ภาคที่ 4 ตอนที่ 57 หยอกล้อจึงเข้าใจ

Jun Jiu Ling หวนชะตารัก

“เจ้าเป็นบ้าอะไรเนี่ย” 

 

 

“เจ้าทำแบบนี้อีกข้าจะสวนกลับแล้วนะ” 

 

 

“เจ้าหยุดแต่พอดี” 

 

 

“ข้ากับเจ้าก็ไม่ใช่คุ้นเคยกัน เจ้าอย่าหาเรื่องข้า” 

 

 

หลังโวยวายพักหนึ่ง จูจั้นก็พูดจริงทำจริงไม่เกรงใจอีกต่อไป สองสามครั้งก็แย่งกิ่งไม้โยนไปด้านข้าง 

 

 

“เจ้าอย่าคิดว่าข้าไม่ตีผู้หญิงนะ” เขามองสตรีผู้กำหมัดจ้องตนอย่างดุร้าย “ใครตีข้า ข้าก็ตีคนนั้น ข้าไม่สนหรอกว่าผู้ชายผู้หญิงเด็ก” 

 

 

คุณหนูจวินมองเขาอย่างดุร้ายไม่พูดไม่จา เห็นชัดว่าอารมณ์กำลังคุกรุ่น 

 

 

จูจั้นเปลี่ยนมาตั้งท่าระวังป้องกันอีกครั้ง 

 

 

“คนแซ่จวิน พวกเราเพียงทำการค้ากัน มีอะไรก็พูด เจ้าโกรธอย่ามาระบายใส่ข้า ข้าไม่มีเวลาว่างแล้วก็ไม่มีอารมณ์สนใจ” เขาเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง 

 

 

คุณหนูจวินมองเขาครู่หนึ่ง จากนั้นยื่นมืออกมา 

 

 

“ให้ข้า” นางเอ่ย 

 

 

แม้พูดด้วยเสียงแหบพร่าสั้นกระชับ จูจั้นกลับไม่ถามมาก รู้ชัดมากว่าที่นางพูดหมายความว่าอย่างไร 

 

 

จูจั้นลังเลนิดหนึ่งคล้ายกลัวนางจะโถมเข้ามาล่วงเกินตนเอง อยู่ห่างไปหลายก้าวโยนต้นเซียนจื่ออิงข้ามมาอย่างระมัดระวัง 

 

 

คุณหนูจวินรับไว้แล้วก้าวเท้าไปข้างหน้า 

 

 

จูจั้นยกแขนขึ้น ถอยหลังตั้งท่าระวังทันที กลับเห็นนางเพียงแค่เดินผ่านตนเองไปอีกด้านหนึ่งเท่านั้น 

 

 

“ตอนนี้ พวกเราสองคนไม่ติดค้างกันแล้ว” คุณหนูจวินเอ่ยขึ้น ศีรษะก็ไม่หันกลับมา “ท่านไสหัวไปได้แล้ว ไสหัวไปไกลๆ อย่าให้ข้าเห็นท่านอีก” 

 

 

เส้นผมเสื้อผ้าของนางเพราะคลุ้มคลั่งเมื่อครู่จึงยุ่งเหยิงอยู่บ้าง แต่เสียง ท่าทางฟื้นกลับมานิ่งสงบแล้ว มองท่าทางคลุ้มคลั่งก่อนหน้านี้ไม่ออกสักนิด 

 

 

นอกจากนี้บอกไปก็ไป แรกสุดก้าวยาวๆ หลังจากนั้นก็วิ่งขึ้นมาดื้อๆ พริบตาก็ไปไกลแล้ว 

 

 

จูจั้นยืนอยู่ที่เดิมยังคงตั้งท่าระวัง คล้ายชั่วขณะหนึ่งไม่ทันตอบสนอง จนกระทั่งเห็นสตรีคนนั้นหายไปจากช่องเขา ถึงยืนตัวตรง 

 

 

“เล่นละครอะไรกันเล่า?” เขาเอ่ย 

 

 

ย้อนคิดเรื่องทั้งหมดขึ้นมาก็ประหลาดจริงแท้ นอกจากนี้นี่ยังเป็นครั้งแรกที่เห็นนางร้องไห้โวยวายเช่นนี้ด้วย 

 

 

จูจั้นมองแผ่นหลังของคุณหนูจวินไกลออกไป 

 

 

“อยากรับแต่ปฏิเสธก่อน” เขาแค่นเสียงเหอะ พูดเหมือนเข้าใจ “อย่าคิดว่าข้าจะหลงกล” 

 

 

พูดจบก็ก้าวยาวไปอีกทางหนึ่ง พริบตาก็หายไประหว่างหุบเขา 

 

 

ในหุบเขาฟื้นกลับมาเงียบสงบ หินภูเขาที่ร่วงเกลื่อนกลาดอยู่บนพื้น เชือกที่หล่นร่วงอยู่ในพงหญ้า กิ่งไม้ที่ใช้ตีสะเปะสะปะซึ่งถูกโยนทิ้งไว้อยู่ที่นี่ไม่โดดเด่นสะดุดตา หลังผ่านไปวันสองวันก็คงกลมกลืนเป็นร่างเดียวกับหุบเขาแห่งนี้ 

 

 

ไม่ทราบว่าผ่านไปนานเท่าไร ลมหอบหนึ่งพัดผ่าน ต้นไม้ใบหญ้าเอนไหวทำลายบรรยากาศนิ่งงันในหุบเขา ในเวลาเดียวกันเสียงฝีเท้าก็ดังขึ้น จูจั้นปรากฏตัวด้านนี้อีกครั้ง 

 

 

เทียบกับรอยยิ้มร่าสบายอกสบายใจก่อนหน้านี้ เวลานี้สีหน้าของเขานิ่งสนิท ก่อนอื่นเขาเงยศีรษะมองดูบนหน้าผาแล้วมองรอบด้าน ตอนนี้ถึงเดินเข้าไปเก็บเชือกที่หล่นร่วงอยู่บนพื้น 

 

 

คล้ายกับผู้เฒ่าตระหนี่ที่ทิ้งเชือกไม่ลงคนหนึ่ง เชือกเส้นนี้แม้ไม่ได้ทำให้เกิดประโยชน์อย่างที่ควรบนหน้าผา แต่บางทีอาจมีประโยชน์ที่อื่นอีกก็ได้ 

 

 

จูจั้นเก็บเชือกขึ้นมาแต่ไม่ได้เก็บเข้าไป กลับตั้งใจมองดูปลายเชือก 

 

 

เชือกมีปลายสองด้าน ด้านหนึ่งยังมัดเป็นปม นี่เป็นด้านที่มัดตรงเอวเขา เมื่อครู่ใช้มีดตัดขาด รอยขาดเรียบสนิท  

 

 

จูจั้นถือปลายอีกด้านหนึ่งขึ้นมาอีก มือคลำถูกรอยขาดเรียบสนิทเช่นกัน แววตาทะมึน 

 

 

………………………………………. 

 

 

“เห็นไหม” 

 

 

จูจั้นก้าวยาวๆ เดินมาถึงตรงหน้าคุณหนูจวินที่นั่งอยู่ข้างทางภูเขา โยนเชือกในมือลงมา 

 

 

คุณหนูจวินกำลังนั่งทานเนื้อแดดเดียวชิ้นหนึ่งอยู่ ไม่ตกตะลึงกับการปรากฏตัวกะทันหันของจูจั้นสักนิด 

 

 

ส่วนจูจั้นก็ไม่อธิบายว่าตนเองทำไมตามมา เขายืนอยู่ตรงนี้เหมือนไม่ปุบปับสักนิด 

 

 

คล้ายกับว่าพวกเขาคนหนึ่งนั่งคนหนึ่งยืนอยู่ตรงนี้มาตลอด 

 

 

คุณหนูจวินมองเชือกบนพื้นทีหนึ่งไม่พูดไม่จา 

 

 

“ข้าไม่ได้จงใจทำเจ้าตกใจนะ นอกจากนี้ข้าก็ไม่ใช่ไม่ได้เตรียมตัวให้พร้อมถึงเกิดอุบัติเหตุ” จูจั้นเอ่ย “ข้าถูกคนลอบทำร้าย” 

 

 

คุณหนูจวินหลุบตางับเนื้อแดดเดียว 

 

 

“นี่มีสิ่งใดแตกต่าง?” นางเอ่ย “ไม่ได้เตรียมเชือกให้ดีจนเกิดอุบัติเหตุ กับไม่เตรียมพร้อมให้ดีจนถูกคนฉวยโอกาสลอบทำร้าย ไม่ใช่ล้วนเพราะท่านโง่เง่ารึ?” 

 

 

“เฮ้!” จูจั้นตะโกนทีหนึ่ง “นี่จะเหมือนกันได้อย่างไรเล่า?” 

 

 

“ท่านฉลาดปานนี้ ร้ายกาจปานนี้ กลับไม่สังเกตว่ามีคนจะทำร้ายท่าน? ไม่ใช่โง่เง่าแล้วเป็นอะไร?” คุณหนูจวินเอ่ย 

 

 

จูจั้นอยากพูดอะไร คุณหนูจวินก็ยกมือขึ้นอีกหน แกว่งเนื้อแดดเดียว 

 

 

“ไม่ ข้าพูดผิดแล้ว” นางเอ่ยขึ้น 

 

 

จูจั้นหรี่ตาก้มมองนางจากข้างบน 

 

 

คุณหนูจวินเงยหน้ามองเขา 

 

 

“ไม่ใช่ท่านโง่เง่า น่าจะเป็นอีกฝ่ายร้ายกาจเกินไปฉลาดเกินไป” นางเอ่ย 

 

 

นี่ก็ไม่ใช่ด่าเขาโง่เง่าหรือ? 

 

 

จูจั้นถลึงตาแล้วพลันกอดอกถอยหลังก้าวหนึ่ง ขมวดคิ้วมองประเมินนาง 

 

 

“เจ้าเรียนมาจากใครกันฮะ? ทำไมไม่ปกติแบบนี้ได้?” เขาเอ่ย 

 

 

เรียนจากใคร? 

 

 

ก็เรียนจากเจ้าโง่ที่หลงตนเองยิ่งกว่าท่าน ร้ายกาจยิ่งกว่าท่านแต่ท้ายที่สุดกลับตกลงมาตายเพราะเก็บสมุนไพรต้นนี้น่ะสิ 

 

 

คุณหนูจวินมองเนื้อแดดเดียวในมือ อารมณ์ที่เดิมทีกำลังจะกดลงไปได้ปั่นป่วนขึ้นมาอีกครั้ง 

 

 

จูจั้นก็รู้สึกได้ รีบร้องเฮ้ยเฮ้ยหลายที 

 

 

“เจ้าอย่าคลุ้มคลั่งอีกเชียว” เขาเอ่ย “ข้าไม่ผิดนะ ต่อให้การกระทำของข้าทำให้เจ้านึกถึงเรื่องของคนอื่นขึ้นมา เจ้าระบายความโกรธใส่ข้าก็ไม่ยุติธรรม” 

 

 

เขาพูดเปิดอกตรงไปตรงมาออกมาเช่นนี้ อารมณ์ของคุณหนูจวินพลันสลายไปแล้ว 

 

 

ใช่แล้ว เขาไม่โง่เง่าจริงๆ แม้บางครั้งเสแสร้งแกล้งโง่ แต่ในใจยังคงเข้าใจกระจ่างชัดนัก 

 

 

ก่อนหน้านี้นางเกรี้ยวกราดเช่นนั้นไม่ใช่เพราะเสียสติไปแล้ว แต่เห็นชัดยิ่งว่าสะเทือนใจเพราะคิดถึงเรื่องในอดีตคนในอดีต 

 

 

“นี่มีสิ่งใดไม่เข้าใจ เรื่องทางโลกเรื่องของคน เรื่องเกิดขึ้นมาอย่างไรก็เป็นเพราะคน” จูจั้นเอ่ยแล้วมองไปทางคุณหนูจวินอีกครั้ง “บนโลกนี้ไม่มีความรักความชังที่ไร้ต้นสายปลายเหตุ ดังนั้นข้าถึงไม่เข้าใจว่าทำไมเจ้าปฏิบัติต่อครอบครัวของพวกเราแปลกประหลาดเช่นนี้? ที่แท้มีสิ่งใดไม่อาจพูดได้?” 

 

 

คุณหนูจวินวางเนื้อแดดเดียวเข้าปากเคี้ยวช้าๆ 

 

 

“ไม่มีสิ่งใด” นางเอ่ย “ไม่มีสิ่งใดบอกได้” 

 

 

พูดจบก็โบกมือ 

 

 

“เอาอย่างนี้เถอะ ที่ท่านติดค้างต้นเซียนจื่ออิงหนึ่งต้นกับข้า คืนเสร็จสิ้นแล้ว พวกเราสองฝ่ายไม่ติดค้าง ท่านตามพ่อของท่านเข้าเมืองหลวงเถอะ อย่าตามข้าอีกเลย” 

 

 

จูจั้นนั่งพรึบลงมา 

 

 

“ใครตามเจ้า?” เขาแค่นเสียงเอ่ย “อย่าคิดไปเองให้มากนักนะ เจ้าทำอะไรหาอะไรจะเป็นหรือตาย ข้าหาสนใจไม่” 

 

 

คุณหนูจวินหันกลับมามองเขา 

 

 

“ที่จริงความหมายของข้าก็คือ ท่านอย่าลากข้าไปเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายด้วยได้หรือไม่?” นางเอ่ย “ท่านดูสิ ท่านเดินทางไปถึงที่ไหนก็ล้วนถูกคนไล่ล่าสังหาร ท่านตามข้ามา หากผู้อื่นถือโอกาสสังหารข้าไปด้วยเล่า? ข้าก็โชคร้ายเกินไปแล้วสิ?” 

 

 

จูจั้นร้องฮ่าทีหนึ่ง 

 

 

“อะไรเรียกข้าลากเจ้าไปเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายด้วย?” เขาเอ่ยแล้วเอาขานั่งขัดมาธิ “อีกอย่าง เรื่องยังไม่ชัดเจนเลย คนผู้นี้จะสังหารข้าหรือจะสังหารเจ้าก็ยังไม่แน่หรอก” 

 

 

คุณหนูจวินมองเขาแล้วเบ้ปาก 

 

 

“สังหารข้ากลับไปตัดเชือกท่าน?” นางเอ่ย “คนผู้นี้ตาบอดใช่หรือไม่?” 

 

 

จูจั้นส่ายศีรษะ 

 

 

“ไม่ นี่บ่งบอกว่าคนผู้นั้นสายตาชั่วร้าย” เขาเอ่ย “เขารู้ว่าข้าร้ายกาจมาก ดังนั้นหากต้องการสังหารเจ้า ย่อมต้องกำจัดข้าก่อนถึงจะไม่พลาด” 

 

 

คุณหนูจวินหัวเราะฮ่าฮ่าแล้ว 

 

 

“ท่านยังพูดออกมาได้” นางสบถทีหนึ่งเอ่ยขึ้น 

 

 

“นี่เป็นความจริงข้ามีอะไรพูดออกมาไม่ได้?” จูจั้นสีหน้าจริงจังเอ่ย 

 

 

คุณหนูจวินหัวเราะฮ่าฮ่าอีกครั้ง ยัดเนื้อแดดเดียวสองสามคำเข้าปาก แล้วถือกาน้ำขึ้นดื่มคำหนึ่งจากนั้นลุกขึ้นยืน จูงม้าด้านข้างมา 

 

 

“ข้าว่านะคนแซ่จวิน เจ้าอย่าคิดว่าตัวเจ้าเองเป็นที่ต้อนรับนักเลย” จูจั้นเอ่ยพลางจูงม้าตาม “อย่าลืม เจ้าศัตรูมากเท่าไรก่อเรื่องมากเท่าไร ตอนนี้คนที่อยากสังหารเจ้ายิ่งมาก” 

 

 

คุณหนูจวินร้องอ้อทีหนึ่ง 

 

 

“ถ้าอย่างนั้นท่านยังตามข้าอีกรึ?” นางเอ่ย 

 

 

“ข้าตามเจ้ายังไง?” จูจั้นเอ่ย “ถนนกว้างเดินคนละฝั่ง อาศัยอะไรเจ้าเดินได้ข้าเดินไม่ได้?” 

 

 

คุณหนูจวินร้องอ้อทีหนึ่งไม่พูดจาอีก แต่เขาเปลี่ยวรกชัฏกลับไม่ได้เงียบลง 

 

 

“เฮ้ยเฮ้ย เจ้าอย่าคิดมากเด็ดขาด” 

 

 

“พวกเราควรตอบแทนน้ำใจอะไรก็ตอบแทนอันนั้น อย่าคิดไปเองเด็ดขาด” 

 

 

“ถ้าไม่เช่นนั้นเอาแบบนี้เถอะ พวกเราทำการค้ากันอีกสักครั้ง เจ้าจ้างข้าช่วยเจ้าตามหาสมุนไพร” 

 

 

“เห็นแก่มิตรภาพ ต้นหนึ่งเอาแค่ห้าพันตำลึงเป็นอย่างไร?”