เห็นได้ชัดว่าทหารคนแรกสำหรับการประลองจากทางค่ายเจียนอี๋ได้ถูกจัดเตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว มัดกล้ามขึ้นเป็นลูก ท่าทางการเดินที่เต็มไปด้วยจิตสังหารอันเหี้ยมโหด ชายคนนี้แหกปากคำรามใส่กองทัพเขี้ยวหมาป่าที่อยู่ฝั่งตรงข้าม

 

“เลือกได้ดีนี่” หลิวยู่ติงพูดพร้อมกับคำเตือน จากนั้นเขาก็ปิดปากเงียบ

 

สถานการณ์ที่เฉพาะเจาะจงของทหารในกองทัพของชูฮันนั้นไม่เป็นที่เปิดเผย คนที่ชูฮันจะเลือกมานั้นจะเป็นประเภทที่ฝ่ายตรงข้ามอย่างหลูอี๋จะนึกไม่ถึงเลยทีเดียวแต่เป็นเพราะคำพูดของชูฮันนั้นค่อนข้างแปลก หลูอี๋ได้ยินมาอย่างลับๆว่าไม่ควรมองข้ามทหารของชูฮัน

 

ชายที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามยืนขึ้นอย่างไม่ค่อยพอใจ ความจริงแล้วเขาเป็นถึงร้อยโทแต่เมื่อราวครึ่งชั่วโมงที่แล้วเขากลับต้องลดตำแหน่งลงมาเหลือแค่สิบเอก ทุกอย่างนั่นก็เพื่อการต่อสู้ในเย็นนี้ เพื่อที่จะให้ค่ายเจียนอี๋ได้ชัยชนะ เขาจึงไม่ลังเลเลยสักนิดที่จะต้องทำการโกง

 

ไม่เพียงแต่ตำแหน่งทางทหารที่ลดลงเท่านั้นที่ทำให้ชายคนนี้อารมณ์ไม่ดี แต่ที่ยิ่งมากกว่านั้นเพราะก่อนที่เกมส์จะเริ่มหัวหน้าของเขายังมาบอกอีกว่าเขาต้องแสร้งทำเป็นแพ้ไปก่อน เพราะมันจะดูดีกว่าถ้าเขาแกล้งทำเป็นแก่และอ่อนแอที่สุดในทีมและเขาโดนสั่งให้เลือกผู้หญิงจากกองทัพเขี้ยวหมาป่าออกมาสู้ด้วย

 

การโกงแบบนี้มันหมายความว่ายังไงกัน? ให้เขาที่เป็นวิวัฒนาการระยะ 2 ไปสู้กับเด็กสาววัยรุ่น มันดูถูกกันเกินไปรึเปล่า?!

 

ชูเซี่ยที่โดนจ้องอยู่เม้มปากแน่น เธอรู้ว่าคนมากมายจากฝั่งตรงข้ามกำลังจับจ้องมาที่เธอกัน และก็เห็นได้ชัดว่าชายที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามคนนี้น่าจะมีพละกำลังมหาศาลพอสมควร แต่อีกฝ่ายยังจะเลือกเขามาให้สู้กับเธอ?

 

ทำให้เธอค่อนข้างกังวลเล็กน้อย ชูเซี่ยมองไปที่ชูฮัน ถ้าคนที่ได้รับเลือกออกมาสู้คือเธอ เธอกลัวว่าเธอจะทำให้กองทัพเขี้ยวหมาป่าต้องขายหน้า!

 

“ทำไมยังไม่เลือกอีก?” หลูอี๋ที่เห็นว่าชายร่างใหญ่เต็มไปด้วยมัดกล้ามยังคงยืนนิ่งอยู่ท่ามกลางทุกคนและยังคงไม่ยอมเลือก จึงทนไม่ไหวและต้องเร่งกดดันขึ้นมา

 

ชายร่างกำยำขบคิดอย่างวุ่นวายอยู่ในอกอยู่พักหนึ่ง ผลสุดท้ายก็ยื่นมือออกมาและชี้นิ้วไปที่แถวสุดท้ายของกองทัพเขี้ยวหมาป่า “นาย ออกมาสู้กับฉันซะ!”

 

ชูเซี่ยถึงกับถอนหายใจด้วยความโล่ง ตามมาด้วยสายตาของทุกคนที่จับจ้องไปที่คนที่ถูกชี้ตัว แต่เพียงแค่เหลือบไปเห็นชูเซี่ยก็ต้องยิ้มมุมปากทันที

 

คนที่ถูกเลือกคือ…เหล่ยเซอ

 

เหล่ยเซอเดินออกมาจากมุมแถวและยืนนิ่งเงียบๆตรงข้ามหน้าชายร่างใหญ่ เขาปรากฏตัวขึ้นคนเดียว ไม่มีอาวุธใดๆ และดูเหมือนจะเป็นคนที่อ่อนแอที่สุดแล้ว นอกจากกลุ่มผู้หญิงในกองทัพเขี้ยวหมาป่า

 

ทหารกว่าสามร้อยคนแทบจะยิ้มมุมปากเหมือนกันหมด ฝ่ายนั้นถึงกับเลือกพรสวรรค์ระยะ 3 อย่างเหล่ยเซอออกไป ช่างน่าสงสารอีกฝ่ายเหลือเกินที่ไม่รู้เลยว่าจะต้องเจอกับอะไรหลังจากนี้!

 

แม้ว่าเหล่ยเซอจะมีพรสวรรค์ด้านความเร็วแต่สำหรับทหารของกองทัพเขี้ยวหมาป่าแล้ว โดยไม่คำนึงถึงความสามารถที่มีของแต่ละอยู่แล้ว มนุษย์สายพันธ์ใหม่ทุกคนๆจะต้องเข้ารับการฝึกฝนบางอย่างเพิ่มเติมนอกเหนือจากการฝึกฝนโดยรวมพร้อมกับทุกคนต่างหาก แม้แต่เฉินช่าวเย่ก็ไม่มีข้อยกเว้นเช่นกัน สำหรับการจัดตำแหน่งยืนภายในกองทัพเขี้ยวหมาป่านั้นไม่ขึ้นอยู่กับความแข็งแกร่งของใครแต่มันคือการรวมพลังของทีมเข้าด้วยกัน ทั้ง 300 คนรวมกันเป็น 10 ทีม และแทบทุกสองสามวันพวกเขาก็จะถูกวนพลัดเปลี่ยนไปเรื่อยๆแต่ละกลุ่ม ไม่สนว่าใครจะมีความสามารถอะไร ทุกคนต้องปะปนอยู่ด้วยกัน เพื่อให้แต่ละทีมมีความแข็งแกร่งโดยเฉลี่ย

 

เพราะฉะนั้นทหารทั้ง 300 คนจึงยืนเกาะกลุ่มกันเป็นหนึ่งเดียว  แต่อีกฝ่ายที่เห็นเพียงคิดแค่ว่าคนที่ยืนท้ายสุดน่าจะเป็นคนที่ตำแหน่งต่ำสุดและอ่อนแอที่สุด ดังนั้นชายร่างใหญ่จึงเลือกเหล่ยเซอออกไป ทั้งๆที่ความเป็นจริงแล้วเหล่ยเซอคือหนึ่งในกลุ่มคนที่ได้รับการฝึกฝนโดยเฉพาะตามลำพังจากชูฮัน

 

ไม่ว่าจะอยู่เป็นกลุ่มใหญ่หรืออยู่ภายในทีมย่อย หน้าที่หลักของเหล่ยเซอคือการหลอกล่อศัตรู แต่การฝึกฝนความสามารถของเขาในการฆ่าศัตรูนั้นเหนือยิ่งกว่าใคร!

 

ในขณะที่คนอื่นๆมองว่าเหล่ยเซอเป็นแค่ทหารตัวเล็กๆ อ่อนแอ และยิ่งเมื่อออกมายืนในที่เปิด เหล่าคนที่ยืนล้อมดูกันอยู่ยิ่งส่งเสียงโห่ร้องอย่างดูถูกเหล่ยเซอ…เห็นได้ชัดว่าทหารจากค่ายเจี้ยนอี๋แข็งแกรงกว่าเป็นไหนๆ ทำไมถึงเลือกคนแบบนี้มา นี่มันไม่เป็นการรังแกกันเหรอไง?

 

เมื่อได้ฟังเสียงโห่ร้องดังสนั่นของผู้คนในค่าย หลูอี๋ก็ทนปั้นหน้าต่อไปแทบไม่ไหว แต่ไม่นานเขาก็เริ่มสงบอารมณ์ลงได้ ไม่สำคัญว่าจะได้ชัยชนะในยกแรกก่อนหรือไม่ เพราะยังไงเหรียญล่มสลาย 50,000 นั้นเป็นจำนวนไม่ใช่น้อยๆ และมันก็จะเป็นการให้บทเรียนแก่ไอ้ชูฮันและกองทัพเขี้ยวหมาป่าของมัน

 

ชายร่างกำยำนั้นมีแต่ความละอายเต็มอกและความรู้สึกผิดก็เริ่มตีย้อนขึ้นมา และยิ่งเมื่อเห็นเหล่ยเซอที่ยืนห่างอยู่ออกไปประมาณสองเมตร ความรู้สึกของชายร่างใหญ่ที่พุ่งทะยานขึ้นสูง…ความสูงของอีกฝ่ายนั้นอยู่แค่ไหล่ของเขาเท่านั้นเอง!

 

ความละอายและรู้สึกผิดกรีดร้องอยู่ในอกของชายร่างใหญ่จนเขาเสียความมั่นใจ ตามมาด้วยพลังผันผวนของวิวัฒนาการระยะ 2 ที่ปะทุออกมาเต็มไปหมดอย่างควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่อยู่

 

“โอ้ ไม่เลวเลย!” ชูฮันเอ่ยชมเมื่อได้เห็นพลังผันผวนของชายร่างใหญ่ที่ปะทุออกมาตรงหน้า

 

“ฮ่าฮ่าฮ่า!” หลูอี๋ยิ้มอย่างพอใจ หากไม่ได้พูดอะไร

 

“เข้ามาสิ” ชายร่างใหญ่ไม่ยอมลงมือ เขาเพียงแค่บังคับพลังผันผวนของเขาออกมาอีกครั้ง “นายจะพูดไม่ได้ว่าฉันรังแก นายต้องลงมือก่อน!”

 

ตามความคิดของชายร่างใหญ่แล้ว การที่พลังผันผวนของเขาพุ่งออกมาแบบนี้มันน่าจะทำให้ชายตัวเล็กร่างบางตรงหน้าทนไม่ไหวจนเลือดกระอักออกมาจนพ่ายแพ้ให้แก่เขา โดยไม่ต้องพึ่งการปะทะกันหรือการลงมือ ด้วยวิธีการนี้เขาก็จะได้ชัยชนะมาอย่างง่ายๆ เพราะถ้าเขาลงมือก่อนแน่นอนว่าทุกคนจะต้องมองเขาในแง่ร้าย

 

หลูอี๋เองก็คิดแบบเดียวกับชายร่างใหญ่ เขาก็พยักหน้าอย่างเข้าใจ…วิธีการนี้ดีมาก!

 

แต่ที่ทุกคนไม่คิดก็คือเมื่อพลังผันผวนของชายร่างใหญ่ไต่ไปถึงจุดสูงสุด ฝ่ายตรงข้ามกลับไม่มีอาการทนไม่ไหวจนต้องกระอักเลือดออกมาให้เห็น แม้แต่ความเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยบนสีหน้าก็ยังไม่มี เหล่ยเซอยังคงยืนนิ่งไม่ขยับ ราวกับไม่ได้รับผลกระทบอะไรเลยสักนิดจจากพลังผันผวน

 

ชายร่างใหญ่ตกใจอย่างมาก แต่น่าเสียดายที่เขายังไม่ได้ทันได้แสดงปฏิกิริยาอะไร เหล่ยเซอที่อยู่ตรงข้ามก็พูดขึ้นมา

 

“จะออมมือให้” อะไรน่ะ? ออมมือให้?

 

ความคิดในสมองของชายร่างใหญ่ยังไม่ทันได้ประมวลผล จู่ๆร่างของเหล่ยเซอที่อยู่ฝั่งตรงข้ามก็หายไปจากระยะสายตาแล้ว ตามมาด้วย…

 

ปึง! ปึง! ปึง! ปึง!

 

เสียงคลื่นความถี่สูงระเบิดขึ้นมาตรงขาขวาของชายร่างใหญ่ ตามมาด้วยเสียงกระแทก และร่างของชายร่างใหญ่ที่เสียสมดุลและล้มลง

 

“อ๊าก! ขาฉัน!” ร่างของชายร่างใหญ่ชุ่มไปด้วยเหงื่อ ขณะงอตัวกอดขาข้างขวาของตัวเองไว้ด้วยความเจ็บปวดทรมานที่แพร่กระจายไปทั่วทั้งตัว

 

ส่วนเหล่ยเซอนั้น ภายในพริบตาเดียวก็เคลื่อนไหวด้วยความเร็วสูงตรงกลับไปที่หากลุ่มกองทัพเขี้ยวหมาป่าของเขา จากนั้นก็หันกลับมาพูดขึ้นท่ามกลางความเงียบในสนามประลอง “ฉันไม่ได้ลงแรงอะไรมาก แม้ว่าจะเจ็บแต่ฉันแค่หักส่วนเล็กๆตรงเข่าเท่านั้น ด้วยความสามารถในการฟื้นตัวของวิวัฒนาการระยะ 2 ของนาย พรุ่งนี้นายก็จะสามารถเดินได้ปกติ” เมื่อพูดจบ เหล่ยเซอก็กลับเข้าไปยืนอยู่ที่มุมแถวของทีมต่อเหมือนเดิม