ตอนที่ 1582 หุ่นเชิดสะท้านฟ้า

A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน

“เซียนเซียน!” หานลี่เอ่ยทวนแล้วพยักหน้า

 

 

“ในเมื่อไม่จำเป็นต้องให้ข้าเข้าไปเทือกเขามารสีทอง และยิ่งไปกว่านั้นอิทธิฤทธิ์ของมารอสูรระดับศักดิ์สิทธิ์ตัวนั้นยังลดลงเป็นอย่างมาก ความเสี่ยงนี้ย่อมคุ้มค่าที่จะเสี่ยง แต่บอกไว้ก่อน หากพบเรื่องที่ไม่เหมือนกับที่เจ้ากล่าวเอาไว้ หรือมีเหตุผลอื่นทำให้รู้สึกว่าเสี่ยงอันตรายเกินไป ข้าจะล้มเลิกเรื่องนี้ในทันที และยิ่งไปกว่านั้นวันที่เทือกเขามารสีทองเปิดออก ข้าหวังว่าสหายจะไปกับข้าได้ เป็นผู้นำทางให้ข้าเอง สุดท้ายหากมารอสูรตัวนี้มีเลือดเนื้อของวานรยักษ์เทือกเขาจริงๆ ข้าก็ขอโลหิตจิตวิญญาณเที่ยงแท้ครึ่งหนึ่ง หากเจ้าไม่รับเงื่อนไขเหล่านี้แม้เพียงข้อเดียว พวกเราก็ไม่จำเป็นต้องแลกเปลี่ยนกัน”

 

 

เมื่อเอ่ยจนถึงตอนสุดท้าย หานลี่ก็มีสีหน้าเคร่งขรึม

 

 

“ไม่มีปัญหา ข้าตกลงตามเงื่อนไขเหล่านี้” เซียนเซียน ครุ่นคิดเล็กน้อย แล้วเอ่ยปากตอบรับ

 

 

เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายตอบรับอย่างตรงไปตรงมา หานลี่เผยรอยยิ้มออกมา แล้วไม่เอ่ยอะไรอีก สะบัดข้อมือ ชั่วขณะนั้นกำไลเก็บของพลันหมุนวนบินออกไป

 

 

มือหนึ่งชี้ไปที่นั่น

 

 

ชั่วขณะนั้นหมอกลำแสงสีเขียวก็หมุนวนบินออกมา ขวด กล่องไม้ กล่องต่างๆ ขนาดน้อยใหญ่สิบกว่าใบปรากฏขึ้นกลางอากาศ

 

 

นอกจากนี้ยังมีศิลาวิญญาณระดับสูงหลากสีสันยี่สิบสามสิบก้อนเปล่งแสงระยิบระยับลอยอยู่เช่นกัน

 

 

“ยาลูกกลอนเหล่านี้คือสิ่งที่เจ้าใช้ได้ตั้งแต่ระดับในตอนนี้ไปจนถึงระดับเผ่าเบื้องบนขั้นต้นและกลาง แม้กระทั่งช่วยให้เจ้าทะลวงจุดคอขวดได้ แต่ผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร มันขึ้นอยู่กับแต่ล่ะคน ส่วนวัตถุดิบเหล่านี้ก็เป็นสิ่งที่ข้าใช้เวลาไม่น้อยรวบรวมมา สหายลองดูว่าพอใจหรือไม่?” หานลี่เอ่ยอย่างราบเรียบ

 

 

ยาสมุนไพรเหล่านี้มียาที่เขาเองกินในอดีตอยู่ไม่น้อย แม้กระทั่ง ‘ของเหลวคางคกเที่ยงแท้’ สองขวดก็ยังนำออกมา โดยไม่กลัวว่าอีกฝ่ายจะมีจุดใดที่ไม่พอใจ

 

 

ส่วนวัตถุดิบเหล่านั้นอาจจะด้อยกว่าหน่อย แต่ก็เป็นวัตถุดิบที่เขาสังหารอสูรปีศาจระดับหลอมสุญตาสองตัวจากหมู่เกาะปะการังเพลิง และนับว่าล้ำค่าเป็นอย่างยิ่ง

 

 

กลับเป็นศิลาวิญญาณระดับสุดยอดที่เขารวบรวมมาอย่างไม่ง่ายดาย นำออกมาจำนวนมากขนาดนี้ในชั่วครู่ ก็ทำให้เจ็บปวดไม่น้อย

 

 

หญิงสาวตรวจสอบสมุนไพรวิญญาณและวัตถุดิบเล็กน้อย แล้วเผยสีหน้าตกตะลึงระคนดีใจออกมา

 

 

“ของเหล่านี้ไม่ธรรมดา ประกอบกับศิลาวิญญาณระดับสุดยอดเหล่านี้ ก็เพียงพอจะชดเชยเกราะสงครามแปลงมารได้” หญิงสาวเผ่าผลึกยกมือขึ้นเก็บของและศิลาวิญญาณทั้งหมดลงไปแล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้ม

 

 

“สหายพอใจก็พอแล้ว เรื่องนี้ตกลงตามนี้ ข้าจะทิ้งยันต์วิเศษหมื่นลี้เอาไว้ให้เจ้า ภายในเวลาสั้นๆ นี้ข้าจะไม่ออกไปจากเมืองเมฆา รอจนถึงตอนที่เทือกเขามารสีทองเปิดออก เจ้าก็ใช้ยันต์วิเศษรายงานข้าก็พอแล้ว” หานลี่ฉีกยิ้มน้อยๆ จิตสัมผัสเคลื่อนไหว ผิวของกำไลเก็บของเปล่งแสงระยิบระยับ แล้วทิ้งแผ่นหยกขนาดเท่าฝ่ามือเอาไว้

 

 

จากนั้นกำไลเก็บของก็กลายเป็นลำแสงสีเขียวสายหนึ่งบินกลับมาพร้อมกับเสียงกรีดร้อง หลังจากเปล่งแสงสว่างวาบ ก็มาปรากฏบนข้อมือของหานลี่อีกครั้ง

 

 

“เจ้าค่ะ ชนรุ่นหลังจะจดจำไว้!” หญิงสาวเผ่าผลึกพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม แล้วสูบแผ่นหยกเข้ามาอยู่ในมือ

 

 

หานลี่ไม่ได้เอ่ยอะไรอีก สองมือพลันร่ายอาคม ปากก็เอ่ยบริกรรมคาถา

 

 

ชั่วขณะนั้นเทวรูปสีทองรวมทั้งเกราะสงครามสีม่วงบนร่างที่อยู่ท่ามกลางไอสีดำเหนือศีรษะพลันเปล่งแสงสว่างวาบ แล้วสลายหายไปในเวลาเดียวกัน

 

 

และแทบจะในเวลาเดียวกัน ทารกวิญญาณตรงจุดตันเถียนของหานลี่ ก็หยักมุมปาก เผยรอยยิ้มออกมา

 

 

ร่างกายที่อ้วนพีและขาวผุดผ่องของมันมีเกราะสงครามสีม่วงแดงเพิ่มขึ้นมา

 

 

เรื่องจากนี้ก็ง่ายขึ้นแล้ว

 

 

หญิงสาวนามว่า ‘เซียนเซียน’ ใช้จานอาคมนำทั้งสองกลับมายังร้านเดิม หานลี่ไม่ได้รั้งรออยู่อีก พลันจากไปในทันที

 

 

จากนั้นหานลี่ก็ไปดูร้านที่สนใจร้านอื่นอย่างต่อเนื่อง หลักๆ แล้วก็เป็นร้านวัตถุดิบ ร้านหลอมอาวุธ ร้านยุทธภัณฑ์ต่างๆ

 

 

แม้ว่าเขาจะได้รับประโยชน์เช่นกัน แต่ย่อมเทียบกับเกราะมารเหนือฟ้าที่หานลี่ได้มาไม่ได้ แน่นอนว่าจึงไม่อาจเปรียบเทียบกันได้

 

 

หานลี่เดินอยู่บนท้องถนนเป็นเวลาหนึ่งวันหนึ่งคืน ท้องฟ้ามืดลงอีกครั้ง แล้วถึงได้เรียกรถอสูรคันหนึ่งกลับไปยังที่พัก

 

 

สิบกว่าวันต่อมาหานลี่ไม่ได้ทำอะไรเลย แค่เดินเล่นไปมาบนถนนในเมืองเมฆาและเข้าไปในร้านรวงต่างๆ ไม่หยุด

 

 

เช่นนั้นในที่สุดหานลี่ก็เข้าใจสถานที่ต่างๆ ในเมืองเมฆาคร่าวๆ แล้ว

 

 

จนพลบค่ำเซี่ยงจือหลี่กลับมาพูดคุยกับหานลี่เป็นบางครั้งคราว

 

 

ช่วงเวลานี้เมืองเมฆาดูภายนอกตึงเครียดแต่ภายในกลับผ่อนคลาย คนในเมืองต่างรู้เรื่องราวทุกอย่าง แต่กลับไม่มีท่าทีตึงเครียดเหมือนศัตรูเข้ามาประชิดเลยสักนิด

 

 

ไม่รู้จริงๆ ว่าเผ่าเมฆาสวรรค์ต่างๆ เคยชินกับการที่เผ่าแมลงมีเขามาโจมตีหรือว่าคิดว่าเผ่าแมลงมีเขาไม่อาจเข้าประชิดเมืองเมฆาได้ก็สุดจะรู้

 

 

วันนี้ตอนที่หานลี่ออกมาจากโรงเตี๊ยมอีกครั้ง กลับไม่ได้ตรงไปร้านค้า แต่ตรงไปขวางรถอสูรคันหนึ่งเอาไว้แล้วบอกกับพลขับว่า ‘ภูเขาแสงเมฆา!’ จากนั้นก็เข้าไปนั่งเงียบกริบอยู่ในรถ

 

 

ชั่วขณะนั้นรถอสูรพลันแล่นไปบนท้องถนน

 

 

ครั้งนี้รถแทบจะแล่นข้ามไปเกือบครึ่งเมืองเมฆา คาดไม่ถึงว่าจะมาหยุดลงที่ตีน ‘เขาสูง’ แห่งหนึ่ง

 

 

หานลี่ลงจากรถ สองตาหรี่ลงพลางมองไปยังสิ่งมหึมาตรงหน้าชั่วครู่

 

 

นี่คือ ‘เขาสูง’จริงๆ สูงประมาณสามพันจั้งเศษ ด้านบนเป็นสีเขียวขจี ในเวลาเดียวกันก็มีไอวิญญาณบริสุทธิ์โชยเข้ามาปะทะใบหน้า ภูเขาลูกนี้เป็นชีพจรวิญญาณ

 

 

หานลี่มองไปรอบๆ ภูเขาขนาดใหญ่เช่นกัน รอบๆ มีอยู่อีกเจ็ดลูก ขนาดล้วนไม่ต่างกันนัก

 

 

นี่คือสิ่งที่เมืองเมฆาขนานนามว่า ‘ภูเขาแปดเมฆา!’

 

 

ว่ากันว่าในอดีตกาล ตอนนั้นในเมืองมีผู้มีอิทธิฤทธิ์อยู่สองสามคน ได้สำแดงความสามารถที่ลึกล้ำยากจะคาดเดาออกมา ย้ายภูเขาทั้งแปดลูกมาไว้ที่เมืองเมฆา และนอกจากนี้ยังควบคุมชีพจรวิญญาณทั้งแปดแห่งมาไว้ในภูเขา ดังนั้นถึงได้กลายเป็นชีพจรวิญญาณของภูเขาวิญญาณแปดลูกที่ไม่อยู่บนพื้นดิน!

 

 

ภูเขาวิญญาณแปดลูกนี้เป็นสถานที่เดียวในเมืองเมฆาที่ใช้พำนักอยู่ระยะยาวได้ เป็นที่ฝึกบำเพ็ญเพียร และเริ่มเปิดถ้ำพำนักน้อยใหญ่กัน

 

 

ถ้ำพำนักเหล่านี้ไม่ได้เป็นคนของใครคนใดคนหนึ่ง แต่มีไว้เพื่อเช่า แน่นอนว่าระยะเวลาในการเช่าถ้ำพำนักเหล่านี้มีเวลาจำกัดในเวลาสองสามร้อยปี และยิ่งไปกว่านั้นค่าใช้จ่ายยังแพงลิบลิ่ว

 

 

แต่เช่นนั้นถ้ำพำนักบนภูเขาแปดเมฆาก็ยังถูกเช่าไปจำนวนมาก แม้กระทั่งบางครั้งก็เกิดเหตุการณ์แย่งชิงกัน

 

 

เจี่ยเทียนมู่พักอยู่ในถ้ำพำนักบน ‘ภูเขาแสงเมฆา’ชั่วคราว

 

 

จากที่อยู่ที่ทิ้งเอาไว้ ผิวของหานลี่มีลำแสงสีเขียวสว่างวาบ กลายเป็นสายรุ้งสีเขียวตรงไปยังภูเขา

 

 

ในเขตของภูเขาแปดเมฆา เป็นที่เดียวในเมืองเมฆาที่อนุญาตให้ใช้ลมปราณในการเหาะเหินได้

 

 

แน่นอนว่าหานลี่จะไม่ได้พะว้าพะวงนัก

 

 

ส่วนสาเหตุที่เขามาปรากฏตัวที่นี่ แน่นอนว่าย่อมเป็นเพราะอีกฝ่ายตอบรับสิ่งที่เรียกว่า ‘หุ่นเชิดสะท้านฟ้า’ เอาไว้ แน่นอนว่าช่วงเวลานี้หานลี่ก็เข้าใจสถานการณ์ของเผ่าหมื่นโบราณไม่น้อย

 

 

เผ่านี้แม้ว่าจะจัดอยู่ในเผ่าระดับกลางของสิบสามเผ่าเมฆาสวรรค์ แต่สำหรับเคล็ดวิชาหุ่นเชิดนั้น เผ่านี้กลับอยู่ในจุดที่น่าเหลือเชื่อ ว่ากันว่าเป็นหนึ่งในสามเผ่าที่เชี่ยวชาญเคล็ดวิชาหุ่นเชิดที่สุดในแผ่นดินใหญ่เสียงเพรียกอัสนี

 

 

ส่วนตอนแรกที่ไม่เข้าใจ ‘หุ่นเชิดสะท้านฟ้า’ หานลี่ได้อ่านคัมภีร์และพูดคุยกับเซี่ยงจือหลี่อย่างละเอียด ในที่สุดก็เข้าใจว่ามันคืออะไร

 

 

หุ่นเชิดชนิดนี้อย่างน้อยที่สุดก็น่าจะมีพลังระดับเทพแปลงขึ้นไป คาดไม่ถึงว่าจะพลังวิญญาณ แม้ว่าจะไม่ต้องแบ่งจิตไปควบคุมก็สามารถทำตามคำสั่งได้อย่างง่ายดาย เห็นได้ชัดว่าล้ำค่าเป็นอย่างมาก!

 

 

และยิ่งไปกว่านั้นว่ากันว่าหุ่นเชิดชนิดนี้มีโอกาสพัฒนาระดับจิตวิญญาณได้ สุดท้ายอาจจะมีสติปัญหาระดับต่ำเลยก็เป็นได้

 

 

แน่นอนว่านี่เป็นเพียงตำนานเท่านั้น เผ่าหมื่นโบราณไม่ได้เปิดเผยเรื่องนี้สาธารณะ แต่เช่นนั้นก็ทำให้หุ่นเชิดสะท้านฟ้าถูกปกคลุมเอาไว้ด้วยความลึกลับ

 

 

แน่นอนว่าหุ่นเชิดสะท้านชนิดนี้ แม้ว่าเผ่าหมื่นโบราณจะหลอมขึ้นอย่างไม่ง่าย ปกติแล้วไม่นำออกมาขายภายนอก

 

 

ต่อให้บางครั้งนำออกมาตัวสองตัว ก็จะถูกเผ่าต่างๆ แย่งชิงไป ทุกตัวล้วนขายออกไปในราคาที่ยากจะเชื่อ

 

 

เมื่อได้ยินหุ่นเชิดสะท้านฟ้ามีความพิเศษขนาดนี้ หานลี่เองที่เชี่ยวชาญการหลอมหุ่นเชิด ย่อมรู้สึกสนใจใคร่รู้

 

 

ประกอบกับที่เขามีเป้าหมายอื่น ถึงได้มาที่นี่ด้วยตัวเอง

 

 

หลังจากที่หานลี่กลายเป็นสายรุ้งสีเขียวเปล่งแสงสว่างวาบสองสามครั้งแล้ว ก็หมุนวนร่อนลงบนสถานที่ที่รกร้างตรงสันเขา

 

 

เบื้องหน้าของเขาไม่ไกลนักคือกำแพงเขาที่ไม่สะดุดตา บนกำแพงมีประตูหินสูงสองสามจั้งสลักอยู่

 

 

หานลี่ไม่ได้เคาะประตู แต่สะบัดแขนเสื้อ ชั่วขณะนั้นลำแสงสีเทาพลันบินออกไป หลังจากกระพริบวาบ ก็จมหายเข้าไปในประตูหินอย่างเงียบเชียบ และไร้ร่องรอย

 

 

ผลคือไม่นานหลังจากนั้น ผิวของประตูหิวก็มีลำแสงสีขาวสว่างวาบ ประตูใหญ่เปิดออกโดยอัตโนมัติ

 

 

เจี่ยเทียนมู่เดินออกมาด้วยใบหน้าที่ประดับไปด้วยรอยยิ้ม

 

 

“ฮ่าๆ เป็นสหายหานนี่เอง แต่เหตุใดสหายเพิ่งจะมาเอาตอนนี้ ข้าน้อยรอเจ้ามาตั้งหลายวัน”

 

 

“ผู้แซ่หานติดธุระนิดหน่อย จึงมาช้าไปสองสามวัน สหายเจี่ยอย่าถือสาเลย!” หานลี่พิจารณาอีกฝ่ายอย่างละเอียดสองสามแวบ พบว่าอีกฝ่ายมีสีหน้าอารมณ์ดี ทันใดนั้นก็ฉีกยิ้มน้อยๆ พลางเอ่ย

 

 

“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง ที่นี่ไม่ใช่ที่ที่เหมาะกับการพูดคุย สหายเชิญเข้าไปคุยในถ้ำพำนักเถิด” เจี่ยเทียนมู่พยักหน้า ทันใดนั้นเรียนเชิญอย่างกระตือรือร้น

 

 

“เช่นนั้นก็น้อมรับคำบัญชาแล้ว” หานลี่ไม่ได้เกรงใจอะไร สาวเท้ายาวๆ เข้าไปทันที

 

 

ถ้ำพำนักของเจี่ยเทียนมู่ไม่ใหญ่โตนัก เดินผ่านทางเดินเล็กๆ ไป ก็เข้าไปในห้องโถงความกว้างสามสิบจั้งเศษ

 

 

ตกแต่งอย่างวิจิตรงดงาม ยอดเขามีไข่มุกกลมเปล่งแสงระยิบระยับอยู่ ในห้องโถงมีโต๊ะวางอยู่ตัวหนึ่งและโต๊ะสำหรับวางชุดน้ำชาสองตัว รวมทั้งเก้าอี้หลายร้อยตัว

 

 

นอกจากนี้ก็ว่างเปล่า แม้กระทั่งกำแพงทั้งสี่ของห้องโถง ก็ยังใช้หินสีเขียวธรรมดาเท่านั้น

 

 

“สหายเชิญนั่ง” เจี่ยเทียนมู่นั่งลงตำแหน่งหลัก แล้วเอ่ยเรียก

 

 

หานลี่พยักหน้าแล้วนั่งลงด้านข้าง

 

 

เสียง “แปะๆ” ดังขึ้น เจี่ยเทียนมู่ไม่ได้เอ่ยอะไร ก็ปรบมือเบาๆ สองที

 

 

แววตาของหานลี่เปล่งประกาย ชั่วขณะนั้นพลันมองไปทางด้านข้างประตูข้างแวบหนึ่ง

 

 

ในประตูมีเสียงฝีเท้าดังออกมา

 

 

ครู่ต่อมาหญิงสาวหน้าตางดงามอายุยี่สิบกว่าปี สวมชุดชาววังสีเหลือง สองมือถือกล่องไม้สี่เหลี่ยมผืนผ้าเดินนวยนาดออกมา

 

 

หญิงสาวผู้นี้เดินมาตรงใจกลางห้องโถง วางกล่องไม้ลงบนโต๊ะวางชุดน้ำชาต่อหน้าหานลี่ แล้วไปยืนด้านข้างโดยไม่ปริปากอย่างนอบน้อม

 

 

ฉากที่น่าแปลกประหลาดพลันปรากฏขึ้น!

 

 

แววตาของหานลี่แค่กวาดไปทางกล่องไม้ตรงหน้า แล้วเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง สองตาหรี่ลงมองหญิงสาวเขม็ง ใบหน้าเผยสีหน้าแปลกประหลาดออกมา

 

 

“อันใด สหายสนใจหญิงรับใช้ในถ้ำพำนักของข้าหรือ หากชอบข้ายกให้เจ้าเป็นอย่างไร?” เจี่ยเทียนมู่เห็นสถานการณ์เช่นนั้น กลับหัวเราะเบาๆ ขณะเอ่ย