170 กองทหารประชิดเมือง

เข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล

Sign in Buddha’s palm 170 กองทหารประชิดเมือง

 

อาณาจักรเหมิ่งหยวนกําลังเคลื่อนพลลงใต้!

 

ทันทีที่ขาวนี้แพร่กระจายออกมา คนทั่วทั้งทวีปก็ต่างตกอยู่ในความหวาดกลัวสุดขีด

 

ในฐานะอาณาจักรอันกว้างใหญ่ไพศาลที่ครอบครองทุ่งหญ้าทางตอนเหนือ อาณาจักรเหมิ่งหยวนแอบจับตาดูอาณาจักรต่างๆ ในโลกอยู่เสมอ ถ้าไม่ใช่เพราะกังวลว่าอาณาจักรทั้งหลายจะจับมือรวมพลังกัน เกรงว่าคงก่อสงครามไปนานแล้ว

 

แต่ตอนนี้ราชครูแห่งอาณาจักรเหมิ่งหยวนเข้าสู่ขอบเขตตํานานยุทธเรียบร้อยแล้ว อาณาจักรเหมิ่งหยวนก็ไม่คิดอดทนอีกต่อไป ลอบระดมพลเพื่อชี้เป็นชี้ตายในทันที

 

ซ่งเหนือ[1]

 

วังหลวง

 

จักรพรรดิซ่งและเหล่าขุนนางต่างใบหน้าบิดเบี้ยวน่าเกลียด แต่ไม่มีใครกล้าพูดอะไรออกมา

 

อาณาจักรเหมิ่งหยวนระดมพลทหารกว่าห้าล้านนาย และราชครูแห่งอาณาจักรก็ได้ก้าวกระโดดครั้งใหญ่ขึ้นสู่ขอบเขตตํานานยุทธ ไม่ว่าจะขาวไหนมันก็เพียงพอแล้วที่จะเขย่าโลกทั้งใบ

 

“ข้าประเมินราชครูอาณาจักรเหมิ่งหยวนต่ำไปเสียแล้ว”

 

เยว่อี้เงียบไปเป็นเวลานานแล้วจึงพูดด้วยเสียงทุ่มต่ำ

 

ในฐานะแม่ทัพของอาณาจักรราชวงศ์ซ่งเหนือ ความแข็งแกร่งของเยว่อี้ไปถึงจุดสูงสุดของระดับชั้นที่หนึ่งแล้ว และสามารถพูดได้เต็มปากว่าตนแข็งแกร่งที่สุดในราชวงศ์ซ่งเหนือ

 

เมื่อสามสิบปีที่แล้ว เยว่อี้ได้ต่อสู้กับราชครูแห่งอาณาจักรเหมิ่งหยวน แม้เขาจะพ่ายแพ้ในยามนั้นแต่ก็เข้าใจระดับพลังของฝ่ายตรงข้ามคร่าวๆ

 

ตามความเห็นของเยว่อี้ ราชครูแห่งอาณาจักรเหมิ่งหยวนยังห่างไกลจากขอบเขตตํานานยุทธอยู่อีกมาก ไม่ว่าจะเป็นการแปรสภาพพลังทั้งสามอย่าง ไหนจะการรวมพลังทั้งสามจนกลายเป็นขั้นสมบูรณ์ ต้องทําสองสิ่งนี้ให้สําเร็จเสียก่อนไม่ต้องพูดถึงการเป็นตํานานยุทธเลย

 

แต่ตอนนี้ในเวลาเพียงสามสิบปี เขาได้ก้าวกระโดดหนึ่งช่วงใหญ่อย่างง่ายดายและทะลวงขึ้นสู่ขอบเขตตํานานยุทธได้อย่างคาดไม่ถึง ความรู้สึกอันซับซ้อนที่เกิดขึ้นภายในใจของเยว่อี้นั้นไม่สามารถจะจินตนาการได้

 

“แม่ทัพเยว่”

 

“ข้าแค่อยากจะรู้ว่าแต้มต่อของราชวงศ์ซ่งเหนือมีเท่าไหร่?”

 

ดวงตาของจักรพรรดิซึ่งเป็นสีแดงชาด จ้องไปที่เยว่อี้เขม็งแล้วพูดด้วยน้ำเสียงสั่นๆ

 

“แต้มต่อ?”

 

เยว่อี้ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงพูดว่า “ถ้าไม่มีราชครูแห่งเหมิ่งหยวน อาณาจักรเหมิ่งหยวนก็จะมีกองทัพทหารห้าล้านนาย ถ้าอาณาจักรอื่นๆ ร่วมมือกับราชวงศ์ซ่งของเรา มั่นใจว่าจะสามารถป้องกันได้ถึงแปดส่วนในยามนั้น”

 

“แปดส่วน แน่ใจหรือ?”

 

ดวงตาของจักรพรรดิซึ่งเป็นประกาย หัวใจที่บีบรัดอยู่ค่อยๆ คลายออกในที่สุด

 

เขาเข้าใจชัดเจนเกี่ยวกับบุคลิกของเยว่อี้ เนื่องจากแม่ทัพเยว่อี้บอกว่าแปดส่วนก็เท่ากับมั่นใจมาก ตราบใดที่ไม่มีเหตุสุดวิสัย ก็ไม่มีปัญหาที่จะป้องกันกองทัพของอาณาจักรเหมิ่งหยวน

 

“แล้วถ้ามีราชครูแห่งอาณาจักรเหมิ่งหยวนมาด้วยเล่า?”

 

จักรพรรดิซ่งมองไปที่เยว่อื้อย่างคาดหวัง

 

“ถ้ารวมราชครูแห่งอาณาจักรเหมิ่งหยวนเข้าไปด้วย?” เยว่อี้เงียบไปครู่หนึ่ง สุดท้ายก็พูดออกมาช้าๆ ว่า “ข้าหยุดเขาไม่ได้”

 

คําที่กล่าวออก

 

ทําให้ใบหน้าของจักรพรรดิซีดขาวราวแผ่นกระดาษ 

 

ไม่สามารถหยุดได้

 

กลายเป็นว่าหยุดยั้งไม่ได้!

 

เยว่ไม่ได้คิดด้วยซ้ำว่าจะป้องกันได้หรือไม่ เขาตอบกลับไปตรงๆ ว่าไม่สามารถหยุดยั้งได้

 

“ทําเช่นไรดี?”

 

“แบบนี้ควรจะทําอย่างไรดี!”

 

จักรพรรดิถอนหายใจแผ่วเบา ใบหน้าเป็นสีเทาราวกับคนตาย

 

เขาทรงงานหนักอย่างยิ่งตั้งแต่ขึ้นครองราชย์มา แม้ว่าจะไม่ได้เป็นมหาราช แต่ก็ไม่ใช่จักรพรรดิไร้ผลงานแน่ 

 

จักรพรรดิซ่งคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าสถานการณ์ที่เกิดขึ้นจะมาตกอยู่ในยุคเขา

 

“ฝ่าบาท”

 

“อันที่จริง ไม่ต้องเป็นกังวลมากไปหรอกพะย่ะค่ะ”

 

ในขณะนั้น ขุนนางคนหนึ่งก็ยืนขึ้น โค้งคํานับเล็กน้อย

 

“ไม่ต้องเป็นกังวล?”

 

“อาณาจักรกําลังจะจบสิ้น เจ้าจะไม่ให้ข้ากังวลหรือไร?”

 

จักรพรรดิซึ่งไม่มีแรงแม้แต่จะโกรธ เขาได้แต่ถอนหายใจ

 

“ฝ่าบาท”

 

ขุนนางที่ยืนขึ้นเมื่อครู่กล่าวต่อ “เหมิ่งหยวนเดินทางลงใต้เป้าหมายหลักไม่ใช่อาณาจักรของพวกเราอย่างแน่นอน”

 

“โอ้?”

 

เมื่อจักรพรรดิซึ่งได้ยินสิ่งนี้ จิตวิญญาณของเขาก็ตะลึงพรึงเพริดในทันใด

 

“อาณาจักรถังครอบครองพื้นที่ราบตอนกลาง ทั้งยังมีตํานานยุทธอยู่ในเมืองฉางอัน หากเหมิ่งหยวนต้องการจะครองโลก พวกเขาต้องใช้กําลังทหารส่วนใหญ่ไปกับอาณาจักรถังอย่างมิอาจเลี่ยง”

 

“เหมิ่งหยวนและถังเหมือนเป็นเสือสองตัวที่นั่นกันเอง ไม่ว่าฝ่ายใดจะได้ชัยชนะไป ก็ต้องมีฝ่ายหนึ่งเจ็บหนักแน่ๆ พวกเรารั้งรอ รวมถึงรวบรวมอาณาจักรต่างๆ ที่เหลือ บางทีอันตรายแฝงทั้งสองนี้อาจจะถูกแก้ไขได้ในคราวเดียวก็เป็นได้

 

ยิ่งจักรพรรดิซ่งได้ฟังคํากล่าวมากขึ้นเท่าไหร่ ดวงตาของเขายิ่งสว่างไสวมากขึ้นเท่านั้น และในที่สุดก็พยักหน้า

 

“ขุนนางใหญ่กล่าวได้ถูกต้อง”

 

“เป็นข้าเองที่ไม่ได้คิดให้รอบคอบ”

 

ในที่สุดจักรพรรดิซึ่งก็ยิ้มออกมาได้

 

เมื่อข่าวที่เหมิ่งหยวนลงใต้กระจายออกไป ไม่เพียงแต่ราชวงศ์ซ่งเหนือเท่านั้น แต่ทั่วทวีปต่างก็ตระหนักด้วยเช่นกันว่าที่เหมิ่งหยวนประกาศทําสงครามกับทั้งทวีปนั้น จะดีกว่าถ้าเรียกว่าประกาศสงครามกับอาณาจักรถัง

 

มองไปทั่วทั้งใต้หล้านี้ นอกจากอาณาจักรถังแล้ว จะมีอาณาจักรใดสู้รบตบมือกับอาณาจักรเหมิ่งหยวนได้อีก? 

 

ทันใดนั้นบรรดาอาณาจักรน้อยใหญ่ในใต้หล้านี้ไม่เพียงแต่ถอนหายใจโล่งอก แต่ยังคิดที่จะนั่งดูเสือสองตัวห้ำหั่นกันอีกด้วย

 

อาณาจักรถัง

 

โถงไท่ฉี

 

จักรพรรดิถังประทับอยู่บนบัลลังก์มังกร พระพักตร์ดูสง่างามยิ่ง

 

“เอาล่ะทุกคน อาณาจักรเหมิ่งหยวนกําลังเคลื่อนพลลงใต้มา พวกเจ้าคิดเห็นประการใดบ้าง?” จักรพรรดิถังชําเลืองมองไปทั่วโถง เห็นทั้งขุนนางฝ่ายพลเรือนและฝ่ายทหาร

 

“ฝ่าบาท”

 

“ในยามนี้ราชครูแห่งอาณาจักรเหมิ่งหยวนได้เข้าสู่ขอบเขตตํานานยุทธแล้ว ท่านผู้นั้นก็มิรู้ว่าอยู่ในวังหรือไม่”

 

ขุนนางกระทรวงยุทธนาการเปิดปากพูด

 

“ใครกันรึ ที่อยู่ในวัง?”

 

จักรพรรดิถังไม่รู้จะตอบเช่นไร

 

ตัวพระองค์เองก็อยากจะเชิญชวนอีกฝ่ายมาเช่นกัน แต่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าอีกฝ่ายเป็นใคร จะเชิญเขามาได้อย่างไร? แล้วจะทําสิ่งใดให้ผู้นั้นพึงพอใจได้?

 

บางทีตํานานยุทธภายในวังอาจจะจากไปแล้ว

 

“แล้ววิธีนอกเหนือจากนี้เล่า?”

 

จักรพรรดิสงบใจลง แล้วกล่าวถามอีกครั้ง

 

“ฝ่าบาท ไม่มีทางอื่นแล้ว”

 

ขุนนางเจ้ากระทรวงยุทธนาการอดไม่ได้ที่จะกล่าวออก “ถ้าพระองค์ไม่เชิญท่านผู้นั้นออกมาจากวังหลวง ข้าคิดว่าอาณาจักรถังก็ไม่มีโอกาสที่จะชนะเลย…”

 

ขุนนางเจ้ากระทรวงยุทธนาการพูดไปตามจริง

 

เดิมที่กองทัพเหมิ่งหยวนกว่าห้าล้านนายก็กดดันอาณาจักรถังมากแล้ว รวมกับราชครูแห่งอาณาจักรเหมิ่งหยวนที่เป็นตํานานยุทธแล้วด้วย

 

ไม่มีทางที่จะเอาชนะได้เลย ต่อกรก็ไม่ได้เช่นกัน

 

ยามที่กองทัพสองฝ่ายเข้าน้ำนั่นกัน มันควรจะเป็นการจับคู่กันที่เท่าเทียมเพื่อให้มีกําลังใจในการรบ แต่สถานการณ์ปัจจุบันคืออาณาจักรเหมิ่งหยวนพร้อมจะบดขยี้อาณาจักรถังเต็มที่

 

“ข้าเข้าใจแล้ว”

 

จักรพรรดิถังถอนหายใจเบาๆ แล้วพูดต่อ “ออกคําสั่งระดมกําลังพลจากทั่วดินแดนรวบรวมทุกคนมาที่รอบเมืองฉางอัน พวกเราจะสู้เป็นตายกับอาณาจักรเหมิ่งหยวนที่เมืองฉางอัน”

 

เมื่อจักรพรรดิถังกล่าวคําเช่นนี้ ใบหน้าของขุนนางในราชสํานักต่างก็เปลี่ยนไป

 

ต่อสู้เป็นตายกับอาณาจักรเหมิ่งหยวนที่เมืองฉางอัน 

 

ไม่ใช่เท่ากับว่าเป็นการส่งมอบพื้นที่รอบนอกเมืองฉางอันให้กับอาณาจักรเหมิ่งหยวนหรอกหรือ?

 

ขุนนางส่วนใหญ่ภายในราชสํานักต่างงุนงง มีเพียงขุนนางไม่กี่คนเท่านั้นที่หน้าซีดเซียว พอจะเข้าใจได้รางๆ ว่าเหตุใดจักรพรรดิถึงออกคําสั่งเช่นนี้

 

เป็นไปได้ไหมว่ามีปัญหากับท่านผู้นั้นที่อยู่ภายในวัง? 

 

เหล่าขุนนางต่างกังวลใจ แต่พวกเขาทําได้เพียงเชื่อฟังคําสั่งขององค์จักรพรรดิถัง

 

เวลาค่อยๆ ผ่านเลยไป

 

หกเดือนผ่านไปในพริบตา

 

ในช่วงหกเดือนนี้จักรพรรดิได้ระดมกําลังพลทั้งหมดภายในราชวงศ์ถังให้มากระจุกตัวอยู่รอบนอกฉางอัน

 

และในวันนี้

 

จักรพรรดิถังและขุนนางหลายคนก็ขึ้นมายืนอยู่บนกําแพงเมืองฉางอัน

 

“ฝ่าบาท”

 

“กองทัพอาณาจักรเหมิ่งหยวนมาถึงแล้ว”

 

แม่ทัพแห่งอาณาจักรก้าวไปคารวะที่เบื้องหน้าจักรพรรดิถัง

 

“มาถึงแล้ว?”

 

จักรพรรดิถังมองไปที่ด้านนอกเมืองฉางอัน

 

เห็นเส้นสีดําบางๆ ปรากฏขึ้นที่จุดไกลสุดสายตา

 

เส้นสีดําบางๆ นี้ ราวกับแมลงนักล่าที่เต็มไปด้วยบรรยากาศอันเย็นยะเยือก เจตนาฆ่าคละคลุ้ง

 

อาณาจักรเหมิ่งหยวน รวบรวมกําลังพลทั้งหมดมาในครั้งเดียว มีทหารกว่าห้าล้านนาย และกําลังมุ่งตรงเข้าใกล้เมืองฉางอัน

 

หวื่อ!!!

 

ในขณะนั้นเอง

 

รัศมีพลังอันน่าสะพรึงกลัวก็พุ่งออกมาจากส่วนลึกของกองทัพเหมิ่งหยวน และกวาดไปทั่วทั้งเมืองฉางอันอย่างไร้ยางอาย

 

ไม่ว่าไอพลังนี้จะผ่านไปที่ใด สีหน้าของทหารนายกองของ าณาจักรถังต่างซีดเซียว พวกเขารู้สึกว่าทุกย่างก้าวที่เคลื่อนไป ต้องออกแรงมากกว่าปกติหลายเท่า

 

แม้แต่จอมยุทธทั่วๆ ไปที่อยู่ภายใต้พลังนี้ ต่างก็รู้สึกว่ากําลังภายในของตนโคจรช้าลง ความแข็งแกร่งถูกระงับ 

 

“นี่คือ?”

 

ท่าทีของแม่ทัพถังเปลี่ยนไปอย่างมาก และหันไปหาจักรพรรดิถัง “ฝ่าบาท ราชครูแห่งอาณาจักรเหมิ่งหยวนเริ่มลงมือแล้ว”

 

ในเวลาเดียวกัน

 

ใต้เมืองฉางอัน

 

ในโถงพระราชวังอันสูงตระหง่าน

 

ชูฉันค่อยๆ เปิดเปลือกตาขึ้น

 

[1] ราชวงศ์ซ่งเหนือ หรือ เป่ยซ่ง มีจริงอยู่ในคริสตศักราชที่ 990-1127