บทที่ 64 Ink Stone_Romance

…อาซอย่างนั้นหรือ

อาเรียลุกขึ้นยืนแล้วรีบรุดไปหาเรนที่ยืนคอยอยู่อีกฝั่งประตู เรนยังคงมีสีหน้าเรียบเฉยคล้ายกับจะรู้อยู่ก่อนแล้วว่าเธอต้องเป็นแบบนี้ แม้ว่าจะต้องเผชิญหน้ากับอาเรียที่กำลังตกใจก็ตาม

“นายท่านของคุณ… คืออาซอย่างนั้นหรือคะ”

“ใช่แล้วครับ”

“เป็นไปได้ยังไง…!”

เธอคิดว่าเขาเป็นเพียงขุนนางชั้นต้นธรรมดาๆ แต่ความจริงกลับไม่ได้เป็นเช่นนั้น อาซกลายเป็นคนใหญ่คนโตอย่างที่เธอไม่คาดคิด ทำให้อาเรียได้แต่อ้าปากพะงาบๆ พูดอะไรไม่ออกด้วยความตกใจ

“เลดี้ตัดสินใจได้แล้วใช่ไหมครับ”

“เรื่องนั้น…”

เธอตั้งใจว่าจะเข้าร่วม เคยตั้งใจว่าจะเข้าร่วม

แต่อาซกลับเป็นบุคคลสำคัญมากกว่าที่เธอคิด เธอจึงไม่อาจตอบตกลงไปแบบนั้นได้

‘เข้าไปเกี่ยวข้องด้วยง่ายๆ แบบนี้จะดีหรือ’

เขาคือคนที่จะช่วยเธอได้จริงๆ หรือไม่ และคนที่มีทรัพย์สินมากมายอย่างเขาต้องการอะไรจากเธอกันแน่

เธอกลัวอนาคตที่ไม่อาจล่วงรู้ได้เกี่ยวกับอาซ

“อะไรทำให้เลดี้กังวลหรือครับ อ้อ หรือเพราะที่ผ่านมานายท่านให้ความสนใจกับเลดี้มิเอลเป็นพิเศษหรือครับ”

แม้จะคิดว่าเขาคงมองออกหลังจากเคยคุยกันมาหลายครั้ง แต่เธอคิดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะมาถามกันตรงๆ ว่าเป็นเพราะมิเอลหรือไม่แบบนี้ อาเรียจึงปิดปากแน่นยิ่งกว่าเดิม

“ถ้าเช่นนั้นเลดี้ไม่ต้องกังวลนะครับ มันเป็นเพียงเรื่องเข้าใจผิดเท่านั้น นายท่านไม่เคยสนใจเลดี้มิเอลแม้แต่นิดเดียวครับ”

“…ไม่ใช่เพราะแบบนั้นหรอกค่ะ ไม่ว่าเขาจะคิดกับมิเอลยังไง มันก็ไม่ได้สำคัญอะไรกับฉันค่ะ”

เธอรู้ว่าอีกฝ่ายเข้าใจผิดมาตั้งแต่แรก เรนรู้สึกสับสนกับคำตอบอันเฉียบขาดของอาเรีย เขาคิดเหตุผลอื่นไม่ออกอีกแล้ว

“ถ้าอย่างนั้น แล้วทำไมเลดี้ถึงยังคิดมาอยู่อีกล่ะครับ”

“เพราะดิฉันไม่ทราบว่าแท้จริงแล้วอาซเป็นใครน่ะสิคะ”

“อ้อ อืม ยังเหลือปัญหานี้อยู่สินะครับ เป็นแบบนั้นได้แน่นอนอยู่แล้วล่ะครับ”

เรนพูดเสริม

“แต่เลดี้ไม่ต้องกังวลหรอกครับ เพราะท่านอาซไม่เคยคิดจะทำร้ายเลดี้แต่อย่างใดครับ และท่านก็ไม่ใช่คนอันตราย ออกจะเป็นคนสดใสมากๆ ก็ปกติทั่วไปนี่ล่ะครับ แล้วยังใจดีกับผู้ใต้บังคับบัญชาด้วยนะครับ”

เรนอธิบายแปลกๆ เพิ่มเติมแต่มันไม่ได้เป็นประโยชน์กับทางเลือกของอาเรียเลย

“นั่นก็ไม่สำคัญค่ะ สิ่งที่ดิฉันสนใจ… คือคุณอาซดูจะเป็นบุคคลที่ยิ่งใหญ่มากกว่าที่ดิฉันคิดไปมากทีเดียวค่ะ”

คำตอบปนเสียงทอดถอนใจทำให้เรนต้องเอียงหน้าไปด้านหนึ่ง สีหน้าฉงนฉงายไม่เข้าใจ

“ยิ่งใหญ่แล้วมันสำคัญตรงไหนล่ะครับ ยิ่งเป็นคนใหญ่คนโตไม่ใช่ว่ายิ่งดีหรือครับ”

“…ไม่รู้สิคะ หากรู้จุดประสงค์และความตั้งใจของเขาก็ว่าไปอย่าง แต่จะมีใครยินดีต้อนรับบุคคลสำคัญที่เข้ามาหาตัวเองโดยไม่รู้เหตุผลด้วยหรือคะ โดยเฉพาะเด็กสาวที่มีแต่ข่าวลือไม่สู้ดีอย่างดิฉันด้วยแล้ว”

เรนเบิกตาโตก่อนจะรีบถามกลับราวกับเขาเพิ่งเข้าใจความหมายที่อาเรียต้องการจะสื่อ

“ผมเข้าใจแล้วครับว่าเลดี้คิดเช่นไร แต่ท่านอาซเพียงแค่สนใจเพราะติปัญญาอันเฉียบแหลมของเลดี้เท่านั้น ผมไม่คิดว่าท่านจะมีจุดประสงค์อื่นใดอีกครับ”

“ไม่มีทางหรอกค่ะ ดิฉันไม่ได้หลักแหลมอย่างที่เขาคิด เพียงแค่ได้ยินได้ฟังเรื่องราวต่างๆ มาจากหลายที่เท่านั้นเองค่ะ”

ซึ่งส่วนใหญ่ก็ล้วนเป็นผลงานที่สำเร็จได้ด้วยเวทมนตร์จากนาฬิกาทรายทั้งสิ้น

เรนยิ้มให้กับความถ่อมเนื้อถ่อมตัวของเธอ

“ฮ่าๆ เลดี้น่าจะเข้าใจอะไรผิดแล้วล่ะ แค่เข้าใจข้อมูลมากมายไม่ได้ถือว่าฉลาดนะครับ”

“…อย่างนั้นหรือคะ”

“ต้องรู้จักใช้ข้อมูลนั้นให้ถูกที่ถูกทางด้วยต่างหากครับ เรื่องนั้นถ้าจะมองว่าเป็นสิ่งที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิดก็ได้นะครับ แต่ไม่ว่าจะมีความรู้หรือข้อมูลมากมายเพียงใด คนส่วนใหญ่กลับไม่สามารถนำพวกมันมาใช้ได้อย่างเหมาะสมนี่สิครับ ถึงยิ่งรู้ข้อมูลเยอะจะยิ่งดีก็เถอะ”

อาเรียเบิ่งตาโต เพราะเธอไม่เคยคิดแบบนั้นมาก่อน

จนถึงป่านนี้เธอก็ยังคิดว่าทุกสิ่งที่เธอทำสำเร็จทั้งหมดเป็นเพราะนาฬิกาทราย แต่เมื่อได้ยินคำพูดที่ว่า ‘เธอฉลาดมาตั้งแต่เกิด’ จากเรน ทำให้เธอรู้สึกว่าคุณค่าที่ติดตัวเธอมาตั้งแต่เกิดได้รับการยอมรับ

“ทั้งหมดนี้ คือสิ่งที่ท่านอาซพูดครับ ท่านยังบอกอีกว่าท่านสนใจเลดี้เพราะแบบนี้ครับ”

เรนสังเกตเห็นความยินดีในสีหน้าของอาเรียจึงได้ทีรีบพูดต่อ

“…อย่างนี้เองสินะคะ”

เธอได้แต่เบิกตาค้าง เพราะนอกจากเรื่องรูปร่างหน้าตาภายนอกแล้วก็แทบไม่เคยมีใครชมเธออีก ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าหัวสมองที่เคยมีแต่คนก่นด่าว่าโง่เขลาไร้ประโยชน์มาเสมอจะได้รับคำชม มุมปากที่กำลังสั่นระริกยากจะต่อกรกับความปีติยินดีที่เอ่อท่วมท้น

“ส่วนเรื่องจดหมายตอบกลับ… ให้ผมมารับคราวหน้าดีไหมครับ”

ปากก็พูดว่าจะมาใหม่คราวหน้า แต่กลับเอ่ยถามด้วยใบหน้าราวกับจะบอกให้เธอรีบเขียนเสียเดี๋ยวนี้ อาเรียส่ายหน้า

“ไม่ต้องค่ะ! ดิฉันจะเขียนให้ตอนนี้แล้วค่ะ รอสักครู่นะคะ”

อาเรียรีบกระวีกระวาดเขียนจดหมายกลับไปให้อาซ แม้จะเป็นจดหมายสั้นๆ ที่มีตัวอักษรไม่กี่ตัวเพียงแค่ ‘ดิฉันจะเข้าร่วมค่ะ’ แต่ในนั้นกลับอัดแน่นไปด้วยความยินดีที่อาจไม่เกิดขึ้นอีกแล้วตลอดชีวิตของเธอ

“ผมจะนำไปส่งให้ครับ”

เรนอมยิ้มอ่อนโยนก่อนจะหายไปพร้อมกับคำจากลา

อาเรียมองแผ่นหลังของชายหนุ่มที่เดินหายไปใต้บันไดด้วยหัวใจเต้นระรัว

* * *

ระหว่างที่กำลังรอจดหมายตอบกลับจากอาซ อาเรียได้ยินข่าวคราวของซาร่าจากสมาคมที่ไม่ได้จัดมานาน เพราะซาร่าเริ่มใกล้ชิดกับมาร์ควิสวินเซนต์มากขึ้น ทำให้หล่อนมาเจออาเรียได้น้อยครั้งลงไปด้วย

แม้จะเศร้าใจอยู่บ้างแต่ความรู้สึกยินดีกลับมีมากกว่ามากมายนัก อาเรียจึงสามารถแย้มยิ้มออกมาได้อย่างพอใจ

“แล้วยังไงต่อคะ ความสัมพันธ์เป็นไปอย่างรวดเร็วขนาดนั้นได้ยังไงกันคะ”

“คำแนะนำจากเลดี้อาเรียมีผลมากทีเดียวค่ะ โดยเฉพาะคำแนะนำให้รวบรวมความกล้าไปจับมือนั่น ท่านมาร์ควิส… ตกใจมากทีเดียว แต่ก็จับมือดิฉันกลับทันทีทั้งที่แก้มสองข้างแดงยังแดงเรื่ออยู่เลยค่ะ”

“ตายจริง…! ท่านมาร์ควิสคนนั้นน่ะหรือคะ!”

“ไม่น่าเชื่อ… คงจะน่ารักน่าชังไม่ใช่เล่น”

“เลดี้อาเรียนี่เก่งจริงๆ นะคะ ทั้งที่อายุน้อยที่สุดแท้ๆ แต่กลับเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านความรักแบบนี้”

“เลดี้รู้ดีขนาดนี้ได้ยังไงกันคะ ถ้ามีเคล็ดลับอะไรก็ช่วยบอกดิฉันด้วยนะคะ เลดี้อาเรีย”

ความสำเร็จของซาร่าที่ขึ้นชื่อว่าเงียบและไม่มีความอยากได้อยากมีที่สุดในกลุ่ม ทำให้บรรดาเลดี้ต่างพากันเร่งเร้าอาเรียด้วยแววตาเป็นประกายเป็นการใหญ่ อาเรียจึงได้แต่ยิ้มแหยตอบกลับไป

“ดิฉันไม่ได้มีเคล็ดลับอะไรหรอกค่ะ ก็แค่เคยชินกับเรื่องรักๆ ใคร่ๆ เพราะเกิดมาในฐานะสามัญชนเท่านั้น สามัญชนอย่างเราไม่ค่อยมีสิ่งบันเทิงเริงใจ จึงพลอยไม่ตะขิดตะขวงใจที่จะรักหรือว่าแสดงความรักไปด้วยน่ะค่ะ”

“อ้อ! เลดี้หมายความว่าเพราะเลดี้ได้ฟังได้เห็นมาเยอะอย่างนั้นหรือคะ”

เสียเมื่อไหร่ล่ะ เรื่องพวกนี้เป็นผลพวงที่อาเรียได้เรียนรู้และประสบมาตลอดต่างหาก ผลพวงจากการที่เธอสยบบรรดาชายหนุ่มไว้ใต้เท้าแล้วทำเหมือนพวกเขาเป็นมือเท้าของเธอ แต่เธอจะพูดออกไปไม่ได้เด็ดขาด

“…จะว่าอย่างนั้นก็ได้ค่ะ”

เหล่าเลดี้ที่มารวมตัวกันต่างหันมองกันไปมาแล้วพยักหน้าราวกับเห็นด้วยกับเธอ

“อย่างนี้พวกเราก็มีเรื่องที่ต้องเรียนรู้จากสามัญชนเช่นกันสินะคะ!”

“สุดยอดจริงๆ ค่ะ ดิฉันเองก็อยากฟังเรื่องราวความรักของพวกเขาเหมือนกันนะคะ!”

ไม่ใช่เรื่องราวความรักแต่คือวิธียั่วยวนขุนนางชั้นสูงให้สำเร็จต่างหากล่ะ อาเรียเผยยิ้มใสซื่อพลางเอ่ยตอบพวกหล่อน

“ดิฉันก็มาอยู่ตรงนี้แล้ว หากถามมาดิฉันจะตอบค่ะ แต่ไม่ทราบว่าจะช่วยได้หรือเปล่านะคะ”

“ถ้าเป็นคำแนะนำของเลดี้อาเรียล่ะก็ ต้องฟังแล้วทำตามด้วยนะคะ!”

“แน่นอนอยู่แล้วค่ะ! ขอบคุณมากนะคะ เลดี้อาเรีย!”

จริงอยู่ที่อาเรียมีทั้งทักษะและความรู้ที่จะมัดใจชายหนุ่มได้ แต่มันคงไร้ประโยชน์สำหรับพวกหล่อน

เพราะวิธีที่อาเรียใช้มาตั้งแต่แรกกับสิ่งที่พวกหล่อนทำได้นั้นแตกต่างกันราวฟ้ากับเหว

ในกรณีของซาร่า มาร์ควิสวินเซนต์มีใจให้หล่อนอยู่ก่อนแล้ว ดังนั้นไม่ว่าหล่อนจะทำอะไรเขาก็รับได้ แต่หากไปทำแบบนี้กับคนแปลกหน้าหรือชายหนุ่มที่ไม่ได้สนใจตนเองเป็นทุนเดิมอยู่แล้วมันก็ไม่มีประโยชน์อันใด

ถึงอย่างนั้นอาเรียก็อาสาจะช่วยพวกหล่อนด้วยความเต็มใจ เพราะคนที่จะได้ผลประโยชน์จากเรื่องนี้ไม่ใช่ซาร่าที่กำลังจะได้เลื่อนสถานะต่อจากนี้ หากแต่คืออาเรียนี่เอง ด้วยการสร้างความหวังให้กับพวกหล่อน

“จะว่าไป เมื่อไม่นานมานี้เพิ่งมีข่าวลือสกปรกออกมาไม่ใช่หรือคะ”

เลดี้คนหนึ่งเหลือบมองอาเรียแล้วพูดขึ้น เลดี้คนอื่นๆ ก็พากันพยักหน้าอย่างที่ดูก็รู้ว่าเรื่องอะไร

“อ้อ ข่าวลือเกี่ยวกับเลดี้อาเรียใช่ไหมคะ”

“น่ารังเกียจเสียเหลือเกินค่ะ โล่งใจไปทีนะคะที่ได้รู้ว่ามันไม่ใช่เรื่องจริง”

ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับข่าวลืออย่างอาเรียกลับเอ่ยถามว่าพวกหล่อนหมายถึงเรื่องอะไร

“ตายจริง…! นี่เลดี้ไม่ทราบหรือคะ เรื่องข่าวโคมลอยที่ลือกันไปทั่วยังไงล่ะคะ”

“ไม่ทราบค่ะ ดิฉันไม่เข้าใจว่าพวกเลดี้กำลังพูดเรื่องอะไรกัน”

มีข่าวลือรายล้อมรอบตัวเธออยู่มากมายเสียจนเธอไม่อาจคาดเดาได้ว่าเป็นเรื่องใด

“เป็นข่าวลือที่น่าขำมากจริงๆ ค่ะ ข่าวที่ว่าเลดี้ให้ท่าท่านออสการ์เพราะต้องการทำให้เลดี้มิเอลเจ็บปวดน่ะสิคะ”

อ้อ เรื่องนี้นี่เอง ถ้าเป็นข่าวนี้ มันก็เป็นความจริงไม่ใช่หรือ ถึงอย่างนั้นอาเรียก็ยังกลั้นหายใจราวกับเธอกำลังตกใจเป็นอย่างมาก

“เป็น เป็นไปไม่ได้หรอกค่ะ! ดิฉันจะไปกล้าได้ยังไง…!”

“ใช่ไหมล่ะคะ เลดี้อาเรียที่ทั้งใจดีแล้วก็น่ารักแบบนี้ไม่มีทางทำแบบนั้นแน่นอนค่ะ ดิฉันก็พูดอยู่ตลอดว่าไม่ใช่ แต่คนรอบตัวไม่มีใครเชื่อดิฉันเลยค่ะ ดิฉันล่ะโมโหจริงๆ…! เฮ้อ”

“โชคดีนะคะที่มีหลายคนเห็นท่านออสการ์คอยดูแลเลดี้มิเอลเองโดยตรงในวันเกิดของเจ้าหญิง ถึงได้รู้กันว่ามันไม่ใช่ความจริง ถ้าไม่มีเรื่องนั้น เจ้าข่าวลือไร้สาระนี่ก็คงยังลอยไปลอยมาอยู่กระมังคะ”

ในบรรดาเลดี้ที่กำลังขุ่นข้องหมองใจ มีแค่อาเรียเพียงคนเดียวเท่านั้นที่กำลังคิดว่าจะดีแค่ไหนหากข่าวลือนั้นเป็นความจริง

เพราะถ้าเป็นเช่นนั้น เธอคงสามารถสร้างบาดแผลให้มิเอลแล้วผลักหล่อนให้ตกลงไปในขุมนรกได้โดยไม่ต้องย้อนเวลามาแบบนี้

คิดๆ ไปแล้ว อาซเป็นใครกันแน่นะ เขาจะช่วยเธอไปได้สักกี่น้ำ แน่นอนว่าเธอเพียงแค่เข้าร่วมประชุมด้วยกันกับเขาเท่านั้น แต่ไม่ว่าอย่างไรเขาก็เป็นถึงคนใหญ่คนโต ฉะนั้นหากทำความรู้จักกันไว้เธอก็จะได้รับความช่วยเหลือจากเขา

‘แล้วเขาจะช่วยให้ฉันเอาออสการ์กลับคืนมาได้หรือเปล่า เขาจะมีอำนาจทำได้ถึงขนาดนั้นเชียวหรือ’

อำนาจของเขาเป็นรองเพียงดยุกเฟรดเดอริกใช่ไหม เธอหวังให้มันเป็นเช่นนั้น บางที หากเป็นเขาอาจจะช่วยให้เธอล้างแค้นได้สำเร็จก็ได้ อย่างง่ายดายเสียด้วยสิ

“…เรีย! เลดี้อาเรีย!”

เลดี้ที่นั่งอยู่ข้างอาเรียเรียกชื่อเธอเสียงดัง ขณะที่เธอกำลังนึกถึงอาซและตกอยู่ในห้วงความคิด อาเรียตกใจจนได้แต่ตอบไปแบบตะกุกตะกัก

“อะ อะไรหรือคะ”

“เฮ้อ เลดี้คิดอะไรอยู่คะ ดิฉันถามว่าเลดี้ไม่มีใครในใจบ้างเลยหรือคะ”

“มีใครในใจหรือคะ”

เป็นเพราะเธอคิดถึงอาซอยู่พักใหญ่หรือเปล่านะ ใบหน้าของอาซจึงได้มาปรากฏอยู่ในหัวเธอทันทีแบบนี้ ทั้งยังเป็นฉากที่จู่ๆ เขาก็โน้มตัวใกล้ลงมาแล้วช่วยเอากลีบดอกไม้ที่ติดผมเธอออกให้เมื่อครั้งก่อนเสียด้วย

ใบหน้าอาเรียพลันร้อนผ่าวจนแทบไหม้ ดวงหน้าแดงเรื่อของเด็กสาวแสนน่ารักนั้น เพียงพอจะทำให้บรรดาเลดี้ในสวนรู้สึกรื่นเริงใจได้

“ตายแล้ว เลดี้หน้าแดงขนาดนี้เพราะคิดถึงใครกันคะนี่”

“น่ารักน่าเอ็นดูเหมือนดอกทิวลิปแสนสวยเชียวล่ะค่ะ”

“คนที่ได้รับความสนใจจากเลดี้อาเรียผู้น่ารักคนนั้นเป็นใครกันคะ”

ระหว่างกลุ่มเลดี้ที่พากันหัวเราะคิกคักหยอกล้ออาเรียนั้น พลันเสียงของซาร่าก็แว่วมาให้ได้ยิน

“เขาช่างน่าอิจฉาเสียจริงนะคะ”

ทำไมหน้าของอาซถึงยังไม่หายไปอีกล่ะ เธอพยายามคิดถึงคนอื่นซ้ำแล้วซ้ำเล่าแต่กลับไม่มีใครอื่นที่คิดถึงอีกแล้ว ใบหน้าของอาซจึงยังฝังลึกอยู่ในความคิดเธอราวกับภาพวาด

อาเรียยังหน้าแดงระเรื่ออยู่โดยไม่มีทีท่าว่าจะกลับคืนสภาพเดิม คำพูดหยอกล้อของเหล่าเลดี้ทั้งหลายจึงยังดำเนินต่อไปเช่นนั้น

……………………….