ภาคแคว้นติ้ง บทที่ 58.1 ตัวตนที่แท้จริงของเซียงซืออวี่ (1)

กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ

“ท่านกำลังคิดอะไรอยู่?” ครั้นเห็นสายตาของเขาแปรเปลี่ยนไปมา เดี๋ยวเศร้าเดี๋ยวสุข แล้วยังแฝงไว้ด้วยความทุกข์ตรมและเสียใจ ซูหลีก็อดถามขึ้นไม่ได้

สายตาของเซียงซืออวี่พลันสะดุด เขาส่ายหน้าเบาๆ “ข้าไม่ได้คิดอะไรทั้งนั้น…”

ซูหลียิ้มเล็กน้อย แล้วถามว่า “ท่านกับคุณชายเซี่ยสนิทกันหรือ?”

เซียงซืออวี่ขมวดคิ้วเล็กน้อย “คุณชายเซี่ยอะไรกัน คุณชายเซี่ยคือใคร?” อาการเมามายคล้ายทำให้เขาทรมานมาก เขายกมือลูบหน้าอกเบาๆ

ซูหลีมองหน้าเขา แล้วกล่าวว่า “เซี่ยอวิ๋นเซวียน”

เขาครุ่นคิด แล้วส่ายหน้าอย่างสับสนงุนงง คล้ายไม่เข้าใจว่านางกำลังพูดอะไร ปากก็พึมพำฟังไม่ได้ศัพท์ “เซี่ยอวิ๋นเซวียนคือใคร…”

ซูหลีอดแค่นยิ้มไม่ได้ สายตาขรึมลงเล็กน้อย แสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่องก็เป็นงั้นหรือ! ดูท่าคงไม่ได้เมาขนาดนั้น

ยามนี้เสียงฝีเท้าดังมาจากนอกประตู นางกำนัลสองคนเดินผ่านหอเฉี่ยนเยวี่ย พวกนางเดินไปด้วยพูดคุยอย่างสนุกสนานไปด้วย หนึ่งในนั้นเอ่ยด้วยความดีใจ “วันนี้ตำหนักบูรพาคึกคักมาก งานอภิเษกสมรสขององค์รัชทายาท แม้แต่นางกำนัลต่ำต้อยเช่นข้ากับเจ้าก็ยังได้รับการตบรางวัลอย่างงาม เห็นได้ชัดว่าองค์รัชทายาททรงมีเมตตาถึงเพียงใด!”

นางกำนัลอีกคนกล่าวว่า “ใช่แล้ว เพียงแต่การตบรางวัลเช่นนี้ ไม่รู้จะมีอีกครั้งเมื่อใด!”

“อีกไม่นานหรอก องค์หญิงฉางเล่อก็หมั้นหมายไปแล้ว”

“แต่บุรุษในดวงใจขององค์หญิงฉางเล่อคือฮ่องเต้แคว้นเฉิงมิใช่หรือ ข้าได้ยินมาว่านางกับฮ่องเต้แคว้นเฉิงอยู่ด้วยกันบนเรือทั้งคืน…”

“ชู่ว! อย่าพูดจาส่งเดช!”

“เป็นความจริงนะ!” นางกำนัลลดเสียงให้เบาลง “ข้าได้ยินพี่ทหารคนหนึ่งบอกมาอย่างนั้น เขาเป็นคนบ้านเกิดเดียวกับข้า ไม่มีทางโกหกข้าหรอก”

นางกำนัลอีกคนถอนหายใจ “เป็นองค์หญิงแล้วอย่างไรเล่า จะแต่งงานกับใคร ก็ยังมิอาจทำตามใจตนเองได้?! ฝ่าบาทกับฮองเฮาทรงรักและทะนุถนอมองค์หญิงยิ่งนัก แต่ทว่า…ครั้นเป็นเรื่องแต่งงาน กลับยังต้องฟังคำฝ่าบาทมิใช่หรือ?”

นางกำนัลหัวเราะเสียงเบา แล้วกล่าวว่า “เซียงซืออวี่ผู้นั้นแม้รู้ว่าองค์หญิงกับฮ่องเต้แคว้นเฉิงรักกัน ก็ยังยืนยันจะสู่ขอองค์หญิง เจ้าว่าเขาโง่หรืออย่างไร?”

“ก็ต้องโง่น่ะสิ! เจ้ายังไม่เห็น ข้าได้ยินว่าเมื่อกี้เขาถึงขั้นเช็ดรองเท้าให้องค์หญิง…” ทั้งสองคุยกันอย่างออกรส พลางเดินห่างออกไปเรื่อยๆ

ซูหลีที่ยืนอยู่ในห้องรู้สึกจะหัวเราะก็ไม่ใช่ร้องไห้ก็ไม่เชิง ทำได้เพียงถอนหายใจยาวๆ หมุนตัวหันกลับไป เซียงซืออวี่ไม่รู้มายืนอยู่ข้างหลังนางตั้งแต่เมื่อใด เขาจับจ้องใบหน้านาง นางผงะถอยหลังด้วยความตกใจ

ครั้นเห็นนางตกใจ เขาก็อดหัวเราะอย่างขมขื่นไม่ได้ “ฉางเล่อเองก็คิดว่าข้าโง่หรือ?”

ซูหลีชะงักงันไปครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวว่า “ท่านพูดอะไรน่ะ ท่านเมาแล้ว พักผ่อนเถิด ข้ากลับก่อนแล้ว อีกประเดี๋ยวข้าจะให้คนมาปรนนิบัติท่าน หากท่านต้องการอะไรก็บอกพวกเขาได้เลย”

เซียงซืออวี่รั้งมือนาง แล้วมองนางด้วยสายตาอ้อนวอน “ข้าไม่อยากให้ใครมาปรนนิบัติ ข้าแค่ต้องการให้เจ้าอยู่ต่อ พูดคุยกับข้า” ในส่วนลึกของดวงตาเมามาย สะท้อนแววคาดหวังอย่างบอกไม่ถูก ทำให้ยากจะเอ่ยปากปฏิเสธ

เซียงซืออวี่ในยามปกติ มักสุภาพเรียบร้อย วางตัวเหมาะสม บางครั้งยามแสดงสีหน้าสุขเศร้าเหงาโกรธก็คล้ายสวมหน้ากากทับไว้หนึ่งชั้น ปิดบังความรู้สึกที่แท้จริงไว้ข้างใน ซูหลีอ่านเขาไม่ออก แต่วันนี้ เขาดื่มสุราจนเมา หน้ากากชั้นนั้นคล้ายถูกถอดออก ความรู้สึกที่แท้จริงของเขาถูกเปิดเผยต่อหน้านาง ลึกๆ ข้างในเขาเต็มไปด้วยความอ้างว้างและไร้ที่พึ่งพิง และความอ้างว้างนั้น ก็ทำให้นางนึกถึงช่วงเวลาที่หลีซูกลายเป็นซูหลี ไม่มีใครเข้าใจความทุกข์ของนาง แล้วก็ไม่มีใครเข้าใจว่านางต้องเข้มแข็งถึงเพียงใด ตอนนั้น นางมีแค่ตนเองเท่านั้น

ซูหลีใจอ่อน จูงมือเขากลับไปนั่งลงบนตั่ง มองหน้าเขาเงียบๆ แล้วกล่าวว่า “ท่านอยากคุยอะไรกับข้า?”

เซียงซืออวี่พึมพำ “ข้า ข้าเพียงอยากบอกเจ้าว่า หากชีวิตนี้ยังมีโอกาสสู่ขอเจ้า ข้าไม่สนใจว่าเจ้าจะเคยชอบใคร แล้วก็ไม่สนใจว่าเจ้าจะเคยอยู่กับใคร ฉางเล่อ! ข้า…”

“เซียงซืออวี่!” ซูหลีตัดบทเขา สายตาสุขุมเยือกเย็น เอ่ยเตือนสติเขา “การหมั้นหมายของเราไม่ใช่เรื่องจริง!”

สายตาของเซียงซืออวี่แปรเปลี่ยนเป็นเจ็บปวด “ข้ารู้! ข้า…ข้าย่อมรู้ว่ามันไม่ใช่เรื่องจริง แต่ข้าก็ยังอดคิดไม่ได้ หากพวกเราแต่งงานกันจริงๆ จะเป็นเช่นไร! จะต้องรักใคร่หวานซึ้ง และมีความสุขมากแน่ๆ! เจ้าชอบดอกหลี ข้าก็จะปลูกสวนดอกหลีให้เจ้า เจ้าชอบเดินหมาก ข้าก็จะเตรียมกระดานหมากชั้นเยี่ยมไว้ให้เจ้าในสวนดอกหลี…”

ซูหลีเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ข้าไม่มีวันแต่งงานกับท่าน”

เขาเหมือนไม่ได้ยินที่นางพูด ยังคงมองนางด้วยสายตาเลื่อนลอย รอยยิ้มบนใบหน้าดูอ่อนโยนลึกซึ้ง “หากเจ้าอยากท่องเที่ยวรอบโลก ข้าก็จะพาเจ้าไป! ยามนี้ข้าตัวคนเดียว นอกจากเจ้า ข้าก็ไม่มีพันธะใดอีกแล้ว เพื่อเจ้า ข้ายอมละทิ้งได้ทุกอย่าง! พวกเรา…อยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขตลอดไป และไม่แยกจากกันอีก ดีหรือไม่?” เขาราวกับต้องมนต์สะกด จมดิ่งอยู่ในห้วงแห่งจินตนาการของตนเอง ยากจะถอนตัว

ซูหลีลุกขึ้นทันที “หากท่านรั้งข้าอยู่ที่นี่เพราะต้องการพูดเรื่องพวกนี้ เช่นนั้นข้าไปละ”

ซูหลีหมุนกายหมายจะเดินจากไป เซียงซืออวี่หน้าเปลี่ยนสี รีบลุกขึ้นแล้วเดินมากอดนาง ลึกๆ ในใจเต็มไปด้วยความหวาดกลัว เขากล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ “อย่าไป! อย่าไปจากข้าเลย!”

ซูหลีดึงมือเขาออก เขาเดินอ้อมมากอดด้านหน้านาง กักขังนางไว้ในอ้อมแขน ไม่ว่านางจะผลักเขาอย่างไร เขาก็ไม่ยอมปล่อยมือ ราวกับว่านี่คือช่วงเวลาอันอบอุ่นช่วงสุดท้ายของชีวิต หากปล่อยมือเมื่อใดก็จะสูญเสียไปไม่มีวันกลับคืน

ซูหลีขมวดคิ้ว ที่แท้คนเมาก็รับมือยากถึงเพียงนี้ ทว่าอ้อมแขนอันหนักแน่นและสิ้นหวังเช่นนี้ กลับให้ความรู้สึกอันคุ้นเคยอย่างบอกไม่ถูก ทำให้นางสะท้านไปทั้งใจ

เซียงซืออวี่กอดนางแน่น สายตาสิ้นหวัง พึมพำอย่างเศร้าโศก “ข้ารู้ ว่านี่เป็นเพียงความฝันของข้า และไม่มีวันกลายเป็นจริงได้อีกแล้ว…คนที่ข้ารัก ได้จากข้าไปตั้งนานแล้ว และไม่มีวันหวนกลับคืนมาอีก”

เขาหลับตาอย่างเจ็บปวด ความปรารถนาอันแรงกล้าจู่โจมสติปัญญาของเขาอย่างต่อเนื่อง เขาเอ่ยชื่อหนึ่งออกมาอย่างไม่อาจควบคุมตนเอง เสียงคลุมเครือปนสะอึกสะอื้น แต่กลับทำให้หัวใจของนางสั่นสะท้านอย่างแรง ราวกับถูกสายฟ้าฟาด

นางผลักเขาออกอย่างแรง จ้องตาเขาแน่วแน่ ถามยืนยันอย่างไม่อยากเชื่อ “เมื่อครู่ท่าน…เรียกข้าว่าอย่างไรนะ?”

สายตาของบุรุษที่จมอยู่ในห้วงอารมณ์ของตนเองพลันสั่นระริก คล้ายจู่ๆ ก็ได้สติกลับคืนมา สุราแรงมิได้กลืนกินสติสัมปชัญญะของเขา แต่กลับทำให้มิอาจควบคุมความรู้สึกของตนเองได้ เขามองนางด้วยความลนลาน ผงะถอยหลังโดยสัญชาตญาณ แต่กลับพูดอะไรไม่ออกสักคำ

ซูหลีเดินตามเขาไปติดๆ จ้องหน้าเขาเขม็ง แล้วถามด้วยความตกใจ “เซียงซืออวี่ ท่านเรียกข้าว่าอะไร?”

เซียงซืออวี่กลับยกมือกุมหน้าอกตนเอง หน้าซีดเหมือนกระดาษ สีหน้าเจ็บปวดทรมาน คล้ายหายใจไม่ออก ก่อนจะล้มตึงลงไป

ซูหลีตกตะลึง รีบเข้าไปประคองเขา “ท่านเป็นอะไรไป?”

เขาไม่พูดอะไร ล้วงมืออันสั่นเทาเข้าไปในอกเสื้อ ไม่รู้กำลังควานหาสิ่งใด แต่ดูเหมือนควานหาเท่าใดก็ไม่เจอสักที ร่างกายสั่นเทาไม่หยุด

ซูหลีชะงักงัน นางตัดสินใจเปิดเสื้อเขาออก กล่องสีดำเล็กๆ กล่องหนึ่งร่วงลงมา เขาจ้องกล่องใบนั้นเขม็ง นิ้วมือสั่นเทา จับอย่างไรก็ไม่อยู่ ซูหลีเอื้อมมือไปเก็บขึ้นมา แล้วเปิดฝากล่อง ข้างในมีเม็ดยาสีดำเข้มเม็ดหนึ่งอยู่

กลิ่นยาลอยโชยจางๆ อย่างน้อยก็มีส่วนผสมของสมุนไพรหลายชนิด กลิ่นผสมผสานตีกัน ซูหลีมิอาจแยกแยะประสิทธิภาพของตัวยาได้ นางยื่นมือออกไปช้าๆ จ้องหน้าเขาแล้วถามว่า “นี่คือยาของท่านหรือ?”

เขาหลับตาพยักหน้า รับยาไปด้วยนิ้วมืออันสั่นเทา แต่กลับไม่ระวังทำตกพื้น ซูหลีหยิบขึ้นมาแล้วป้อนใส่ปากเขา เขาหลับตาสูดหายใจลึกๆ ผ่านไปครู่หนึ่ง สีหน้าก็ค่อยๆ ดีขึ้น

ซูหลีถอนหายใจ กล่าวด้วยความสงสัย “ท่านหายดีแล้วมิใช่หรือ? เหตุใดยังเป็นเช่นนี้อยู่อีก? ข้าจะไปตามหมอหลวงมาตรวจอาการท่าน!”

“ไม่ต้อง!” สุดท้ายฤทธิ์สุราก็จางหายไปเพราะอาการป่วยที่กำเริบกะทันหัน เขาลุกขึ้นยืนอย่างยากลำบาก กลับไปสุภาพเรียบร้อยดังเดิม แต่กลับไม่กล้าสบตานางตรงๆ เขาหลุบตาแล้วกล่าวว่า “ข้าไม่เป็นไร คงเพราะฤทธิ์สุราเป็นเหตุ กลับไปพักผ่อนสักสองสามวันก็หายแล้ว! ฉางเล่อ วันนี้ข้าล่วงเกินเจ้าเพราะฤทธิ์สุรา ไม่ได้มีเจตนาจริงๆ อภัยให้ข้าด้วย ข้า…ขอตัวก่อนละ!”

ซูหลียังไม่ทันพูดอะไร เขาก็สาวเท้าเร็วๆ เดินจากไปก่อนแล้ว ซูหลียืนอยู่ที่เดิม มองแผ่นหลังที่ห่างออกไปของเขาอย่างเหม่อลอย ชิ้นส่วนความทรงจำพลันผุดขึ้นมาในสมอง