ตอนที่ 1581 เทือกเขามารสีทอง

A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน

“ข่าวสองเรื่อง? สหายลองพูดมาซิ” หานลี่ถามอย่างราบเรียบ 

 

 

“สามเดือนต่อจากนี้ จะมีการประมูลเมฆามงคลหนึ่งในงานประตูของเมืองเมฆา จะมีการนำแก่นมารของมารอสูรหนามระดับศักดิ์สิทธิ์ออกมาประมูล จากที่ข้ารู้มาแก่นมารนี้หายากเป็นอย่างมาก แม้กระทั่งเผ่าศักดิ์สิทธิ์ในเมืองยังจับจ้องสิ่งนี้ ต่างคิดจะซื้อเอาไว้” หญิงสาวเอ่ยอย่างแช่มช้า 

 

 

“เผ่าศักดิ์สิทธิ์!” หานลี่ขมวดคิ้ว 

 

 

ต่อให้เขาไม่ได้ยากจน แต่ก็ไม่มั่นใจว่าจะรวยกว่าระดับผสานอินทรีย์ ตัวประหลาดเฒ่าเหล่านั้นเป็นผู้ที่มีชีวิตมานับหมื่นปีหรือแม้กระทั่งสองสามหมื่นปีแล้ว ของที่รวบรวมได้และจำนวนของผลึกศิลาที่มีคงอยู่ในขั้นที่น่าเหลือเชื่อ 

 

 

แน่นอนว่าหากไม่พะว้าพะวง นำวัตถุดิบสมุนไพรจำนวนมากที่เขาพกติดตัวออกมาแลกเป็นผลึกศิลา ก็ไม่ใช่ว่าจะแย่งประมูลกับเผ่าศักดิ์สิทธิ์เหล่านั้นไม่ได้ 

 

 

แต่หานลี่อยู่ในแดนของชนต่างเผ่า จะกล้าเปิดเผยตัวตนง่ายๆ ได้อย่างไร มิเช่นนั้นเกรงว่ายังไม่ทันซื้อแก่นมารได้ ก็ถูกคนจับตามองแล้ว 

 

 

เขาไม่อยากหาเรื่องใส่ตัวโดยไม่มีเหตุผล 

 

 

จิตสัมผัสของหานลี่โคจรอย่างรวดเร็ว ชั่วครู่ก็สั่นศีรษะ 

 

 

“ในเมื่อมีเผ่าศักดิ์สิทธิ์เข้าร่วมการประมูล ข้าย่อมไม่อาจประมูลของสิ่งนี้ได้ วิธีนี้ไม่มีทางสำเร็จ” 

 

 

“อ๋อ ในเมื่อท่านอาวุโสกล่าวเช่นนี้ งั้นก็มีเพียงต้องฟังข่าวที่สองแล้ว ท่านอาวุโสเพิ่งเข้ามาในเมฆาสวรรค์สินะ ไม่ทราบว่าเคยได้ยิน ‘เทือกเขามารสีทอง’หรือไม่” หญิงสาวฉีกยิ้ม ท่าทีไม่ใส่ใจเท่าใดนัก 

 

 

“เทือกเขามารสีทอง! ข้ารู้เพียงว่ามีที่แห่งนี้ แต่เหตุการณ์ที่เป็นรูปธรรมนั้น ก็ยังไม่แน่ใจ” หานลี่ได้ฟังแล้วพลันใจเต้น 

 

 

“ท่านอาวุโสไม่ค่อยข้องแวะทางโลกก็ไม่แปลก! ที่นี่เพิ่งปรากฏขึ้นช่วงหมื่นปีที่ผ่านมา ที่อื่นมีคนรู้น้อยมาก ชนรุ่นหลังจะอธิบายให้ฟังอย่างละเอียดก็แล้วกัน” หญิงสาวกลอกตาไปมาแล้วฉีกยิ้มเบิกบาน 

 

 

“งั้นก็รบกวนสหายแล้ว” หานลี่พยักหน้าด้วยสีหน้าราบเรียบ ในเวลาเดียวกันในหัวพลันมีแผนที่บริเวณรอบของเมืองเมฆาปรากฏขึ้น และมีตำแหน่งของเทือกเขามารสีทองพอดี 

 

 

“หมื่นปีก่อน ณ ที่รกร้างที่อยู่ห่างจากเมืองเมฆาไปเป็นระยะเวลาหนึ่งเดือน มีห้วงเวลาวายุระเบิดเกิดขึ้น และไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด หลังจากวายุระเบิดแล้ว ที่นั่นก็มีเทือกเขาสีดำปรากฏขึ้น และถูกไอมารเข้มข้นปกคลุมไว้ และยิ่งไปกว่านั้นบรรยากาศก็ไม่มั่นคง คาดไม่ถึงว่าจะรอยแยกห้วงเวลาปรากฏขึ้นไม่น้อย ในรอยแยกเหล่านั้นมีไอมารทะลักออกมาจำนวนมาก และมีมารอสูรระดับสูงกรูตามกันเข้ามา หนึ่งในนั้นมีมารอสูรระดับศักดิ์สิทธิ์อยู่ด้วย ภายในระยะเวลาสั้นๆ จากรัศมีสองสามล้านลี้ของเทือกเขาก็กลายเป็นดินแดนมาร และยิ่งไปกว่านั้นยังแผ่ออกมารอบๆ ไม่หยุด เรื่องนี้ทำให้ระดับสูงสุดของเผ่าศักดิ์สิทธิ์ในเผ่าเมฆาสวรรค์ของพวกเราตกใจ ผลคือเผ่าศักดิ์สิทธิ์ระดับหกและเจ็ดร่วมมือกันเข้าไปในนั้นสองสามคน และร่วมมือกันสังหารมารอสูรระดับศักดิ์สิทธิ์ไปกว่าครึ่ง และเข้าไปในใจกลางของเทือกเขา คิดจะจัดการเรื่องนี้” หญิงสาวเผ่าผลึกเอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งขรึม 

 

 

ส่วนหานลี่นั้นเมื่อหญิงสาวพูดถึงรอยแยกมิติเวลาและไอมารจำนวนมากทะลักออกมานั้น พลันตกตะลึง แทบจะนึกถึงแม่น้ำยมโลกในเผ่าวิญญาณเหาะเหินได้ในทันที 

 

 

แต่ยามนี้หญิงสาวเผ่าผลึกพลันพ่นลมหายใจออกมายาวๆ เฮือกหนึ่ง จากนั้นพลันเอ่ยปากว่า 

 

 

“ไม่รู้ว่าเผ่าศักดิ์สิทธิ์เหล่านั้นพบกับสิ่งใด คาดไม่ถึงว่าเข้าไปได้ครึ่งปีก็กลับมา หลังจากพวกเขากลับมาแล้วก็ออกคำสั่งให้วางเขตอาคมผนึกที่นั่นไว้ เหลือเอาไว้เพียงทางเข้าออก จากนั้นก็บอกเผ่าต่างๆ ว่า ทำได้เพียงรักษาขนาดและจำนวนมารอสูรในตอนนี้เอาไว้เท่านั้น แต่หลังจากนี้ไม่อนุญาตให้ระดับเผ่าศักดิ์สิทธิ์ขึ้นไปที่นั่น ระดับต่ำกว่าเผ่าศักดิ์สิทธิ์เองก็สามารถเข้าไปสังหารมารอสูรที่นั่นเพื่อเอาแก่นอสูรและวัตถุดิบที่ล้ำค่าได้ ไม่เพียงเวลาที่เข้าไปจะเข้าไปได้แค่หนึ่งเดือนต่อหนึ่งปี และยิ่งไปกว่านั้นไม่ว่าจะได้อะไรกลับมาหรือไม่ ทุกครั้งก็อยู่ได้เพียงหนึ่งเดือน ก็ต้องออกมา เมื่อเวลาผ่านไปมันจะปิดตายทันที ต้องเข้าใจว่าไอมารที่นั่นเข้มข้นขนาดนั้น เกรงว่ามารผู้บำเพ็ญเพียรก็ไม่อาจอยู่ที่นั่นได้นานนัก มิเช่นนั้นจะถูกไอมารกลืนกิน กลายเป็นมาร และในนั้นก็มีมารอสูรอยู่จำนวนมาก เป็นสถานที่ที่ดีในการตามหาวัตถุดิบล้ำค่ามาแลกกับศิลาวิญญาณจริงๆ ด้วยเหตุนี้ช่วงสองสามปีแรก แทบจะทุกปีที่ประตูเปิดออก ก็จะมีชนชั้นสูงจำนวนมากกรูกันเข้าไป แต่หลังจากผ่านมาระยะหนึ่ง คนก็น้อยลงถนัดตา จนถึงตอนนี้คนที่ยังกล้าเข้าไปข้างใน ก็เหลือน้อยจนน่าเวทนา” 

 

 

เอ่ยจนมาถึงตรงนี้หญิงสาวเผ่าผลึกก็ถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง 

 

 

“เพราะเหตุใด?” หานลี่รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย 

 

 

“การบาดเจ็บล้มตายมันน่าตกตะลึง ผู้ที่เข้าไปในแดนมารแล้วออกมาได้นั้น ล้วนบรรทุกข้าวของมาเต็มลำ แต่ผู้ที่ออกมาไม่ได้กลับกินจำนวนผู้ที่เข้าไปหนึ่งถึงสองส่วน อัตราที่สูงเช่นนี้ หากแค่สองสามครั้งยังพอว่า แต่มันกลับเป็นเช่นนี้อยู่ตลอด และยิ่งไปกว่านั้นก็ไม่เห็นว่าจำนวนของมารอสูรระดับสูงจะลดลงเลย แน่นอนว่าย่อมทำให้ผู้คนเกิดความหวาดกลัว และในแดนมารนั้นนอกจากมารอสูรระดับสูงแล้วจำนวนนับไม่ถ้วน มีแม้กระทั่งมารอสูรระดับศักดิ์สิทธิ์ที่ยังหลงเหลืออยู่สองสามตัว แม้ว่าปกติแล้วพวกมันจะอยู่แค่ตรงใจกลาง แต่หากบังเอิญไปพบเข้า นั่นย่อมมีแต่ต้องตายเพียงเท่านั้น ความจริงแล้วการเข้าไปในเทือกเขาก็พูดไม่ได้ว่าเป็นการที่เผ่าต่างๆ ไปสังหารมารอสูร แต่เป็นการให้มารอสูรกลืนกินผู้บำเพ็ญเพียรจากเผ่าต่างๆ ต่างหาก โชคดีที่ยิ่งอสูรมารระดับสูงเท่าไหร่ ก็จะยิ่งอยู่ในส่วนลึกของเทือกเขา ไม่ออกมาที่ชายแดนง่ายๆ มิเช่นนั้นหากผู้ใดเข้าไปก็มีแต่ต้องตายเพียงเท่านั้น ยามนี้หากกล้าเสี่ยงเข้าไป และรอดชีวิตออกมาได้ ก็เรียกได้ว่าร่ำรวยในชั่วข้ามคืน ดังนั้นแดนมารแห่งนี้ จึงค่อยๆ ถูกเรียกว่าเทือกเขามารสีทอง ใช้บรรยายถึงความโกรธแค้นและความหลงใหลที่มีต่อที่นี่ของพวกเรา” หญิงสาวเผ่าผลึกอธิบายด้วยรอยยิ้ม 

 

 

“สหายพูดมามากมายเช่นนี้ หรือว่าอยากให้ข้าเข้าไปสังหารมารอสูรระดับศักดิ์สิทธิ์ในนั้น?” หานลี่ลูบใต้คาง หลังจากผ่านไปชั่วครู่ถึงได้เอ่ยอย่างราบเรียบ 

 

 

ใบหน้าของเขาไร้ซึ่งความรู้สึก แต่ในใจกลับตัดสินใจแล้ว หากหญิงสาวตรงหน้าแนะนำอย่างบ้าดีเดือด เขาก็จะจบบทสนทนาและจากไปในทันที 

 

 

แม้ว่าเกราะมารเหนือฟ้าจะมีประโยชน์ต่อเขา แต่ก็ไม่ถึงกับต้องนำชีวิตน้อยๆ ไปแลก 

 

 

“ใจกลางของเทือกเขามารสีทองอันตรายเช่นนี้ ชนรุ่นหลังจะไปแนะนำอย่างนั้นได้อย่างไร แต่ชนรุ่นหลังมีแผนการให้ท่านอาวุโส และเป็นแก่นมารของมารอสูรระดับศักดิ์สิทธิ์ตนหนึ่งในเทือกเขามารสีทอง” หญิงสาวเผ่าผลึกเม้มปาก แล้วสั่นศีรษะเบาๆ 

 

 

“หมายความว่าอย่างไร?” หานลี่แววตาเปล่งประกาย ดูเหมือนว่าจะนึกอะไรออก 

 

 

“จากที่ข้ารู้มา ร้อยกว่าปีก่อนมีมารอสูรระดับศักดิ์สิทธิ์นิรนามตัวหนึ่ง บุกออกมาจากเทือกเขามารสีทองด้วยเพราะเหตุใดก็มิอาจรู้ได้ และโจมตีเมืองในละแวกนั้นไปสองสามเมือง แต่ในเวลาเดียวกันก็ถูกเผ่าศักดิ์สิทธิ์คนอื่นๆ ที่รู้ข่าวโจมตีจนได้รับบาดเจ็บหนัก และหนีเตลิดไป และความบังเอิญของชนรุ่นหลังก็คือ ไปรู้ที่ซ่อนตัวของมารอสูรตัวนั้นเข้า” หญิงสาวเผยสีหน้าลึกลับเอ่ยสิ่งที่ทำให้หานลี่ตกตะลึงออกมา 

 

 

“เจ้าพูดจริงหรือ?” หานลี่สูดลมหายใจเข้าเฮือกหนึ่ง สีหน้าเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม 

 

 

“ไม่ผิดอย่างแน่นอน! และยิ่งไปกว่านั้นตอนนั้นอสูรตัวนี้ก็ได้รับบาดเจ็บหนักมาก จึงแอบกลับซ่อนตัวอยู่ในเขตแดนของเทือกเขามารสีทองอย่างเงียบๆ และกำลังหลับลึก เหลือพลังอยู่ไม่ถึงหนึ่งในสิบส่วน สิ่งเดียวที่เป็นปัญหาก็คือ ไอมารที่สร้างขึ้นในจุดที่อสูรหลับใหลนั้น นอกจากมารผู้บำเพ็ญเพียรระดับสูงที่ควบคุมไอมารได้เช่นกัน มิเช่นนั้นหากสัมผัสกับเขตแดน ก็จะปลุกอสูรตัวนี้ในทันที นี่เป็นร่องรอยของอสูรตัวนี้ที่ข้ารู้มาตั้งนานแล้ว แต่กลับไร้ซึ่งหนทาง ส่วนค่าตอบแทนในการซ่อมแซมเกราะมารนั้น นอกจากแก่นมารแล้ว ก็ขอเป็นวัตถุดิบอื่นในร่างก็แล้วกัน หากท่านอาวุโสเห็นว่าเหมาะสม ข้าก็จะบอกสถานที่ที่อสูรตัวนี้หลับใหลให้” หญิงสาวเผ่าผลึกเอ่ยจบ ในที่สุดก็เอ่ยเงื่อนไขของตนเองออกมาด้วยสีหน้าเคร่งขรึม 

 

 

“อสูรตัวนี้หลับใหลอยู่ตรงขอบของเทือกเขามารสีทองจริงๆ หรือ และยิ่งไปกว่านั้นอิทธิฤทธิ์ยังมีแค่หนึ่งในสิบส่วน? เจ้ารู้สถานการณ์ของอสูรตัวนี้ได้อย่างไร” หานลี่ครุ่นคิดอยู่นาน ถึงได้เอ่ยถามเช่นนี้ขึ้น 

 

 

เขาได้ยินหญิงสาวกล่าวเช่นนี้ แน่นอนว่าย่อมสนใจ แต่เรื่องนี้ยิ่งใหญ่นัก ต้องถามให้ละเอียดก่อนแล้วค่อยว่ากัน 

 

 

“ชนรุ่นหลังมิได้หลอกลวง ดูท่าทางลังเลของท่านอาวุโส ชนรุ่นหลังให้ท่านดูของสิ่งหนึ่ง ก็จะเข้าใจเอง” หญิงสาวเผ่าผลึกเห็นหานลี่มีท่าทีเคร่งขรึม กลับเอ่ยด้วยความดีอกดีใจ จากนั้นก็ชูมือหนึ่งขึ้น ฉับพลันนั้นควันสีดำกลุ่มหนึ่งพลันพุ่งออกมาจากแขนเสื้อ ผนึกรวมตัวกัน กลายเป็นสัตว์ตัวหนึ่งหยุดอยู่บนเหนือหัวของหญิงสาว 

 

 

คาดไม่ถึงว่าจะเป็นวิหคประหลาดขนาดเท่ากำปั้นตัวหนึ่ง มันมีเรือนกายสีดำสนิท แต่ปากเป็นสีแดงเพลิง ดวงตาทั้งสองข้างเปล่งแสงสีทองระยิบระยับ 

 

 

“วิหคควันมาร!” หานลี่รู้ที่มาที่ไปของวิหคตัวนี้ได้ในแวบเดียว แล้วพลันตกตะลึง ทันใดนั้นก็ถึงบางอ้อขึ้นมา 

 

 

“ใช่แล้ว! อสูรวิญญาณตัวนี้คือหนึ่งในมารอสูรที่ถูกพวกเราปราบให้เชื่องได้ไม่กี่ชนิดในแดนวิญญาณ แม้ว่าจะไร้ซึ่งพลังการโจมตี แต่ในด้านการตามหาสิ่งของนั้นวิเศษมาก แม้กระทั่งสามารถทำให้จิตสัมผัสส่วนหนึ่งของเจ้าของติดไปกับร่างของมัน และสามารถควบคุมมันได้ด้วยตัวเอง ข้ารู้เบาะแสของอสูรมารระดับศักดิ์สิทธิ์ตัวนั้น มาจากการควบคุมวิหคตัวนี้แอบเข้าไปในสถานที่หลับใหลของมันสองสามครั้ง และได้เห็นมันกับตาตัวเอง” หญิงสาวเผ่าผลึกฉีกยิ้มเบิกบานขณะเอ่ย 

 

 

“ในเมื่อมีวิหคมารตัวนี้อยู่ ข้าก็เชื่อว่าเจ้าไม่หลอกลวง แต่ผู้แซ่หานขอถามหน่อย อสูรมารระดับศักดิ์สิทธิ์ตัวนี้หนีออกมาจากการร่วมมือกันของเผ่าศักดิ์สิทธิ์ได้ น่าจะไม่ใช่ระดับศักดิ์สิทธิ์ระดับต่ำสินะ และยิ่งไปกว่านั้นมารอสูรคนละประเภทกัน อิทธิฤทธิ์ของมันที่อยู่ในระดับเดียวกันก็ยังแตกต่างกันมาก สหายไม่อาจตัดสินได้หรือว่ามันเป็นอสูรประเภทใด?” หานลี่พยักหน้า แต่ก็เอ่ยถามอย่างละเอียด 

 

 

“แม้ว่าข้าจะไม่เคยเห็นอสูรนี้ต่อสู้กับเผ่าศักดิ์สิทธิ์ตอนที่มีกำลังเต็มเปี่ยม แต่ว่ากันว่าน่าจะเท่ากับเผ่าศักดิ์สิทธิ์ระดับสองถึงสาม แน่นอนว่าเรื่องเหล่านี้ข้าแค่รู้มาจากปากของคนอื่นๆ จึงไม่มั่นใจนัก ส่วนประเภทของอสูรตัวนี้กลับวิเคราะห์ได้ยาก แต่ดูเหมือนว่าจะคล้ายกับ ‘วานรยักษ์เทือกเขา’จิตวิญญาณเที่ยงแท้ในตำนานอยู่หลายส่วน ไม่แน่ว่าอาจจะมีเชื้อสายอยู่บ้างกระมัง ใช่แล้ว” หญิงสาวเผ่าผลึกเอ่ยอย่างไม่ต้องขบคิด 

 

 

“วานรเทือกเขา!” หานลี่ได้ยินคำนี้ ใบหน้าพลันเปลี่ยนสีไปเล็กน้อย 

 

 

“ใช่แล้วชนรุ่นหลังมีภาพเหมือนของอสูรตนนี้ ท่านอาวุโสลองดูเถิด” หญิงสาวเผ่าผลึกดูเหมือนจะนึกอะไรขึ้นได้ มือเรียวยกขึ้น แล้วโยนแผ่นหินที่เตรียมเอาไว้นานแล้วออกไป 

 

 

หานลี่เองก็ไม่เกรงใจ คว้าแผ่นหินมาไว้ในมือ และวางไว้บนหน้าผาก แผ่จิตสัมผัสเข้าไปในนั้น 

 

 

“คล้ายอยู่หลายส่วนจริงด้วย!” หลังจากผ่านไปชั่วครู่ หานลี่ก็ปล่อยมือออก แล้วเอ่ยอย่างครุ่นคิด  

 

 

“ชนรุ่นหลังพูดไปเยอะแล้ว ไม่ทราบว่าท่านอาวุโสตัดสินใจได้หรือยัง” หญิงสาวเผ่าผลึกมองหานลี่ เผยสีหน้ารอคอยออกมาขณะเอ่ย 

 

 

“ไม่ทราบว่าสหายมีนามว่าอย่างไร?” หานลี่ฉีกยิ้มน้อยๆ แล้วเอ่ยคำถามที่ไม่เกี่ยวข้องกันออกมา  

 

 

“ท่านอาวุโสเรียกข้าว่า ‘เซียนเซียน’ก็ได้เจ้าค่ะ!” หญิงสาวเผ่าผลึกตะลึงงัน ทันใดนั้นก็เอ่ยด้วยรอยยิ้มบางๆ