บทที่ 62 Ink Stone_Romance
“นี่มันอะไรกัน…!”
นี่เขากำลังพูดถึงเรื่องบ้าบออะไรกันแน่!
อาเรียพูดอะไรไม่ออก ได้แต่อ้าปากพะงาบๆ ดังนั้น อาซผู้อยู่หลังม่านจึงเอ่ยปากขึ้นย้ำอีกครั้งเพื่อขจัดความลังเลของเธอทิ้งไป
“ผมบอกว่าผมรู้ความลับของเลดี้ครับ เพราะฉะนั้นเรามาคุยกันหน่อยดีไหมครับ”
“…คุณ คุณหมายถึงความลับอะไรคะ”
“ให้ผมพูดตรงนี้จะดีหรือครับ มันอาจจะเป็นความลับง่ายๆ ก็ได้นะครับ”
นี่เขาหมายถึงเรื่องอะไรกันแน่! หรือเขากำลังบอกว่าเขารู้เรื่องนาฬิกาทราย… อย่างนั้นหรือ รู้ได้อย่างไรกัน!
อาเรียเหลือบมองเจสซี่กับแอนนี่ พวกหล่อนกำลังเป็นห่วงที่ผู้เป็นนายถูกข่มขู่ด้วยความลับอะไรบางอย่างแต่ก็ยังมีสีหน้าอยากรู้อยากเห็นอยู่ในทีเช่นกัน
อาเรียปรายตามองนาฬิกาทราย ก็ได้ รีบคุยให้มันจบๆ แล้วค่อยใช้นาฬิกาทรายย้อนเวลาเอาก็แล้วกัน เธอไม่รู้ว่าเขารู้ความลับเรื่องอะไร แต่ก็ไม่อาจปล่อยผ่านไปได้เช่นกัน
“แอนนี่ เจสซี่ …พวกเธอสองคนออกไปก่อนสักเดี๋ยวได้ไหม”
“…เลดี้คะ!”
“แต่ว่า!”
“เราไม่เป็นไร พวกเธอไปเถอะ ไม่นานก็จบแล้วล่ะ อ้อ ทิ้งกล่องเอาไว้ด้วยล่ะ”
เมื่อเขาบอกเรื่องความลับที่เขารู้ทันทีที่เข้ามา หากมีอะไรเกิดขึ้นเธอก็สามารถหมุนนาฬิกาทรายกลับมาในตอนนี้ ณ วินาทีนี้ได้
อาเรียออกคำสั่งอย่างเฉียบขาด ทำให้ทั้งแอนนี่และเจสซี่ไม่อาจทนอยู่ต่อไปได้ จำต้องลุกออกจากที่ไปในที่สุด อาเรียพยักหน้ารับทราบเมื่อพวกหล่อนบอกว่าจะสั่งให้อัศวินเตรียมพร้อมประจำการเอาไว้
จากนั้นอาซจึงเข้ามาที่ระเบียงราวกับคอยอยู่ก่อนแล้ว เธอจิกตามองด้วยนึกชิงชังรูปปากที่ยังยกขึ้นเป็นรอยยิ้ม ทั้งที่จู่ๆ ก็เป็นฝ่ายโผล่หัวมารบกวนการออกมาเที่ยวเปิดหูเปิดตาที่เธอรอคอยมาแสนนาน เขาหัวเราะออกมาทันทีเมื่อเห็นแบบนั้น
“เลดี้เกลียดผมขนาดนั้นเชียวหรือครับ”
“แล้วคุณมีตรงไหนให้ดิฉันชอบด้วยหรือคะ ในเมื่อดิฉันต้องมาถูกขู่เข็ญในวันหยุดที่ดิฉันรอมานานแบบนี้”
“อ้อ สำหรับเรื่องนั้นผมต้องขอโทษด้วยนะครับ เพราะผมคิดว่าเลดี้คงไม่ต้อนรับผมถ้าผมไม่ทำแบบนั้นน่ะครับ”
แม้เขาจะขอโทษแล้วแต่ท่าทางของอาเรียดูเหมือนยังโกรธอยู่ อาซที่ยังคงยิ้มอยู่เช่นเดิมจึงย่อเข่าลงข้างหนึ่งแล้วยื่นมือออกไป อาเรียตกใจได้แต่กะพริบตาปริบๆ
“ได้โปรดยกโทษให้กับความหยาบคายของผมด้วยนะครับ เลดี้ ผมจะระวังไม่ให้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นอีกครับ”
ไม่ใช่ระวังไม่ให้มีเรื่องแบบนี้อีก แต่เราไม่ควรต้องมาเจอหน้ากันอีกหลังจากวันนี้เป็นต้นไป หากเธอตอบไปแบบนั้น ทุกอย่างก็จะจบ
ทำไมกันแต่ทำไมกันนะ
อาเรียจำต้องยื่นมือออกไปหาอาซที่ไม่คิดจะสนใจแม้เธอจะจิกเล็บเท้าไปหลายหนแล้วก็ตาม
เขาไปเรียนมารยาทแบบนี้มาจากไหนกัน ทั้งที่เป็นเพียงขุนนางชั้นต้นแต่ท่าทางของเขากลับซื่อตรงมากเหลือเกิน ขณะที่อาเรียกำลังนึกชื่นชมท่าทางของเขาอยู่นั้น อาซก็จูบลงบนหลังมือของอาเรียด้วยท่าทางมั่นคงแน่วแน่
เธอคิดว่าเขาคงแตะริมฝีปากเพียงครู่เดียวแล้วผละจากไป… แต่เขากลับประทับจูบอยู่บนหลังมือขาวนวลของอาเรียอย่างสุภาพ
ใบหน้าของอาเรียแดงระเรื่อเพราะท่าทางที่เหมือนกำลังถือของล้ำค่าอย่างระมัดระวังนั้นของเขา
‘ฉันชีวิตที่ผ่านมาฉันเคยได้รับจูบแบบนี้ด้วยหรือ ยิ่งเป็นที่หลังมือด้วยแล้ว…’
ไม่ ไม่เคยเลย จูบเป็นเพียงขั้นตอนระหว่างกลางเท่านั้น เพราะสิ่งที่พวกผู้ชายต้องการนั้นไม่ใช่จูบหากแต่เป็นอย่างอื่นต่างหาก ส่วนใหญ่พวกเขาถึงข้ามผ่านมันไปอย่างไม่ค่อยใส่ใจนัก
และเธอไม่มีทางอนุญาตให้มันเกินเลยไปถึงขั้นต่อไปแน่นอน อย่างไรก็ตาม การจูบก็คือการกระทำที่ไม่ได้มีค่าอะไรกับอาเรียเป็นพิเศษ เธอแค่คิดแบบนั้นก็เท่านั้นเอง
‘แล้วนี่มันอะไรกัน…’
จูบบนหลังมือไม่ใช่ส่วนอื่นแท้ๆ แต่กลับทำให้เธอใจเต้นได้แบบนี้ แม้ภายนอกจะไม่ใช่แบบนั้น แต่ภายในก็อายุเกินยี่สิบไปมากแล้ว เธอไม่อยากจะเชื่อเลยว่าตัวเองจะมาหวั่นไหวอย่างง่ายดายเพียงเพราะจูบบนหลังมือจากอาซที่อายุน้อยกว่าเธอหลายปีแบบนี้
เขาผละริมฝีปากออกทิ้งไอความรู้สึกไว้บนหลังมือของอาเรียเนิ่นนาน ก่อนจะลุกขึ้นช้าๆ แล้วมองตรงมายังอาเรีย
เธอไม่รู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่ แต่อาเรียก็จำต้องหลบตาเพราะหัวใจของเธอชักจะเต้นแรงเกินไปแล้ว เธออายเกินกว่าจะให้เขาเห็นหน้าแดงๆ ของเธอ
“…ยังมีอีกเรื่อง คือผมไม่ทราบว่าเลดี้ทำให้ผมตกใจทุกครั้งแบบนี้ได้ยังไง แล้วตัวเองขยี้ตาไปกี่รอบแล้วตอนเห็นเลดี้อยู่ตรงระเบียง”
เธอนึกถึงความทรงจำที่ได้เจอกับเขาทุกครั้งที่เติบโตขึ้น แม้แต่ตัวเธอเองยังตกใจที่จู่ๆ ก็โตขึ้น เขาเองก็คงเหมือนกันสินะ หลังจากจูบที่ทำให้ใจเต้นแล้วยังมาพูดแบบนี้อีก มันยิ่งทำให้เธอมองหน้าเขาไม่ได้มากกว่าเดิม
ทันใดนั้นอาซก็พูดเสริม
“ด้านข้างของเลดี้ช่างน่ารักเหลือเกินครับ”
“…อะไร!”
เธอตั้งใจจะหันไปแหวใส่ว่าเขาพูดอะไรแบบนั้น แต่ก็เห็นใบหูที่เริ่มแดงขึ้นมาอย่างน่าสงสารของเขาเข้าเสียก่อน
นี่เขาคงไม่ได้เขินหรอกใช่ไหม รอยยิ้มอ่อนโยนนั่นดูนิ่งเฉยเสียจนเธอไม่สามารถคาดเดาความรู้สึกในใจเขาได้ จึงได้แต่ปิดปากเงียบ
ทั้งสองคนตากลมอยู่บนระเบียงโดยไม่มีใครพูดอะไรออกมาอยู่พักใหญ่ สำหรับอาเรียแล้วก็เพื่อทำให้ใบหน้าที่กำลังร้อนผ่าวเย็นลงบ้างและเพราะไม่รู้เจตนาของอาซ
อาซเป็นฝ่ายเอ่ยปากทำลายความเงียบที่ดำเนินมาอย่างยาวนานก่อน เขาปรายตามองกล่องที่วางอยู่บนโต๊ะแล้วพูดขึ้น
“จะว่าไป นี่มันกล่องที่ผมเห็นในร้านขายของชำเมื่อครั้งก่อนไม่ใช่หรือครับ ผมจำได้ว่าเลดี้ไปรับนาฬิกาทรายที่ซ่อมไว้คืนนี่ครับ”
อาเรียเบิกตาโตด้วยความตกใจเมื่อจู่ๆ เขาก็พูดถึงนาฬิกาทรายขึ้นมาแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย หรือว่าเขาจะรู้อะไรบางอย่างเกี่ยวกับนาฬิกาทรายกัน เธอคิดว่ามันไม่มีทางเป็นไปได้ จึงพยายามทำเฉยให้มากที่สุดก่อนจะยอมตอบออกไป
“ใช่ค่ะ มันเหมือนของล้ำค่าของดิฉันเลยล่ะค่ะ ของล้ำค่าที่ดิฉันจะรู้สึกว่างเปล่าถ้าหากว่าไม่มีมันน่ะค่ะ”
“นาฬิกาทรายหรือ เลดี้มีงานอดิเรกที่แปลกดีนะครับ”
เธอรู้ดีว่ามันเป็นเรื่องแปลกไม่ใช่ย่อยที่เธอคอยพกนาฬิกาทรายที่ไม่มีอะไรพิเศษพอให้โอ้อวดได้ติดตัวไปไหนมาไหน อาเรียจึงไม่ได้ตอบอะไรกลับไป
ดูเหมือนอาซเองก็ไม่ได้ต้องการคำตอบเช่นกัน เพราะนี่คือครั้งสุดท้ายที่พวกเขาคุยกันเรื่องนาฬิกาทราย
‘ว่าแล้วเชียว เขาไม่รู้เรื่องนาฬิกาทรายจริงๆ ด้วย’
ถ้าอย่างนั้น ความลับที่เขาบอกว่ารู้คืออะไรกันล่ะ หากเธอยังดันทุรังถามเรื่องความลับว่ามีหรือไม่มีกันแน่ อาซจะยิ่งคิดว่าเธอเป็นคนลึกลับหรือไม่
เธอไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น แต่ตอนที่กำลังเดินหลงอยู่ในที่โล่งๆ กับเขาครั้งแรกนั้น จู่ๆ ทัศนวิสัยโดยรอบก็กลับเปลี่ยนเป็นจัตุรัสเสียอย่างนั้น
เธอไม่ได้เสพยาที่กำลังได้รับความนิยมในมุมมืดอยู่ตอนนี้ ดังนั้นมันไม่มีทางเป็นภาพหลอนได้แน่นอน… เขาจะต้องใช้กลแปลกประหลาดบางอย่างแน่นอน
เพราะแบบนี้คนที่ต้องถามควรจะเป็นเธอ ไม่ใช่อาซ
“วันนั้น ที่จัตุรัสน่ะค่ะ”
อาเรียเป็นฝ่ายเริ่มพูดก่อนหลังจากบทสนทนาถูกตัดไปตั้งแต่เรื่องนาฬิกาทราย อาซส่งเสียงร้อง ‘อ๋อ’ เขายิ้มเหมือนกำลังนึกไปถึงตอนนั้นแล้วทำเป็นตีหน้าซื่อ
“มันอาจจะน่าขำ แต่ผมไม่คิดว่าจัตุรัสจะอยู่ใกล้ๆ ถึงได้เดินหลงไปมาอยู่พักใหญ่เชียวครับ เป็นประสบการณ์ที่ล้ำค่าจริงๆ ครับ”
“…คุณจะบอกแค่ว่าคุณหลงทางอย่างนั้นหรือคะ”
“แล้วมันต้องมีอะไรอย่างอื่นอีกหรือครับ”
ถ้าเขาจะปฏิเสธได้อย่างสมบูรณ์แบบด้วยวิธีแบบนี้ เธอก็ไม่มีอะไรจะพูดอีก อาเรียได้แต่ขบคิดว่าเธอควรจะถามอะไรอีกดี ในเมื่อเขาเล่นตอบกลับมาอย่างลื่นไหลราวกับเตรียมคำตอบเอาไว้ก่อนแล้ว
“เรายังมีเรื่องอื่นต้องคุยกันมากกว่าเรื่องเล็กๆ น้อยๆ แบบนี้นะครับ”
“อ้อ…”
แม้มันจะไม่ใช่เรื่องเล็กๆ น้อยๆ แต่ก็ดีแล้วที่เขาเปลี่ยนเรื่อง
อาเรียกัดปากแน่น
จริงสิ เขาบอกว่าเขารู้ความลับนี่ ดูจากที่เขาไม่ได้ซักไซ้เธอมากมายเกี่ยวกับนาฬิกาทราย เธอคิดว่ามันไม่น่าจะใช่ความลับเรื่องนั้น แล้วถ้าอย่างนั้นเขารู้อะไรกันแน่
อาซเข้าประเด็นทันทีราวกับไม่ต้องการยืดเวลาไปมากกว่านี้อีกแล้ว
“ดูเหมือนเลดี้… ไม่ชอบเป็นที่สะดุดตาสินะครับ”
“…หมายความว่ายังไงคะ”
“ผมหมายถึงต่อให้เลดี้ถูกคนอื่นแย่งความดีความชอบไปแต่ก็ไม่แสดงออกน่ะครับ”
อาเรียเข้าใจได้ทันทีว่าอาซกำลังพูดถึงเรื่องอะไร เขาน่าจะหมายถึงเรื่องที่มิเอลขโมยผลงานเกี่ยวกับธุรกิจขนสัตว์ของเธอไป
แต่ว่าเขารู้เรื่องนี้ได้อย่างไรกัน ในเมื่อคนที่รู้เรื่องนี้มีอยู่น้อยนิดเพียงหยิบมือเท่านั้น
“คุณต้องพูดให้ชัดเจนกว่านี้ดิฉันถึงจะตอบคุณได้ค่ะ”
“เรื่องธุรกิจขนสัตว์ครับ”
“…”
เรื่องมันหลุดมาจากไหนกัน
มิเอลยังไม่ทันรู้ตัว ดังนั้นหล่อนไม่มีทางโอ้อวดออกมาจากปากตนเองแน่ และท่านเคานต์ก็คงไม่ทำให้ลูกสาวเสียหน้าเช่นกัน นอกเสียจากว่าท่านจะสติฟั่นเฟือนไปแล้ว
ถ้าอย่างนั้นแล้วใครกันล่ะ
ตอนนั้นเอง ใบหน้าของอาเรียพลันแข็งทื่อ เพราะมีแค่คนเดียวเท่านั้น เธอนึกถึงคนที่น่าจะเป็นไปได้มากที่สุด นั่นก็คือเรน
เขาดูไม่ใช่ผู้ชายปากโป้งแท้ๆ แต่กลับเอาเรื่องนี้ไปพูดต่อตรงนั้นตรงนี้ในระยะเวลาอันรวดเร็ว ทั้งที่รู้ว่าอาจเป็นปฏิปักษ์กับท่านเคานต์ได้น่ะหรือ มันไม่โง่ไปหน่อยหรืออย่างไร
“คุณไปได้ยินมาจากไหนคะ”
“เป็นเรื่องจริงสินะครับ”
แม้อาเรียจะถามแต่อาซก็ยังเลี่ยงที่จะตอบอยู่ดี เขาเพียงแค่ต้องการคำยืนยันในสิ่งที่เขาสงสัยเท่านั้น
ไม่มีอะไรที่เธอจะได้จากการพูดคุยกับเขาอีก เธอรู้ได้โดยสัญชาตญาณว่าเธอจะต้องเป็นฝ่ายเสียเปรียบหากยังคุยกันต่อไป
“เรื่องที่คุณสงสัยมีเท่านี้ใช่ไหมคะ”
อาเรียตัดสินใจแล้วว่าจะหมุนนาฬิกาทรายจึงเอ่ยถามพลางยื่นมือไปหากล่อง หากเธอลบบทสนทนาในตอนนี้ออกไป มันก็จะจบลงด้วยบทสนทนาไร้สาระของเธอกับอาซ
บทสนทนาไร้สาระจำพวกเขาจูบเธอที่หลังมือ หรือเรื่องที่เธอตาฝาดเห็นว่าหูเขาแดง
แต่อาซกลับส่ายหน้าก่อนจะบอกให้เธอรู้ว่าบทสนทนาจะยังดำเนินต่อไป ต่างจากความคาดหวังของอาเรียลิบลับ
“ไม่ใช่ครับ ผมยังไม่ทันได้เริ่มด้วยซ้ำนะครับ เพราะผมยังมีเรื่องอื่นที่อยากจะถามครับ”
มือของอาเรียหยุดค้างอยู่กลางอากาศกับคำพูดที่ว่ายังไม่ทันได้เริ่มนั่น สายตาของอาซย่อมต้องมองตามไปแน่นอน
เขามองมือของอาเรียด้วยความสงสัย
‘จะให้เขาสนใจนาฬิกาทรายไม่ได้เด็ดขาด’
แค่ตอนนี้เขาก็สนใจเธอมากเกินไปแล้ว เธอจะให้เขารู้ความลับของเธอมากกว่านี้ไม่ได้
อาเรียหยิบกล่องขึ้นมา จากนั้นจึงปรับท่าทีให้ดูเหมือนเธอพร้อมจะออกไปจากระเบียงได้ทุกเมื่อ
เพื่อทำให้เขาคิดว่าที่เธอยื่นมือออกไปนั้น ก็เพื่อจะจัดข้าวของเตรียมตัวกลับนั่นเอง และโชคดีเหลือเกินที่อาซมีปฏิกิริยาตามที่อาเรียอยากเห็น
“ถ้าเลดี้ไม่ฟัง อาจจะเสียดายก็ได้นะครับ”
“เรื่องเดียวที่ดิฉันนึกเสียดายก็คือเรื่องที่ดิฉันปล่อยให้คุณเข้ามาที่ระเบียงนี่ล่ะค่ะ”
“แม้ว่าผมตั้งใจจะให้คำแนะนำที่เลดี้น่าจะสนใจน่ะหรือครับ”
คำแนะนำที่เธอน่าจะสนใจอย่างนั้นหรือ หรือเขาจะอาสาไปฆ่ามิเอลให้เธอกันล่ะ นอกจากเรื่องนี้แล้วเธอก็ไม่ต้องการอะไรอีก นั่นเพราะทุกสิ่งที่เธอทำลงไปทั้งหมดก็เพื่อแก้แค้นมิเอลอย่างไรล่ะ
อาซทิ้งช่วงให้อาเรียที่กำลังตกอยู่ในความคิดเล็กน้อยก่อนจะพูดต่อ สิ่งที่ออกมาจากปากเขาคือสิ่งที่เธอคาดไม่ถึง
“ผมได้ยินมาว่าเลดี้สั่งให้สาวใช้ไปซื้อหนังสือที่ร้านหนังสือครับ”
“…นี่คุณแอบดูชีวิตส่วนตัวดิฉันมานานแค่ไหนแล้วคะ ดิฉันไม่พอใจจริงๆ นะคะ!”
“ตำราเศรษฐศาสตร์เบื้องต้นและการเมืองพื้นฐาน เลดี้น่าจะสนใจเรื่องสถานการณ์ระหว่างประเทศสินะครับ ดูจะเป็นหนังสือที่พิเศษเกินกว่าที่เลดี้ซึ่งยังเด็กจะอ่านไม่ใช่หรือครับ สถานที่ที่จะได้ใช้ก็ไม่มีด้วยนี่สิครับ”
ถ้าอย่างนั้นเขาหมายความว่าอย่างไรกัน เธอไม่สนว่าเขาจะพูดอะไรอีกต่อจากนี้ ตอนนี้ถึงเวลาแล้วที่เธอต้องจบบทสนทนานี้เสียที
เธอไม่อยากให้ใครมาล่วงรู้ถึงชีวิตส่วนตัวมากพอๆ กับเรื่องนาฬิกาทราย ดังนั้นเธอจึงต้องรีบย้อนเวลากลับไปปิดปากเขาเสีย
“แล้วแบบนี้ เลดี้ไม่คิดจะแบ่งปันความรู้เหล่านั้นกับคนอื่นๆ หน่อยหรือครับ”
พอคราวนี้เธอตั้งใจจะทำแบบนั้นจริงๆ อาซก็กลับเสนอบางอย่างที่คาดไม่ถึงแทนที่จะข่มขู่อาเรียเหมือนเดิม
“…หมายความว่ายังไงคะ”
“ผมกำลังเสนอให้เลดี้มาเข้าร่วมการประชุมที่ผมเป็นเจ้าภาพจัดขึ้นน่ะครับ”
……………………….