผ่านไปนานเท่าใด จนกระทั่งมีคนตบหัวไหล่นางจากด้านหลัง 

 

 

“คงไม่กระมัง ตกใจจนอึ้งไปจริงๆ แล้วรึ?” จูจั้นยื่นศีรษะสำรวจมองนางแล้วเลิกคิ้วเอ่ยขึ้น 

 

 

คุณหนูจวินมองเขา แววตาหวั่นไหวอยู่บ้าง 

 

 

จูจั้นโบกมือไปมาตรงหน้านาง หัวเราะฮ่าฮ่าแล้ว 

 

 

“ที่แท้ก็ขี้ขลาดปานนี้เชียวรึ?” เขาเอ่ย แต่นาทีต่อมาก็หุบยิ้ม คนพลันถอยไปข้างหลังก้าวหนึ่ง ชี้นิ้วใส่คุณหนูจวิน “ข้าบอกเจ้าเลยนะ อย่าคิดเล่นไม้นี้ แสร้งทำท่าตกใจจนอึ้ง แสดงออกว่าเป็นห่วงข้ายิ่งนัก ละครเช่นนี้ข้าเห็นมามากแล้ว แรกสุดตระหนกลนลานขวัญกระเจิง หลังจากนั้นก็ดีใจเหมือนเป็นบ้าโถมเข้ามากอดคนร้องไห้…” 

 

 

เสียงของเขายังไม่ทันจบก็ได้ยินคุณหนูจวินร้องเสียงแหลมทีหนึ่ง คนก็โถมเข้ามาใส่เขา 

 

 

จูจั้นร้องเฮ้ยทีหนึ่งเช่นกัน คนก็หลบไปด้านข้าง คุณหนูจวินช้าไปก้าวหนึ่ง คว้าได้เพียงแขนเสื้อของเขาเกือบจะทึ้งออกมา 

 

 

“โชคดีนะที่ข้าระวังไว้ก่อน” จูจั้นร้องตะโกน วางท่าเตรียมป้องกันใส่คุณหนูจวิน “”เจ้าอย่าคิดจับนู่นจับนี่ข้า” 

 

 

คุณหนูจวินสองตาแดง สีหน้ากลับเขียวม่วง จ้องเขาเขม็ง 

 

 

“ท่านทำอะไร?” ในที่สุดนางก็ตะโกนออกมา เสียงแหบพร่า “ท่านทำอะไรฮะ? ท่านบ้าไปแล้วรึ? ท่านบ้าไปแล้วรึ?” 

 

 

นางเพียงร้องตะโกนประโยคนี้ซ้ำไปมา 

 

 

สภาพนี้คล้ายตกใจกลัวไม่เบาจริงๆ จูจั้นระแวงป้องกันไปพลาง ก้าวเข้ามาก้าวหนึ่งไปพลาง 

 

 

“ข้าทำอะไรได้เล่า? ขุดสมุนไพรสิ” เขาเอ่ย “สมุนไพรนี่หายากเช่นนี้ ย่อมไม่ใช่ง่ายปานนั้นก็เอามาได้ มีอะไรตกอกตกใจ  

 

 

คุณหนูจวินกัดริมฝีปากล่าง สองตาแดงก่ำ เพียงมองเขาอย่างดุร้าย 

 

 

สีหน้าเช่นนี้ทำให้คนฝืนมองตรงๆ ไม่ได้อยู่บ้าง 

 

 

จูจั้นเอาต้นเซียนจื่ออิงที่ยัดไว้ในอกเสื้อออกมา 

 

 

“แค่เกิดอุบัติเหตุนิดหน่อยเท่านั้น ไม่ได้น่ากลัวอะไร” เขาเอ่ยแล้วยักไหล่หัวเราะฮ่าฮ่า ตัดสินใจเล่นมุกให้บรรยากาศผ่อนคลายลง “มีอะไรน่ากลัวเล่า อย่างไรข้าก็คงไม่มีทางตกลงมาตายเช่นนี้หรอกกระมัง? ข้าเป็นใคร ข้าร้ายกาจปานนี้ หากตกลงมาตายเช่นนี้ ถ้าอย่างนั้นก็น่าขำเกินไปแล้ว” 

 

 

แต่ประโยคนี้เห็นชัดว่าไม่ได้ทำให้ผ่อนคลายลงเลย เสียงพูดของเขายังไม่ทันจบก็เห็นเด็กสาวที่เดิมแค่จ้องเขาอยู่ พริบตาร้องเสียงแหลมทีหนึ่ง คว้ากิ่งไม้ที่ร่วงกระจายอยู่บนพื้น พุ่งเข้ามาฟาดใส่หัวใส่หน้าเขา 

 

 

“ท่านสิขำ ท่านสิขำ” นางตะโกนไปด้วย 

 

 

จูจั้นตกใจสะดุ้งโหยง แล้วก็รู้สึกประหลาด 

 

 

“ข้าพูดว่าข้าน่าขำ เจ้าตีข้าทำอะไร” เขาร้องตะโกน “เจ้าฟังผิดแล้วใช่หรือไม่?”