“ไม่มีอะไร ผู้แซ่หานแค่รู้สึกว่าหุ่นเชิดสะท้านฟ้าช่างสมคำร่ำลือนัก หากไม่ใช่เพราะข้าน้อยเข้าใจเคล็ดวิชาหุ่นเชิดเช่นกัน และรู้เคล็ดวิชาลับอยู่บ้าง เกรงว่าก็คงคิดว่าหุ่นเชิดสะท้านฟ้าของสหายเป็นคนจริงๆ กลิ่นอายบนร่างของนาง คล้ายกับผู้บำเพ็ญเพียรอย่างพวกเราเลย” หานลี่ฉีกยิ้ม ใช้น้ำเสียงชื่นชมเอ่ย 

 

 

“ฮ่าๆ สหายหานดูออก! จุ๊ๆ สหายร่วมวิถีที่ระดับต่ำกว่าเผ่าศักดิ์สิทธิ์มาเป็นแขกที่ถ้ำพำนักของข้า สหายเป็นคนแรกที่รู้เองว่าสาวใช้ผู้นี้คือหุ่นเชิด หุ่นเชิดนี้เป็นสิ่งที่ข้าหลอมมาเองกับมือ ตอนแรกหลอกสหายสนิทไปได้ตั้งหลายคน” เจี่ยเทียนมู่ได้ฟังคำพูดของหานลี่ ไม่เพียงจะไม่ได้โศกเศร้า กลับหัวเราะร่าอย่างร่าเริง 

 

 

ดูเหมือนว่าหานลี่จะมองฐานะหุ่นเชิดร่างมนุษย์ที่เข้าหลอมขึ้นได้ในแวบเดียว จะทำให้พวกเขารู้สึกสนิทสนมกันมากขึ้น 

 

 

“ข้าน้อยแค่โชคดีเท่านั้น ทว่าหุ่นเชิดสะท้านฟ้าตัวนี้ดูเหมือนว่าจะระดับไม่สูงมากนัก เน้นไปทางรายละเอียดของมนุษย์มากเกินไป” หานลี่มองหุ่นเชิดที่ดูเหมือนมนุษย์อย่างไรอย่างนั้น ก็ฉีกยิ้มบางๆ ขณะเอ่ย 

 

 

“พี่หานสายตาเฉียบแหลมนัก! หุ่นเชิดตัวนี้คือหุ่นเชิดระดับสะท้านฟ้าตัวแรกที่ข้าหลอมขึ้น มีกำลังแค่ระดับเผ่าเบื้องบนขั้นที่สาม เน้นไปทางด้านสติปัญญา แต่สิ่งที่น่าเสียดายก็คือ ข้าบ่มเพาะมันมาแต่สติปัญญากลับไม่สูงขึ้นเลย” เจี่ยเทียนมู่ถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง หันหน้าไปมองสาวใช้แวบหนึ่ง เผยสีหน้าเสียดายออกมา 

 

 

ส่วนหุ่นเชิดสาวใช้ตนนั้นก็กำลังฉีกยิ้มเบิกบานให้เจี่ยเทียนมู่ราวกับมนุษย์ธรรมดา แต่ทันใดนั้นก็หุบยิ้มลงแล้วกลับมามีสีหน้าไร้ความรู้สึกอีกครั้ง 

 

 

หานลี่มองสถานการณ์นี้แล้วรู้สึกหมดคำพูด! 

 

 

“ใช่แล้ว พี่หานดูหุ่นเชิดสะท้านฟ้าในกล่องเถิดว่าพอใจหรือไม่?” เจี่ยเทียนมู่ถอนสายตาออกมาแล้วเอ่ยถามหานลี่ด้วยรอยยิ้ม 

 

 

“เช่นนั้นข้าน้อยก็ไม่เกรงใจแล้ว” หานลี่พยักหน้า สะบัดแขนเสื้อไปบนโต๊ะ ลำแสงสีเขียวบินม้วนออกมา  

 

 

หลังจากเสียง “ครืด” ดังขึ้น กล่องไม้ทรงยาวพลันเปิดออก เผยของในกล่องออกมา 

 

 

“นี่คือ?” หานลี่จ้องเขม็งมองไปเผยสีหน้าประหลาดใจออกมา 

 

 

ในกล่องมีอสรพิษสีขาวความยาวสองสามฉื่อตัวหนึ่งวางอยู่ ตัวมันเปล่งแสงแวววาว ลำแสงวิญญาณสีขาวโพลนชั้นหนึ่งห่อหุ้มร่างกายอยู่ 

 

 

“นี่คือหุ่นเชิดสะท้านฟ้าแบบใหม่ที่น้องชายเพิ่งหลอมขึ้นได้ไม่นาน ระดับของมันน่าจะไม่แตกต่างกับสหายนัก อยู่ในระดับเผ่าเบื้องบนขั้นที่เจ็ด แม้ว่าระดับจะไม่สูงนัก แต่กลับสามารถเปลี่ยนรูปร่างได้สองชนิด หากไม่ใช่เพราะพี่หานช่วยชีวิตน้องเอาไว้ ผู้แซ่เจี่ยก็คงเสียดายไม่กล้าเอาหุ่นเชิดตัวนี้ออกมา” เจี่ยเทียนมู่เอ่ยอย่างอาลัยอาวรณ์สองสามส่วน 

 

 

“เปลี่ยนรูปได้สองชนิด?” หานลี่ได้ฟังกลับรู้สึกตกตะลึง 

 

 

“ใช่แล้ว! แม้ว่าจะไม่เคยรับเจ้านายด้วยโลหิต แต่ข้าก็สามารถควบคุมมันได้อย่างง่ายๆ สาธิตให้พี่หานดูสักหน่อย”เจี่ยเทียนมู่เอ่ยไปพลาง จากนั้นมือหนึ่งพลันร่ายอาคม ชี้ไปทางกล่องไม้ทางหานลี่ 

 

 

ชั่วขณะนั้นลำแสงสีขาวพลันพุ่งออกมาจากปลายนิ้ว เปล่งแสงสว่างวาบแล้วจมหายเข้าไปในร่างของอสรพิษสีขาวในกล่อง 

 

 

ลำแสงวิญญาณเปล่งแสงสว่างวาบ อสรพิษสีขาวที่แต่เดิมนิ่งสงบพลันขดตัว ทันใดนั้นลำแสงสีขาวพลันเปล่งประกายกลายเป็นลำแสงสีขาวสายหนึ่งบินออกมาจากกล่องไม้ 

 

 

งูเหลือมเผือกยาวสองสามจั้งตัวหนึ่งบินหมุนวนโคจรอยู่กลางอากาศเหนือห้องโถง 

 

 

มองไกลๆ งูเหลือมเผือกดวงตาสองข้างสีแดงก่ำ เกล็ดมีลำแสงระยิบระยับ สะบัดหัวสะบัดหางไปมากระโจนเข้ามาด้วยท่าทีดุดัน ไม่ต่างอะไรกับงูเหลือมยักษ์จริงเลยสักนิด 

 

 

ฉับพลันนั้นเจี่ยเทียนมู่พลันร้องตะโกนเสียงต่ำๆ ออกมา มือหนึ่งชูขึ้น ร่ายอาคมสายหนึ่งออกไป 

 

 

ร่างของงูเหลือมยักษ์หยุดชะงัก ร่างกายสั่นเทา คาดไม่ถึงว่าจะขดตัวเป็นก้อน 

 

 

ลำแสงสีขาวเปล่งแสงสว่างวาบ งูเหลือมเผือกกลายเป็นหญิงสาวสวมชุดคลุมสีขาวหน้าตางดงามดุจภาพวาด ท่าทางองอาจ แค่หว่างคิ้วมีความฉงนเล็กน้อย กำลังลอยตัวอยู่กลางอากาศไม่ขยับเขยื้อน 

 

 

“เป็นอย่างไรบ้าง ไม่ว่าจะใช้หุ่นเชิดสะท้านฟ้าตัวนี้ต่อกรกับศัตรู หรือว่าใช้เป็นสาวใช้ในถ้ำพำนัก ก็เหมาะสมยิ่ง ข้อบกพร่องเพียงสิ่งเดียวก็คือ ต้องเสียศิลาวิญญาณจำนวนมาก มากกว่าหุ่นเชิดสะท้านฟ้าแบบอื่นๆ สองสามเท่า และยิ่งไปกว่านั้นเป็นเพราะหุ่นเชิดตัวนี้สร้างขึ้นจากเหล็กผลึกธาตุเย็นเสียกว่าครึ่ง จึงต้องใช้ศิลาวิญญาณธาตุน้ำแข็งที่หายากถึงจะควบคุมมันได้ หากสหายต้องการจริงๆ ละก็ วันข้างหน้าจะต้องเสียศิลาวิญญาณจำนวนไม่น้อย” เจี่ยเทียนมู่อธิบาย 

 

 

“แม้ว่าศิลาวิญญาณธาตุน้ำแข็งจะหายาก แต่ผู้แซ่หานก็มั่นใจว่าจะหามาได้ ขอแค่หุ่นเชิดนี้มีประโยชน์ก็พอแล้ว หุ่นเชิดตัวนี้ข้าจะขอรับไว้อย่างไม่เกรงใจล่ะนะ” หานลี่มองหญิงสาวชุดขาวกลางอากาศชั่วครู่ แล้วฉีกยิ้มเบิกบาน 

 

 

“ฮ่าๆ พี่หานพอใจก็พอแล้ว ขอแค่หยดโลหิตลงไปบนหุ่นเชิดตัวนี้เพื่อรับเป็นนาย คนอื่นก็ไม่อาจควบคุมมันได้อีก” เจี่ยเทียนมู่ฉีกยิ้ม มือหนึ่งร่ายอาคมชี้ไปที่หุ่นเชิดกลางอากาศอีกครั้ง 

 

 

ชั่วขณะนั้นหญิงสาวชุดคลุมสีขาวพลันพลิ้วกาย กลายเป็นลำแสงสีขาวกลุ่มหนึ่งพุ่งไปหาหานลี่ หลังจากหมุนวนรอบหนึ่งก็กลายเป็นอสรพิษสีขาวร่อนลงมาในกล่อง 

 

 

และแทบจะในเวลาเดียวกัน หานลี่พลันสะบัดแขนเสื้อ ลำแสงสีเขียวหมุนวนออกมา ฝากล่องปิดผนึกลงอีกครั้ง 

 

 

“สหายเจี่ย เมื่อครู่ได้ยินเจ้ากล่าวว่าหุ่นเชิดสะท้านฟ้าล้วนเป็นสิ่งที่เจ้าสร้างขึ้นกับมือ ความรู้ด้านหุ่นเชิดของสหายสูงส่งแค่ไหนไม่ต้องคิดก็รู้แล้ว ข้าน้อยมีหุ่นเชิดแบบใหม่ที่เพิ่งได้มาจากคนอื่นพอดี น่าสนใจมาก สหายอยากลองดูสักหน่อยหรือไม่” หานลี่เก็บกล่องหยกไปแล้ว ก็ฉีกยิ้มแล้วเอ่ยกับเจี่ยเทียนมู่ 

 

 

“อ๋อ หุ่นเชิดแบบใหม่! สหายรีบเอาออกมาให้ข้าดูเร็ว” เจี่ยเทียนมู่ได้ยิน พลันเผยสีหน้าดีอกดีใจออกมา 

 

 

หานลี่หัวเราะพลิกฝ่ามือมือหนึ่ง ในมือมีกล่องหยกปรากฏขึ้น ด้านบนมีลำแสงวิญญาณเปล่งประกาย คาดไม่ถึงว่าจะแปะยันต์ต้องห้ามเอาไว้สองสามแผ่น 

 

 

ฉีกยันต์วิเศษออก มือหนึ่งปรบไปที่ฝากล่อง 

 

 

ชั่วขณะนั้นฝากล่องพลันบินขึ้นไปบนท้องฟ้า ในกล่องหยกมีหุ่นเชิดร่างมนุษย์ขนาดสองสามชุ่นบินออกมายี่สิบกว่าตัว  

 

 

นั่นก็คือหุ่นเชิดรับใช้กลุ่มหนึ่งที่หานลี่ได้มาจากราชันย์ปีศาจชุดคลุมโลหิตในเหวพสุธา 

 

 

หุ่นเชิดมนุษย์เหล่านี้บินมาตรงใจกลางห้องโถง แล้วระเบิดหมอกห้าสีสันออกมา หลังจากหมุนวนก็สลายหายไป ในห้องโถงมีโฉมงามสะคราญสวมชุดหลากสีสันสิบสองคนปรากฏขึ้น แต่ละคนล้วนมีเรือนร่างอรชรอ้อนแอ้น มีเสน่ห์น่าเย้ายวน 

 

 

สองฝั่งของห้องโถง มีบุรุษวัยเยาว์หน้าตาหมดจดคมคายยี่สิบสี่คนปรากฏขึ้นเช่นกัน ทุกคนล้วนถือเครื่องดนตรีต่างๆ เอาไว้ นั่งขัดสมาธิอยู่บนพื้น 

 

 

หานลี่ไม่ได้ร่ายอาคมกระตุ้น เสียงดนตรีก็ดังขึ้นในวิหาร ทำให้ผู้คนได้ฟังแล้วรู้สึกสดชื่น ส่วนหญิงสาวรูปร่างงดงามเหล่านั้นพลันพลิ้วไหวกาย คาดไม่ถึงว่าจะขยับกายไปตามเสียงดนตรีในห้องโถง  

 

 

เห็นเพียงหญิงสาวเหล่านี้ล้วนเอวบางร่างน้อย อาภรณ์หลากสีสันพลิ้วไหว กลิ่นหอมประหลาดโชยออกมา  

 

 

ยามนั้นในห้องโถงล้วนเต็มไปด้วยเงาภาพชวนน่าหลงใหล ท่าทีสวยเย้ายวน 

 

 

ชั่วพริบตาที่คนเหล่านี้ปรากฏกายขึ้น เจี่ยเทียนมู่พลันตกตะลึงจนตาค้าง มองไปด้วยดวงตาที่ไม่กะพริบ 

 

 

หลังจากผ่านไปนานเท่าไหร่ก็สุดจะรู้ เสียงดนตรีเคล้าอารมณ์ก็หยุดลง หญิงสาวสิบสองคนที่กำลังร่ายรำก็หยุดชะงัก แล้วทยอยกันกลับมายืนนิ่ง 

 

 

“น่าสนใจจริงๆ ในหุ่นเชิดมนุษย์เหล่านี้ดูเหมือนจะจิตสัมผัส ไม่รู้ว่าเป็นของสหายหานหรือเปล่า” เจี่ยเทียนมู่ถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง แววตาเปล่งประกายพลางเอ่ยพึมพำ 

 

 

“สหายก็ดูออกสินะ หุ่นเชิดเหล่านี้เรียกว่าข้ารับใช้วิญญาณ เป็นหุ่นเชิดครึ่งวิญญาณครึ่งสัตว์ มันไม่เหมือนกับหุ่นเชิดสะท้านฟ้าที่กำเนิดจากการหลอมจิตวิญญาณเข้ากับร่างของหุ่นเชิด จะว่าไปแล้วก็คล้ายคลึงกับหุ่นเชิดสะท้านฟ้าของสหายอยู่บ้าง สามารถเคลื่อนไหวได้ตามความสามารถเช่นกัน ไม่นับว่ามีสติปัญญาอะไร ยิ่งไม่อาจเพิ่มสติปัญญาได้” หานลี่ฉีกยิ้มขณะเอ่ย 

 

 

“การหลอมจิตวิญญาณและหุ่นเชิดรวมเป็นหนึ่ง วิธีนี้ข้าเคยเห็นมาก่อน แต่ลองใช้กับจิตวิญญาณอสูรวิญญาณมาหลายชนิด กลับไม่สำเร็จ ข้ารับใช้วิญญาณเหล่านี้ใส่จิตวิญญาณอะไรเข้าไป?” เจี่ยเทียนมู่ได้ยินคำพูดของหานลี่ พลันเผยสีหน้าตกตะลึงระคนดีใจออกมา เอ่ยถามอย่างอดรนทนไม่ไหว 

 

 

“ข้ารับใช้วิญญาณเหล่านี้ข้าได้มาด้วยความบังเอิญ จิตวิญญาณที่ใส่เข้าไปคือจิตวิญญาณอะไร ข้าก็ไม่แน่ใจนัก แต่เมื่อมีข้ารับใช้เหล่านี้อยู่ในมือ สหายก็สามารถแยกพวกมันออกได้ และหาความจริงจากพวกมัน น่าจะไม่ใช่เรื่องยากสินะ” หานลี่ลูบใต้คาง แล้วเอ่ยอย่างมีเลศนัย 

 

 

“นั่นมันก็ใช่! อะไร หรือว่าพี่หานจะยอมมอบหุ่นเชิดเหล่านี้ให้ข้าน้อย” เจี่ยเทียนมู่พลันถึงบางอ้อ แต่ทันใดนั้นก็ตกตะลึงขึ้นมา 

 

 

“แม้ว่าข้ารับใช้เหล่านี้จะน่าสนใจ แต่ก็ไม่มีประโยชน์กับข้าน้อยมากนัก แต่สหายเองมีความสามารถด้านหุ่นเชิดที่น่าตกตะลึง หากมีพวกมันจะต้องเพิ่มระดับขึ้นได้อีกขั้นแน่” หานลี่เอ่ยอย่างราบเรียบ 

 

 

“ข้ารับใช้เหล่านี้มีประโยชน์ต่อข้าจริงๆ แต่ของล้ำค่าเช่นนี้ จะมาให้ข้าน้อยเก็บไปง่ายๆ ได้อย่างไร เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ข้าน้อยพอมีฐานะอยู่บ้าง ขายมันเถิด” เจี่ยเทียนมู่สั่นศีรษะเป็นพัลวันขณะเอ่ย 

 

 

“ศิลาวิญญาณนั่นช่างมันเถิด หากสหายเจี่ยคิดว่าไม่รับของหากไม่สร้างผลประโยชน์ ข้าน้อยมีคำถามอยู่สองสามข้อ อยากถามสหาย หากสหายยอมตอบ ข้าน้อยก็พอใจ” แววตาของหานลี่เปล่งประกายในที่สุดก็เอ่ยเป้าหมายของตนออกมา 

 

 

“ปัญหา? พี่หานมีปัญหาใด ถามมาเถิด แต่หากเป็นคำถามที่เกี่ยวข้องกับความลับในเผ่าข้า ข้าน้อยก็ไม่สะดวกที่จะตอบ” เจี่ยเทียนมู่ตกตะลึง แต่หลังจากกระพริบตาปริบๆ ก็ตอบกลับอย่างเคร่งขรึม 

 

 

“นั่นมันแน่นอนอยู่แล้ว ปัญหาของข้าน้อยไม่เกี่ยวข้องกับความลับของเผ่าเจ้าแน่นอน” หานลี่หรี่ตาทั้งสองข้างลง แล้วฉีกยิ้มบางๆ 

 

 

“งั้นพี่หานถามมาเถิด” เจี่ยเทียนมู่มีสีหน้าผ่อนคลายลง พยักหน้าขณะเอ่ย 

 

 

“ช่วงที่ข้าอยู่ในเมืองนี้ ได้ยินว่าเมฆาสวรรค์ดูเหมือนจะเขตอาคมส่งตัวขนาดใหญ่ที่ส่งตัวข้ามแผ่นดินได้ ไม่ทราบว่าเรื่องนี้เป็นความจริงหรือไม่? หากเป็นความจริง ไม่ทราบว่าถูกควบคุมโดยเผ่าใด” หานลี่เอ่ยถามอย่างเคร่งเครียด 

 

 

“เขตอาคมส่งตัวข้ามแผ่นดิน? มีอยู่หนึ่งแห่งจริงๆ แต่เขตอาคมนี้ไม่ได้ถูกควบคุมโดยเผ่าใดเผ่าหนึ่ง ถูกสิบสามเผ่าของพวกเราช่วยกันดูแล” เจี่ยเทียนมู่รู้สึกประหลาดใจกับคำถามของหานลี่ จึงตอบกลับอย่างประหลาดใจ 

 

 

“ไม่ทราบว่าเผ่าใดคอยดูแลอยู่” หานลี่กลับซักถามต่อ 

 

 

“เพราะว่าเขตอาคมนี้ต้องได้รับการดูแลที่เหมาะสม และต้องซ่อมแซมอยู่บ่อยๆ ดังนั้นจึงให้สี่เผ่าอย่างเผ่าผลึก เผ่ารังไหมศิลา เผ่าหลายกร รวมทั้งเผ่าหมื่นโบราณคอยดูแล สหายหานเจ้าสนใจเขตอาคมนี้ หรือว่าอยากใช้เขตอาคมส่งตัวนี้” เจี่ยเทียนมู่ตอบกลับอย่างส่งเดชไปพลาง เผยท่าทางมีความคิดพลางเอ่ยถามไปพลาง