Sign in Buddha’s palm 171 ฆ่ามัน

 

“ในที่สุดก็ถึงระดับนภาชั้นที่เจ็ด…”

 

ซูฉินถอนหายใจเบาๆ ปราณไหลเข้ามาบรรจบกันทําให้เลือดลมสงบลง

 

“ไม่คาดคิดเลยว่าจะผ่านไปโดยราบรื่น ไม่มีจุดผกผันเลยสักนิดเดียว”

 

รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของซูฉิน แสดงให้เห็นถึงความพึงพอใจอย่างมาก

 

“แก่นแท้แห่งพลัง ร่างกาย และจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์เพิ่มสูงขึ้นอย่างน้อยๆ ก็สิบเท่า ตอนนี้ข้าสามารถปราบตํานานยุทธในระดับนภาชั้นที่หกได้ด้วยนิ้วเดียว”

 

ซูฉินรู้สึกถึงพลังอันกว้างใหญ่ไพศาลของพลังปราณและเลือดเนื้อภายในร่าง เขาก็ได้กะประมาณอยู่ในใจ

 

“แม้ว่าการทะลวงขั้นจะราบรื่น แต่ก็ต้องใช้เวลาถึงหกเดือนในการปิดด่านฝึกตนครั้งนี้ ถ้าไม่ใช่เพราะมีร่างจําแลงที่คอยลงชื่อเข้าใช้อยู่ภายในโลกถ้ำปีศาจอยู่ทุกวัน กลัวว่าข้าคงอกแตกตายไปเสียแล้ว…”

 

ซูฉินเหลือบมองไปที่บ่อน้ำปีศาจที่อยู่ไม่ไกล พร้อมกับคิดอยู่กับตนเอง

 

หากไม่มีร่างจําแลงที่คอยลงชื่อเข้าใช้ทุกวัน ซูฉินคงจะเสียเวลาในการลงชื่อเข้าใช้ไปถึงหกเดือนเต็มเลยทีเดียว

 

โอกาสในการลงชื่อเข้าใช้ถึงหกเดือน

 

คํานวณจากการที่ลงชื่อเข้าใช้ได้วันละครั้งแล้ว มีโอกาสลงชื่อเข้าใช้ถึงหนึ่งร้อยแปดสิบครั้ง แม้ว่าจะสามารถเก็บผลไม้แก่นปีศาจได้ครั้งละผลก็ยังได้ผลไม้แก่นปีศาจถึงร้อยแปดสิบผลด้วยกัน

 

“ดูหน่อยซิ ว่าเกิดขึ้นอะไรข้างนอกบ้าง”

 

ซูฉินยืดเหยียดกล้ามเนื้ออย่างขี้เกียจ และปล่อยจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ออกไปตามใจต้องการซึ่งสามารถครอบคลุมรัศมีร้อยลี้ได้อย่างง่ายดาย

 

“หือ?”

 

“กองทัพจากเหมิ่งหยวน ยกพลมาประชิดเมืองฉางอาน?”

 

เพียงแค่คิด ซูฉินก้าวเท้าเดินออกไป และหายตัวไปจากจุดเดิม

 

ณ กําแพงเมืองฉางอัน

 

ใบหน้าของจักรพรรดิถังซีดเซียว

 

แม่ทัพถึงที่อยู่ด้านข้างก็ใบหน้าบิดเบี้ยวไปเช่นกัน

 

ในฐานะที่เป็นยอดปรมาจารย์ขั้นสูงสุด แม้จะไม่ได้ถูกราชครูแห่งอาณาจักรเหมิ่งหยวนซึ่งอยู่ห่างออกไปหลายสิบลึกดดัน เขาก็ตระหนักดีถึงช่องว่างระหว่างตัวเขาและคู่ต่อสู้

 

“ฝ่าบาท”

 

“ทําไมพวกเราไม่หลบหนีกันไปก่อนเล่า ไม่ว่าจะอย่างไร การมีชีวิตอยู่ถือเป็นสิ่งสําคัญที่สุด” แม่ทัพแห่งวังหลวงอดไม่ได้ที่จะกล่าวบอก

 

บางทีคนอื่นๆ อาจจะเชื่อว่าตํานานยุทธภายในพระราชวังถึงจะลงมือ

 

อย่างไรก็ตาม ในฐานะคนสนิทของจักรพรรดิถัง แม่ทัพแห่งวังหลวงเองก็ได้รู้จากจักรพรรดิถังมาเมื่อไม่กี่เดือนก่อนนี้เองว่าแม้แต่ตัวจักรพรรดิก็ไม่รู้ว่าใครคือตํานานยุทธที่อยู่ในพระราชวังถัง และไม่แน่ใจด้วยว่าท่านผู้นั้นจะลงมือหรือไม่

 

เมื่อเป็นเช่นนี้ แม่ทัพแห่งวังหลวงจึงจําจะต้องเกลี้ยกล่อมจักรพรรดิถังให้รักษาชีวิตเอาไว้

 

ส่วนคนอื่นๆ นั้น ทําได้เพียงแต่ต้องก้าวเดินไปข้างหน้าทิ้งบางส่วนไว้เบื้องหลัง

 

“เจ้าจะปล่อยให้ข้าละทิ้งผู้คนนับล้านในเมืองฉางอัน ละทิ้งภูมิหลังตระกูลถังและหลบหนีออกไปเพียงผู้เดียวงั้นรึ?” จักรพรรดิถังเหลือบมองไปยังแม่ทัพแห่งวังหลวงแล้วกล่าวคําแผ่วเบา

 

เป็นจักรพรรดิก็ต้องรักษาปกป้องอาณาจักร

 

จนชีวิตในฐานะจักรพรรดิจบสิ้นไป

 

ในฐานะจักรพรรดิแห่งอาณาจักรถัง ถ้าตัวเขารอดมาได้จริงๆ จะยังมีหน้าไปพบจักรพรรดิราชวงศ์ถังพระองค์อื่นๆ อีกหรือไม่?

 

“แม่ทัพยอมพลี แม่ทัพผู้นี้ขอยอมพลี…”

 

แม่ทัพแห่งวังหลวงทราบถึงความมุ่งมั่นในคําพูดขององค์จักรพรรดิถัง คุกเข่าลงกับพื้นแล้วกล่าวอย่างเคร่งขรึมว่า “ตราบใดที่แม่ทัพอย่างกระหม่อมยังไม่ตาย ก็จะไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับฝ่าบาทได้”

 

คําพูดของแม่ทัพถังเผยเจตจํานงที่จะยอมตายเอาไว้แล้ว

 

เขาเป็นยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสูงสุด ถ้าต้องการจะจากไปก็ไม่มีใครหยุดเขาเอาไว้ได้ เว้นแต่ราชครูแห่งอาณาจักรเหมิ่งหยวนจะลงมือเอง

 

อย่างไรก็ตาม แม่ทัพยังไม่มีความคิดเช่นนั้น เพราะเขาคือแม่ทัพแห่งวังหลวง และทุกสิ่งที่เขามีในวันนี้ก็ล้วนได้รับมาจากอาณาจักรถัง

 

“ดี!”

 

“ดีมาก!”

 

ใบหน้าของจักรพรรดิถังดูโล่งใจมากขึ้น

 

ขณะนั้นเองจักรพรรดิถังก็ได้เหลือบไปเห็นบางสิ่ง ทําให้เขาผงะไปเล็กน้อยก่อนจะพูดขึ้นว่า “พี่สาม ท่านกลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?”

 

“เพิ่งจะถึงเมื่อครู่”

 

ซูฉินเดินไปที่ด้านหน้าของกําแพงเมืองอย่างรวดเร็ว มองไปยังกองทัพเหมิ่งหยวนที่อยู่ห่างออกไปกว่ายี่สิบลี้ 

 

ก่อนที่ซูฉินจะปิดด่านฝึกตนเพื่อเตรียมทะลวงขั้นขึ้นจากระดับนภาชั้นที่หก เขาได้แจ้งจักรพรรดิถังและตระกูลซูแล้วว่าตนต้องการจะเดินทางไกลเป็นเวลานาน

“พี่สาม ท่านไม่ควรกลับมา…”

 

จักรพรรดิถังถอนหายใจแผ่วเบา สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความขมขึ้น

 

ช่างเป็นจังหวะที่ไม่ดีเหลือเกินที่ซูฉินกลับมาในช่วงเวลานี้

 

“พี่สาม ตอนนี้ข้าจะให้คนพาท่านออกจากเมืองฉางอันไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น อย่าได้หันกลับมาอีก”

 

จักรพรรดิเคร่งเครียดและกล่าวบอกอย่างจริงจัง

 

“ออกไป?”

 

“ทําไมข้าจึงต้องออกไป?”

 

ดวงตาของซูฉินสงบนิ่ง ตอบคําอย่างสบายๆ

 

“ทําไมถึงไม่อยากหนี้ไป?” จักรพรรดิถังตกตะลึง เขาเหลือบมองไปยังกองทัพเหมิ่งหยวนที่อยู่ห่างออกไปยสิบลี้ จากนั้นก็มองกลับมาที่ซูฉินอีกครั้ง แต่ซูฉินยังคงนิ่งเฉย

 

ทําไมถึงไม่อยากหนีไปกัน?

 

กองทัพเหมิ่งหยวนกําลังจะมาถึงแล้ว ไม่ยอมจากไป ท่านกําลังรอให้ฝ่ายตรงข้ามมาบดขยี้หรือไร?

 

“ พี่สาม”

 

“ไม่เพียงแต่ท่านจะต้องหนีไป แต่หยุนเหนียง หยวนเอ๋อและหว่านเอ๋อก็จะต้องหนีไปด้วย ท่านต้องดูแลพวกเขาแทนข้า”

 

จักรพรรดิถังกล่าวด้วยเสียงลุ่มลึก

 

แม้ว่าจักรพรรดิถังได้ตัดสินใจแล้วว่าจะอยู่ร่วมเป็นร่วมตายกับเมืองฉางอัน แต่ไม่ได้หมายความว่าเขาจะทนเห็นซูเยว่หยุน หลีหยวน และหลีหว่านตายไปพร้อมกับเขาได้

 

“ตอนนี้หยุนเหนียงยังคงหลับใหลอยู่ คงขาดพี่สามคอยดูแลไม่ได้ หยวนเอ๋อและหว่านเอ๋อก็ยังเด็กนักยังต้องการการสั่งสอนจากพี่สามอยู่”

 

“นี่คงจะเป็นครั้งสุดท้ายที่ข้าจะได้ขอร้องพี่สามแล้ว…”

 

จักรพรรดิถังโค้งคํานับซูฉินเล็กน้อยและกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เคร่งเครียดว่า “ข้านั้นคือองค์จักรพรรดิที่ใช้งานไม่ได้จริงๆ นอกจากจะไม่สามารถให้ความมั่งคั่งแลยศถาที่เหมาะสมกับสง่าราศีของพี่สามเท่านั้น ยังทําให้พี่สามต้องหลบหนีเอาชีวิตรอดอีก…”

 

“ไม่จําเป็น”

 

ซูฉินไม่ได้มองที่จักรพรรดิถังด้วยซ้ำ

 

เวลาผ่านไปอย่างช้าๆ

 

ไม่กี่ชั่วโมงต่อมา

 

กองทัพเหมิ่งหยวนก็หยุดขบวนอยู่ที่นอกเมืองฉางอันห่างออกไปสิบลี

 

ทันใดนั้น กลิ่นเลือดจากระยะสิบลี้ก็พุ่งเข้ามาแตะจมูก

 

“จบสิ้นแล้ว”

 

“ต่อให้ต้องการจะหนีไปตอนนี้ก็ไม่ทันแล้ว”

 

จักรพรรดิถังรู้สึกหนาวเหน็บและเหลือบมองไปยังซูฉินที่อยู่ด้านข้าง

 

ในช่วงสองสามชั่วโมงที่ผ่านมา จักรพรรดิถังพยายามโน้มน้าวให้ซูฉินหนีไป แต่มันก็ไม่ได้ช่วยอะไรเลย 

 

สิ่งนี้ทําให้จักรพรรดิถังกระวนกระวายใจแทบแย่

 

และหลังจากที่กองทัพเหมิ่งหยวนหยุดลง ขบวนทัพก็แหวกตัวออก ชายร่างสูงค่อยๆ เดินออกมาอย่างช้าๆ

 

“นั่นคือราชครูแห่งอาณาจักรเหมิ่งหยวน?”

 

เมื่อจักรพรรดิถังเห็นฉากนั้น ใบหน้าของเขาก็ซีดลงในทันที

 

คนบนกําแพงต่างก็ทําหน้าเคร่งขรึม สายตาจับจ้องไปที่ชายร่างสูงกันเกือบทั้งหมด

 

ท่ามกลางสายตาของทุกคน

 

ชายร่างสูงเดินออกมาสองสามก้าวแล้วก็หยุด จากนั้นก็จ้องมองไปที่เมืองฉางอันจากระยะไกลแล้วกล่าวว่า “เมื่อข้าเดินทางออกจากเหมิ่งหยวน ข้าก็ตั้งหน้าตั้งตารอ”

 

เสียงของชายร่างสูงไม่ได้ดัง แต่มันแผ่กระจายไปทั่วระยะสิบลี้ ดังก้องชัดเจนอยู่ข้างหูจักรพรรดิถังและคนอื่นๆ

 

“ข้าตั้งตารอที่จะได้สู้กับตํานานยุทธอีกคนที่อยู่ที่นี่!”

 

“พวกเราเหล่าจอมยุทธล้วนเต็มไปด้วยพลังชีวิตและเลือดเนื้ออันเร่าร้อน ต่อให้พวกเราจะต้องตาย ก็ต้องตายในการต่อสู้แทนที่จะนอนรอความตายด้วยการค่อยๆ แก่ชราเหมือนกับเต่าหดหัว”

 

เสียงของราชครูแห่งอาณาจักรเหมิ่งหยวนค่อยๆ ดังขึ้นเรื่อยๆ และในที่สุดก็คล้ายกับระฆังทองสัมฤทธิ์ที่สั่นสะเทือนดังลั่นไปทั่วทุกทิศ

 

“แต่ตอนนี้ข้าผิดหวัง!”

 

“ข้าผิดหวังเหลือเกิน!”

 

“ปรากฏว่าไม่ได้มีจอมยุทธขอบเขตตํานานยุทธภายในเมืองฉางอัน”

 

“ความคาดหวังทั้งหมดของข้า ความตั้งใจที่จะต่อสู้ทั้งหมดนั้นอันตรธานหายไปหมดสิ้นแล้ว!”

 

คําพูดของราชครูแห่งอาณาจักรเหมิ่งหยวนเต็มไปด้วยความโกรธ และประโยคสุดท้ายยิ่งเกรี้ยวกราดราวกับฟ้าถล่ม

 

ทุกคนที่อยู่ด้านบนกําแพงเมืองฉางอันต่างได้ยินเสียงคํารามของราชครูเหมิ่งหยวนดังก้องอยู่ข้างหู สะท้านไปถึงหัวใจ

 

เหลือเพียงความคิดเดียวในใจของทุกคน

 

“ไม่มีตํานานยุทธภายในเมืองฉางอัน?”

 

“ไม่มีตํานานยุทธภายในเมืองฉางอัน?”

 

“ไม่มีตํานานยุทธภายในเมืองฉางอัน?”

 

ตลอดเวลา เหตุผลที่พวกเขาสามารถรวบรวมความกล้ามายืนหยัดต่อหน้ากองทัพกว่าห้าล้านของอาณาจักรเหมิ่งหยวนได้ก็เพราะฝากความหวังเอาไว้กับตํานานยุทธที่อยู่ในส่วนลึกของวังหลวง

 

แต่ตอนนี้ราชครูแห่งอาณาจักรเหมิ่งหยวนพูดกับปากเองว่าไม่มีตํานานยุทธอยู่ในเมืองฉางอัน?

 

ถ้าไม่มีตํานานยุทธ จะเอาอะไรไปต่อต้านกองทัพเหมิ่งหยวน?

 

“ข้าไม่ได้คาดหวังว่าตํานานยุทธในเมืองฉางอันจะจากไป เช่นนี้?” ดวงตาของผู้นําอาณาจักรเหมิ่งหยวนเป็นประกาย และพึมพําอยู่กับตนเอง

 

ก่อนที่จะเดินทางมา เขายังกังวลอยู่ว่าราชครูแห่งอาณาจักรเหมิ่งหยวนกับตํานานยุทธแห่งเมืองฉางอัน ใครจะแข็งแกร่งกว่ากัน

 

แต่ตอนนี้ ถ้าไม่มีตํานานยุทธภายในเมืองฉางอันจริงๆ ก็ไม่จําเป็นต้องให้ราชครูแห่งอาณาจักรเหมิ่งหยวนลงมือด้วยซ้ำ แค่กองทัพเหมิ่งหยวนอย่างเดียวก็เพียงพอที่จะบุกทะลวงเมืองฉางอัน

 

“รวมใต้หล้าให้เป็นหนึ่ง”

 

“เหมิ่งหยวนของเราจะหมดทุกข์หมดโศก และจะรวมใต้หล้าให้เป็นหนึ่งสืบไป สร้างโลกที่ไม่มีใครเทียบเทียม…”

 

ดวงตาของผู้นําอาณาจักรเหมิ่งหยวนเต็มไปด้วยอารมณ์อันเร่าร้อน

 

บนกําแพงเมือง

 

ใบหน้าของจักรพรรดิถังซีดจาง ความสิ้นหวังปรากฏขึ้นบนใบหน้า

 

ก่อนหน้านี้เขามีความหวังลึกๆ ในใจ ว่าสุดท้ายตํานานยุทธที่อยู่ในส่วนลึกของวังหลวงจะสามารถป้องกันราชครูแห่งอาณาจักรเหมิ่งหยวนได้

 

แต่ตอนนี้เมื่อได้ยินสิ่งที่ราชครูอาณาจักรเหมิ่งหยวนพูดจักรพรรดิถังก็เหมือนตกลงไปในก้นเหว

 

จักรพรรดิถังไม่ได้สงสัยว่าราชครูเหมิ่งหยวนจะโกหก ตอนนี้สงครามกําลังจะเกิด ไม่มีเหตุผลที่ราชครูแห่งอาณาจักรเหมิ่งหยวนจะโกหกเลย

 

ถ้าตํานานยุทธผู้นั้นอยู่ภายในเมืองฉางอันจริงๆ เกรงว่าคงจะลงมือไปนานแล้ว คงจะไม่รอจนถึงตอนนี้

 

เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ จักรพรรดิถังก็รู้สึกหน้ามืด ขาแข้งอ่อนยวบล้มลงไปกับพื้น

 

ทันใดนั้น

 

ตอนนั้นเอง

 

มือขวาเพรียวบางและทรงพลังก็ประคองจักรพรรดิถังเอาไว้

 

“พี่สาม”

 

จักรพรรดิถังค่อยๆ ลุกขึ้นมายืนได้ เมื่อเห็นว่าเป็นพี่สามที่คอยประคองเขาเอาไว้ จึงกล่าวออกอย่างขมขึ้น “พี่สาม ข้าขอโทษจริงๆ สําหรับตัวท่าน ขอโทษหยุนเหนียง ขอโทษตระกูลซู ขอโทษราชวงศ์สกุลถังนับร้อยคน

 

“ไม่ต้องขอโทษแล้ว”

 

ซูฉินขัดจังหวะจักรพรรดิถัง รั้งมือขวากลับไป แล้วเดินไปด้านหน้าอย่างเชื่องช้า

 

“พี่สาม ท่านจะทําอะไร?”

 

จักรพรรดิถังตะโกนเสียงดังอย่างลืมตัว

 

ซูฉินไม่ได้หันกลับไปมอง พูดเพียงคําสองคําเท่านั้น

 

“ฆ่ามัน!”