บทที่ 63 Ink Stone_Romance
การประชุมที่เขาเป็นเจ้าภาพกระนั้นหรือ
แววตาของอาเรียสั่นไหวขึ้นมาครั้งหนึ่ง เพราะเธอไม่อยากเชื่อว่าเขาซึ่งเป็น ‘บุรุษ’ จะหยิบยื่นข้อเสนอเช่นนี้ให้เธอ
บุรุษไม่เคยให้สตรีได้เข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องในสังคมของพวกตน สตรีนั้นมีภาระงานอย่างอื่นต้องทำ และแม้จะเรียนแต่ก็ไม่มีที่ให้ได้ใช้ความรู้อยู่ดี จึงไม่มีใครคิดจะอบรมพวกเธอ เว้นเสียก็แต่เหตุผลทางด้านการเมือง
หรือหากนานๆ ทีมีคนบอกว่าจะให้การสนับสนุนทางด้านวิชาการแก่สตรี พวกเขาเหล่านั้นก็มักได้รับการปฏิบัติราวกับคนโง่เขลารวมทั้งถูกเมินเฉย ด้วยเหตุผลเพียงเพราะพวกเขาไปลงเรี่ยวลงแรงกับพวกหล่อนที่ไม่สามารถก้าวขึ้นมาอยู่ในตำแหน่งทางการเมืองได้ด้วยซ้ำ
แต่นี่อาซกลับหยิบยื่นการกระทำที่ถูกตราหน้าว่าโง่เขลานั่นให้เธออย่างนั้นหรือ
“ผมรู้อยู่แล้วว่าเลดี้มีสติปัญญาเฉียบแหลมนัก แม้เลดี้จะทำเหมือนมันเป็นความลับ แต่เลดี้ก็เคยกล่าวเตือนเรื่องการล้มละลายของคาสิโนที่ร้านขายของชำด้วยนี่ครับ ที่จริงแล้วถึงผมจะตกใจ แต่ก็คิดว่ามันน่าจะเป็นเรื่องบังเอิญมากกว่า มันใช่เรื่องที่เลดี้ตัวน้อยไม่รู้ประสีประสาจะรู้หรือ อีกใจหนึ่งผมก็คิดแบบนั้นครับ”
“…ขอบคุณค่ะที่ชมดิฉัน แต่ชื่อเสียงคุณจะแย่เอาได้นะคะ”
“เลดี้ยังอุตส่าห์เป็นห่วงชื่อเสียงผมด้วย ผมซาบซึ้งมากครับ แต่ชื่อเสียงผมแย่อยู่แล้ว แย่จนถึงจุดที่เลดี้ไม่จำเป็นต้องห่วงเลยล่ะครับ”
อาซตอบพร้อมรอยยิ้มแต่อาเรียยังไม่สามารถปักใจเชื่อคำพูดเขาได้ง่ายๆ
ชื่อเสียงแย่อยู่แล้วอย่างนั้นหรือ นี่แปลว่าเขามีอิทธิพลมากขนาดนั้นด้วยใช่ไหม เธอไม่อาจเชื่อได้เพราะไม่รู้ว่าตัวตนที่แท้จริงของเขาคือใครจึงได้พูดเช่นนั้นออกมา
และที่สำคัญ
“เราได้มาคุยกันเพราะคุณขู่ว่าคุณรู้ความลับของดิฉัน แล้วจะมาหวังอยากได้คำตอบในแง่บวกจากดิฉัน มันไม่มากเกินไปหน่อยหรือคะ”
“ผมยอมรับครับ ถ้าเลดี้ให้คำตอบผมเร็วๆ จะดีมาก แต่เลดี้เองก็คงกังวลเหมือนกันสินะครับ เอาไว้ผมจะส่งมหาดเล็กของผมมาอีกที เลดี้ค่อยให้คำตอบผมตอนนั้นก็ได้ครับ”
“…”
“แล้วผมก็ไม่คิดจะนำความลับของเลดี้ไปเปิดเผย เลดี้ไม่ต้องห่วงนะครับ”
เขาอธิบายเพิ่มก่อนที่อาเรียจะทันได้ถามในส่วนที่เธอกำลังกังวล ทำให้เธอไม่สามารถโต้แย้งหรือถามอะไรเขากลับไปได้
หลังจากนิ่งคิดไปสักพัก อาเรียถึงได้รู้ว่าตอนนี้เลยเวลาที่เหมาะจะหมุนนาฬิกาทรายกลับไปเสียแล้วจึงผ่อนแรงจับที่กล่องลง
เขาบอกว่าจะไม่นำความลับของเธอออกมาเปิดเผยให้ใครรู้ และถึงทำ คนที่จะต้องกลายเป็นตัวตลกก็คือเขาเอง เพราะคงไม่มีใครคิดจะฟังคำพูดของคนที่เป็นเพียงขุนนางชั้นต้นอย่างอาซเป็นแน่
‘…จะเป็นการประชุมแบบไหนกันนะ’
นอกจากนั้นเธอเองก็สนใจการประชุมที่เขาเสนอมาเช่นกัน และยิ่งสนใจเมื่อเธอไม่เคยคิดจะก้าวเท้าเข้าไปในสังคมของบรรดาชายหนุ่มเลยสักครั้ง มันคือโอกาสที่อาเรียผู้ที่ต้องสั่งสมอำนาจอิทธิพลให้เหนือกว่าหญิงสาวทั่วไปในวันข้างหน้านั้นปฏิเสธได้อย่างยากลำบาก
“ถ้าอย่างนั้นผมจะรอฟังคำตอบนะครับ”
อาซลุกขึ้นเป็นคนแรกแล้วก้มมองอาเรียอยู่สักพักก่อนจะแย้มยิ้มพร้อมทั้งโน้มกายลงมาหาเธอ
อาเรียตกใจเพราะใบหน้าที่เข้ามาใกล้อย่างกะทันหันจนต้องยกมือออกมาด้านหน้า เมื่อเห็นดังนั้นเขาจึงเอากลีบดอกไม้ในมือมาให้เธอดูแล้วกล่าวขอโทษสั้นๆ
“ผมไม่ได้ตั้งใจจะทำให้เลดี้ตกใจ แต่พอดีมีกลีบดอกไม้ติดอยู่ที่ผมเลดี้น่ะครับ แทบจะแยกไม่ออกเลย เวลามีกลีบดอกไม้มาติดอยู่แบบนี้ผีเสื้อจะไม่เข้าใจผิดเอาหรือครับ”
เขาเอ่ยพลางไปใส่ไว้ในมือให้อาเรียกำมันไว้
เขาทิ้งคำพูดไม่รู้ความหมายไว้เช่นนั้นแล้วจากไป อาเรียเคยเล่นเป็นหมาหยอกไก่กับชายหนุ่มมานับครั้งไม่ถ้วน แต่เพราะการกระทำที่ยากจะเอาชนะได้ เธอจึงทำได้เพียงเหม่อมองไปยังที่ที่ชายหนุ่มกำลังเดินจากไป
* * *
แม้จะผ่านไปหลายวันแล้วหลังจากที่เธอได้เจอกับอาซ แต่ผู้ติดตามของเขาก็ยังไม่มา ซึ่งมันก็คงต้องเป็นเช่นนั้น คนที่เป็นเพียงขุนนางชั้นต้นอย่างเขาจะมาเยี่ยมเยือนคฤหาสน์แห่งท่านเคานต์ได้อย่างไร เขาต้องไม่ได้รับการต้อนรับตั้งแต่หน้าประตูแน่นอน
‘ฉันคงจะหวังอะไรลมๆ แล้งๆ อยู่สินะ…’
อาเรียเกือบจะถอดใจเรื่องการประชุมที่อาซเสนอมาเสียแล้ว
ไม่มีทางที่เธอจะสามารถไปเข้าร่วมในการประชุมที่เป็นของบรรดาบุรุษมาตั้งแต่แรกได้ เธอไม่ได้คิดถึงเรื่องนั้นแล้วเอาแต่รอคอยจดหมายจากเขาอยู่ระยะหนึ่งไม่มีกะจิตกะใจจะทำอะไรทั้งสิ้น
‘คงจะไปที่คาสิโนกระมัง’
ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม แม้จะรู้ดีอยู่แก่ใจว่าจดหมายของเขาคงไม่มาแต่อาเรียก็ยังคงรอคอย
จากนั้นในวันหนึ่ง เรนก็แวะมา เขานำช่อดอกไม้สองช่อมาเป็นของขวัญ โดยให้ช่อที่เป็นดอกลิลลี่กับมิเอลและให้ช่อที่เป็นดอกทิวลิปกับอาเรีย
“ตายจริง…! ดิฉันเพิ่งจะเคยเห็นลิลลี่ที่งดงามขนาดนี้เป็นครั้งแรกเลยค่ะ! คุณไปได้มาจากไหนหรือคะ”
“ผมไปเด็ดดอกไม้จากในสวนของนายท่านมาทำเป็นช่อน่ะครับ พืชพรรณที่เติบโตในนั้นล้วนงดงามทั้งสิ้นครับ”
“ดิฉันอยากไปสักครั้งจังค่ะ!”
“ผมแน่ใจว่าต้องเป็นเช่นนั้นครับ”
นี่เขามอบดอกลิลลี่ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ประจำตระกูลให้มิเอลอย่างนั้นสินะ ในทางตรงกันข้าม ดอกทิวลิปที่ใช้เพื่อการทักทายแบบขอไปทีกลับมาตกอยู่ในมืออาเรียแทน
ดูจากที่เขายังคงแบ่งแยกกันแบบนี้ สุดท้ายแล้วเขาคงเลือกจะเชื่อหล่อนสินะ
“อ้อ แล้วก็… วันนี้อาจจะเป็นครั้งสุดท้ายที่ผมมาที่นี่แล้วนะครับ”
“มีเรื่องอะไรหรือเปล่า”
ท่านเคานต์ถามกลับทั้งที่ซ่อนสีหน้าตกใจเมื่อได้ยินคำลาสุดท้ายอย่างกะทันหันเอาไว้ไม่มิด แม้แต่อาเรียเองก็ยังวางส้อมลงมองเขา
“พอดีงานที่นายท่านทุ่มเททำมาตลอดเริ่มจะเห็นตอนจบแล้วน่ะครับ ที่ผ่านมาต้องใช้เวลานานเพราะมีความเข้าใจผิดเกิดขึ้น ตอนนี้เรื่องก็คลี่คลายแล้ว นายท่านจึงอยากจะให้ความสนใจกับที่นั่นครับ”
“เรื่องนี้… สำหรับฉันถือว่าน่าเสียดายมากทีเดียว แล้วก็เป็นเรื่องน่ายินดีสำหรับท่านที่เป็นนายของพ่อหนุ่มด้วยล่ะนะ”
ท่านเคานต์ไม่สามารถจัดการกับความรู้สึกหลากหลายที่สาดซัดเข้ามา ทำได้เพียงกล่าวคำยินดีด้วยใบหน้ากระอักกระอ่วน
ไม่ว่าใครมองก็ต้องเห็นว่าเป็นใบหน้าแห่งความคลางแคลงใจ ต้องเป็นเช่นนั้นอยู่แล้วล่ะ ในเมื่อทั้งเรนและนายท่านของเขาช่วยเรื่องธุรกิจของท่านเคานต์ได้มากทีเดียว ท่านเคานต์ถึงได้ไม่อยากปล่อยให้ทั้งสองหลุดมือไป
แม้จะเห็นความเสียดายฉายชัดอยู่บนใบหน้าของท่านเคานต์ แต่เรนกลับทานอาหารต่อโดยไม่ได้พูดอะไรเพิ่มเติม ดูเหมือนเขาต้องการจะใส่จุดมหัพภาคให้กับความสัมพันธ์ของตนกับท่านเคานต์อย่างไรอย่างนั้น
‘เรื่องที่เขาอยากทำความรู้จักมิเอลก็คงจบลงด้วยสินะ’
เขาไม่น่าจะมีธุระอะไรกับมิเอลอีกแล้ว ตรงกันข้ามกับความคาดหวังเมื่อครู่นี้ ทั้งของขวัญที่กองเป็นภูเขาเลากาและความช่วยเหลือที่เคยหยิบยื่นให้ท่านเคานต์มาตลอดเป็นเพียงของกำนัลเพื่อหาข้อมูลเท่านั้น
แล้วทำไมท่านเคานต์ถึงได้โกหกหน้าตายจนพาให้สถานการณ์พันกันยุ่งเหยิงเช่นนี้ หากท่านเคานต์มีความคิดมากกว่านี้อีกสักนิด เรนกับนายของเขาคงไม่คิดจะหันหลังจากไป
แม้จะไม่ได้สนใจไยดีตั้งแต่ทีแรก แต่หากทำแบบนั้นไปยังจะดีเสียกว่า เพราะคนเราไม่จำเป็นต้องลมๆ แล้งๆ เพื่อให้มาผิดหวังซ้ำซาก
‘เอาเถอะ เขาได้รับความช่วยเหลือเรื่องภาษีก็คงเหมือนได้กำไรนั่นล่ะนะ’
ไม่ว่าจะเป็นเช่นไร ต่อจากนี้ไปเรนก็จะไม่ให้ความช่วยเหลือกับท่านเคานต์อีก เขาคือผู้เชี่ยวชาญด้านการโกหกที่หาตัวจับยากจริงๆ
“หรือเพราะไม่ชอบสิ่งที่ฉันแนะนำไปเมื่อครั้งก่อนอย่างนั้นหรือ”
“เอ๊ะ ฮ่าๆ ไม่ใช่หรอกครับ เรื่องนั้นมันไม่ได้หมายความว่าผมอยากทำเสียหน่อย”
“ฮืม… ถ้าเช่นนั้นก็หมายความว่าเธอจะทำอย่างนั้นได้ก็ต่อเมื่ออาเรียบอกว่าดีใช่ไหม”
“…ไม่ทราบสิครับ”
อาเรียหันเหความสนใจชื่อขอตัวเองที่จู่ๆ ก็ถูกเรียกขึ้นมา นี่พวกเขาเอาเธอไปเป็นข้อตกลงการค้าอะไรกัน ถึงได้มาถามความเห็นจากเธอเช่นนี้
ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อดูจากสีหน้าที่ชักจะเย็นชาขึ้นทุกทีของเรนแล้ว ไม่ว่าเธอจะมีปฏิกิริยาอย่างไร เห็นได้ชัดว่าเขาจะปฏิเสธแน่นอน
ท่านเคานต์เอ่ยถามอาเรีย
“ที่จริงเรนดูจะถูกใจลูกอยู่มากทีเดียว ก่อนหน้านี้เขาเคยถามพ่อว่าหากลองคบกันดูพ่อจะว่ายังไง พ่อว่าก็ไม่เลวนะ… แล้วลูกล่ะคิดเห็นยังไงหรือ อาเรีย”
“…ที่รัก!”
คำพูดของท่านเคานต์น่าตกใจเสียจนทำให้เคาน์ติสทำส้อมที่ถืออยู่หลุดมือและต้องถามกลับ เขาเหมือนตั้งใจจะขายลูกสาวบุญธรรมของตัวเองกินหากสามารถขายได้ สมกับที่เป็นพ่อค้ามือฉมัง
‘และไม่ได้ขายให้นายของเรน แต่ขายให้เรนแทนนี่สิ’
เพราะไม่มีลูกสาวที่จะแนะนำให้นายท่านที่แม้จะไม่รู้ชื่อเสียงเรียงนามแต่ก็น่าจะเป็นขุนนางระดับสูงคนนั้น จึงเลือกจะแนะนำเธอให้เขาที่เป็นเพียงมหาดเล็กแต่สามารถช่วยตนเองได้แม้จะเป็นแค่ขุนนางชั้นต้นเท่านั้นสินะ
ทำไมทุกสิ่งทุกอย่างถึงได้ดูน่าผิดหวังไปได้ขนาดนี้กัน
เธอเห็นมิเอลพยักหน้าพร้อมรอยยิ้มสดใสมาแต่ไกล
“ดูไม่เลวเลยนะคะ ท่านเรนเองก็เป็นคนดี ต้องทำให้พี่มีความสุขได้แน่ค่ะ”
นี่ไม่ใช่การเพิ่มหรือคงไว้ซึ่งสถานะ หากแต่เป็นการลดสินะ
หากเธอแต่งงานกับเรน จากเลดี้แห่งท่านเคานต์เธอจะได้กลายเป็นมาดามแห่งปิโนต์แทนน่ะสิ แม้จะไม่รู้จะได้บรรดาศักดิ์แบบไหนว่าอยู่หน้าคำว่ามาดาม แต่มันจะต้องต่ำต้อยเป็นแน่
อาเรียเบะปากก่อนจะตอบกลับไป
“จริงหรือ ตอนนี้พี่ก็มีความสุขดีอยู่แล้ว ถ้าอย่างนั้นน้องไม่ทำเองล่ะ มิเอล”
“…พี่พูดอะไรกันคะ น้องมีคุณออสการ์อยู่แล้วนี่คะ”
“อ้อ… อย่างนั้นหรือ คุณออสการ์มาเยือนที่คฤหาสน์แทบจะนับครั้งได้ ทำเอาพี่ลืมไปเสียสนิท ขอโทษด้วยนะ มิเอล”
“แม้จะไม่ค่อยได้มา แต่ก็ส่งของขวัญมาให้น้องบ่อยๆ ค่ะ เผื่อพี่อาจจะไม่ทราบ”
ก็แค่ความรักที่ได้มาด้วยน้ำมือคนอื่น มันน่าพอใจนักหรือ มิเอลช่างมั่นใจในตัวเองจนล้นเหลือจึงได้สาธยายความสัมพันธ์ของตนกับออสการ์ออกมาอย่างภาคภูมิใจ
เป็นอย่างที่เธอคิด เธอจะไม่สามารถสร้างความเจ็บปวดแสนสาหัสให้กับมิเอลได้หากไม่มีออสการ์ ไม่ว่าจะด้วยวิธีใดก็ตาม เธอต้องเอาเขากลับมาให้ได้
“เลดี้อาเรียดูจะไม่เต็มใจ เพราะฉะนั้นก็ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นจะดีกว่านะครับ”
“ประเดี๋ยวก่อน อาเรียของเรายังเล็กนักคงไม่รู้เรื่องอะไร อย่าไปถือสาเลยนะ”
ดูท่าท่านเคานต์คงต้องการรักษาความสัมพันธ์ของตนกับนายท่านของเรนไว้ให้ได้ แม้ว่าจะต้องขายลูกสาวตัวเองก็ตาม
ชีวิตของเลดี้ในตระกูลชนชั้นสูงที่สุภาพเรียบร้อยช่างน่าอึดอัดเสียจริง ชีวิตที่จำต้องกวัดแกว่งไปตามกระแสแห่งการเมืองและเศรษฐกิจไร้ซึ่งทางเลือกใดๆ
จากจุดนี้มิเอลนั้นช่างโชคดีเสียจริง ก็เธอดูเหมือนจะชอบพอกับคู่หมั้นหมายทางการเมืองแล้วไม่ใช่หรือไร
หลังจากนั้น ทั้งเรนและท่านเคานต์ต่างก็เริ่มคุยกันเรื่องธุรกิจที่ไม่น่าพึงใจของทั้งสอง อาเรียจึงจัดการอาหารของเธอไปเงียบๆ ก่อนจะกลับขึ้นห้อง
แม้จะอารมณ์ไม่ดีตลอดทั้งมื้อแต่เธอก็พอจะโล่งใจได้บ้างเมื่อได้ยินข่าวดีว่านายท่านของเรนเลิกสนใจมิเอลแล้ว
ตอนนี้เธอดื่มชาไปพลางอ่านหนังสือไปพลางอย่างผ่อนคลายและกำลังเตรียมตัวเข้านอน ก๊อกๆ แต่ใครบางคนกลับมาเคาะประตูห้องเธอเสียก่อน
“ใครกันคะจะมาเอาป่านนี้ ไม่มีใครจะมาแล้วนี่…”
เจสซี่เอียงหน้าด้วยความสงสัย ทันใดนั้นเสียง ‘เรนเองครับ’ ที่ตามมาติดๆ ก็ทำให้หล่อนต้องตกใจจนรีบปิดปากตัวเองไว้
“มีอะไรหรือคะ”
“นายท่านฝากจดหมายมาให้พร้อมช่อดอกไม้แต่ผมกลับลืมสนิท จึงต้องมาหาเลดี้น่ะครับ”
จดหมายอย่างนั้นหรือ คนที่ไม่เคยชายตาแลเธอแม้แต่น้อยอย่างเขาจะส่งจดหมายอะไรมาให้เธอกัน
เมื่อเธอสั่งให้แอนนี่ไปรับมา เรนก็เอ่ยขึ้นทันทีว่าเขาจะไม่กลับไปจนกว่าเธอจะอ่านจบและมอบจดหมายตอบกลับแก่เขา
“จดหมายตอบกลับ… ต้องเขียนตอนนี้ด้วยหรือคะ”
“ครับ เลดี้อ่านดูก่อนเถอะครับ แล้วเลดี้จะเข้าใจเอง”
อาเรียเปิดจดหมายด้วยความสงสัยแต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้สนใจอะไรเป็นพิเศษ
และแล้วเมื่อเธอได้อ่านย่อหน้าแรกที่เริ่มต้นด้วยลายมือสวยงามสละสลวย ก็เป็นอันต้องทำมันร่วงหลุดลงจากมือทันที
[เลดี้อาเรีย โรสเซนต์ที่รัก
ที่ผ่านมาสบายดีไหมครับ อาซเองนะครับ ผมส่งมหาดเล็กมาเพื่อฟังคำตอบเมื่อคราวที่แล้วครับ
เลดี้ตัดสินใจหรือยังครับ]
……………………….