บทที่ 1576+1577

ลำนำบุปผาพิษ

บทที่ 1576 นัดหมาย

ยิ่งไปกว่านั้น ฐานะของหลานเฝ่ยภายในอาณาจักรเงือกก็ไม่ต่ำต้อย เป็นนักร้องต้นแบบของชาวเผ่าเงือก

เขามาขอหมั้นหมายกับอนาคตประมุขเงือกก็ไม่นับว่าอยู่เหนือความคาดหมายอันใด

หนังสือหมั้นหมายของเขาเขียนด้วยความรักใคร่จริงใจ เนื้อความบอกว่าเมื่อแปดปีก่อน เขาเฝ้าคะนึงหาแต่กู้ซีจิ่วไม่เคยลืมเลือน ตามหานางมาแปดปี วันนี้สวรรค์เมตตา ในที่สุดเขาก็ได้พบกับนางอีกครั้ง เห็นได้ชัดว่าสวรรค์เบื้องบนเมตตาเขา ช่วยให้เขาสมหวังดั่งใจหมาย…

หลานเหยากวงตกตะลึงดังถูกฟ้าผ่าเมื่อได้รับหนังสือนี้!

หากหลานเฝ่ยมาขอหลานจิ้งอี๋หมั้นหมาย เขาจะเปรมปรีดิ์เสียยิ่งกว่า จึงรีบตกปากรับคำด้วยความยินดี

ทว่ากู้ซีจิ่ว…

ภายในจิตใต้สำนึกของหลานเหยากวง พี่สาวของตัวเองเป็นบุปผาที่มีเจ้าของแล้ว เป็นฮูหยินเทพศักดิ์สิทธิ์อย่างแน่นอน ดังนั้นเขาจึงปฏิเสธทันที บอกว่ากู้ซีจิ่วหมั้นหมาย มีคู่หมั้นแล้ว และส่งแม่สื่อกลับไป

ทว่าหลานเฝ่ยกลับไม่ย่อท้อ หลังจากเงียบหายไปสองวันก็ส่งหนังสือมาอีกครั้ง ยินยอมเป็นสวามีเคียงตั่งของอนาคตประมุขหญิง จะไม่แก่งแย่งชิงดีกับสวามีเอกของนาง เพียงขอแค่ได้อยู่ข้างกายนางก็พอ

หลานเหยากวงรู้สึกลึกๆ ว่าสมองของหลานเฝ่ยต้องมีปัญหาอย่างแน่นอน หรือไม่ก็ถูกสิ่งใดพุ่งชนจนศีรษะวิงเวียน ในขณะที่กำลังจะปฏิเสธอีกครั้งและไล่แม่สื่อออกไป นึกไม่ถึงว่ากู้ซีจิ่วกลับมาเห็นหนังสือสองฉบับนี้…

นางเหม่อมองหนังสือนั้นอยู่นาน จากนั้นก็แย้มยิ้ม พลันตอบกลับแม่สื่อคนนั้นด้วยตนเองว่านางจะลองคบหากับหลานเฝ่ยดูก่อน หากทั้งสองฝ่ายนิสัยใจคอเข้ากันได้ดี นางจะพิจารณาเรื่องรับเขาเป็นสวามีเคียงตั่ง…

ดังนั้นจึงเกิดเป็นการนัดหมายขึ้นมาในวันนี้

……

ทุกคนล้วนมีเทพบุตรหรือเทพธิดาอยู่ในใจคนหนึ่ง

หลานเฝ่ยเป็นเทพบุตรในใจของหญิงสาวเผ่าเงือกมากมาย ทว่ากู้ซีจิ่วก็คือเทพธิดาในใจของหลายเฝ่ย

เพื่อให้การนัดหมายกับเทพธิดาเป็นไปอย่างราบรื่น หลานเฝ่ยกวาดล้างสถานที่แห่งนี้ ภายในรัศมีสิบลี้จะไม่มีทางเห็นคู่รักคู่ที่สองเป็นอันขาด…

ผ้าปูพื้นใยเงือกผืนหนึ่ง ดุจแสงจันทร์ปกคลุมผืนหญ้า

ด้านบนจัดวางขนมเลิศรสที่เป็นเอกลักษณ์ของเผ่าเงือกไว้ อีกทั้งยังมีสุราผลไม้ที่หมักเป็นพิเศษของห้วงสมุทรนี้

สุราเลิศรสสีอำพันใต้แสงจันทร์ ทั้งสองคนนั่งตรงข้ามกัน มือนุ่มนวลและขาวผ่องของกู้ซีจิ่วถือจอกสุรา ดื่มด่ำสุรา กินขนมบ้างเป็นครั้งคราว อาภรณ์สีควันบนตัวนางและผมยาวสลวยปลิวไสวตามสายลม ดูน่ารื่นรมย์ยิ่งนัก

หลานเฝ่ยอดไม่ได้ที่จะตรึงสายตาไว้บนตัวนาง

กู้ซีจิ่วเมื่อแปดปีก่อนรูปร่างยังเด็ก ใบหน้ายังมีกลิ่นอายความไม่ประสา ทว่าสุ้มเสียงไพเราะ อารมณ์ดีเลิศ เปรียบเสมือนสายลมพัดโชยยามวสันต์ ภายใต้ความเย็นชาเผยให้เห็นความอบอุ่นจางๆ ดูมีชีวิตชีวายิ่งนัก

กู้ซีจิ่วในยามนี้รูปร่างผอมเพรียว ใบหน้าเพริศพริ้ง อาภรณ์สีควันขับผิวของนางให้ยิ่งขาวผ่อง ลักษณะท่าทางงดงามยิ่งขึ้น นางดูเฉื่อยชาลงไปมากนัก ราวกับไม่สนใจสิ่งใดแล้ว สิ่งสวยงามอันใดล้วนเป็นดั่งอดีตที่ผ่านพ้นไปแล้วสำหรับนาง

นางนั่งอยู่ตรงนั้นประหนึ่งภาพวาดขุนเขาธาราท่ามกลางหมอกจางที่วาดโดยจิตรกร ทำให้ผู้คนแทบไม่อาจละสายตาได้

การนัดหมายของทั้งสองคนในครั้งนี้นับได้ว่าราบรื่นยิ่งนัก ริมฝีปากนางโค้งยิ้มบางๆ ตลอดเวลา สุราก็ดื่มจนเกือบหมดกา

นางพูดจาไม่มาก ทว่าก็ไม่ได้ทำให้คนรู้สึกน่าอึดอัดอะไร ทั้งยังกระตุ้นความต้องการสนทนาพาทีของผู้อื่นได้

หลานเฝ่ยเป็นชายหนุ่มหล่อเหลาเปล่งประกาย ที่ที่เขาอยู่คล้ายมีตะวันสาดแสงรอนๆ

เขาร้องเพลงได้ดี เมื่อใดที่ร้องเพลง เขาจะดึงดูดหมู่มวลมัจฉาที่แหวกว่ายในมหาสมุทรใกล้เคียงจนไม่อาจจากไปได้

เขาบอกเล่าชีวิตของตนในช่วงแปดปีมานี้ให้กู้ซีจิ่วฟัง บอกเล่าความเงียบเหงาที่ไม่อาจตามหาคนรู้ใจได้ บอกเล่าความคะนึงหาที่เขามีต่อนางในหลายปีมานี้

กู้ซีจิ่วนั่งฟังอยู่ตรงนั้นอย่างเฉยชา ชนจอกสุรากับเขาเป็นครั้งคราว อันที่จริงเธอก็ไม่ค่อยเข้าใจความรู้สึกของหลานเฝ่ยเสียเท่าใด

เธอเคยพบหน้าหลานเฝ่ยแค่ครั้งเดียวเท่านั้น แถมยังเป็นการแข่งขันตัวต่อตัวครั้งหนึ่ง นั่นทำให้เขาคะนึงหาเพียงแต่เธอได้ถึงแปดปีเชียวหรือ?

————————————————————————————-

บทที่ 1577 ค่ำคืนมิได้โสภาเช่นกาลก่อน

นี่คือสิ่งที่เรียกว่ารักแรกพบงั้นหรือ?

มุมปากของกู้ซีจิ่วยกขึ้นเล็กน้อย หัวใจที่เคยหวานชื่นขื่นขมร่วมเป็นร่วมตายด้วยกันมาแล้ว ความรักที่เคยคิดว่าทำให้สวรรค์ซาบซึ้งได้ล้วนเป็นการหลอกลวงทั้งสิ้น แล้วจะมีความเชื่อถือในรักแรกพบสักแค่ไหนกันเล่า?

ตอนนี้เธอไม่เชื่อความรักอันใดแล้ว! และไม่คิดจะคุยเรื่องรักอะไรด้วย…

จึงดื่มสุราเข้าไปอีกคำหนึ่ง กู้ซีจิ่วยิ้มนิดๆ เอ่ยขัดการสารภาพความในใจของหลานเฝ่ย “ข้าไม่คิดจะคุยเรื่องรักกับผู้ใด พวกเราพูดคุยเรื่องผลประโยชน์กันดีกว่า เจ้าอยากเป็นสวามีเคียงตั่งของข้าจริงๆ หรือ? มีเงื่อนไขอะไรบ้าง?”

หลานเฝ่ยชะงักไปแวบหนึ่ง ใบหน้าหล่อเหลาแดงเรื่อ “เจ้า…เจ้าถามเช่นนี้เป็นการดูหมิ่นความรู้สึกของข้า ข้าเพียงชมชอบเจ้า ไม่มีเงื่อนไขอันใด…”

กู้ซีจิ่วโคลงจอกสุราในมือ ถามอย่างเฉื่อยชา “ไม่มีเงื่อนไขอะไรเลย? เจ้าคงไม่ได้วางแผนให้ข้าชมชอบเจ้ากระมัง?”

หลานเฝ่ยชะงักไปอีกครา “แน่นอนว่าต้องการให้เจ้าชมชอบข้า ข้าเชื่อว่าเมื่อเวลาผ่านไปสักระยะ เจ้าจะต้องรักข้าแน่”

กู้ซีจิ่วหัวเราะแล้ว “ข้าไม่คิดจะชอบผู้ใด ดังนั้นเงื่อนไขเพียงหนึ่งเดียวนี้ของเจ้าข้าทำให้บรรลุไม่ได้”

ความรักเป็นตัวอันใดกัน บุรุษเป็นตัวเช่นไรกัน นับแต่นี้ไปเธอไม่เชื่อถืออีกแล้ว! และจะไม่ตกหลุมรักอีกแล้ว!

หลานเฝ่ยมองเธออย่างตกตะลึง ราวกับคาดไม่ถึงว่ากู้ซีจิ่วจะพูดจาเด็ดขาดเช่นนี้ มองอยู่พักหนึ่งถึงเอ่ยขึ้นว่า “เจ้า ในเมื่อเจ้าไม่ชอบข้า เหตุใดจึงยินดีมาพบหน้าข้า? ซ้ำยังบอกว่าจะพิจารณาเรื่องให้ข้าเป็นสวามีเคียงตั่งด้วย…”

กู้ซีจิ่วใช้ปิ่นด้ามหนึ่งเคาะจอกสุราในมือเบาๆ เอ่ยเสียงเรียบ “ข้าคิดจะรับสวามีเคียงตั่งสองคนจริงๆ และคิดจะรับไว้เท่านั้น ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับความรู้สึก ผลประโยชน์ที่สวามีเคียงตั่งพึงมีข้าล้วนมอบให้พวกเจ้าได้ทั้งสิ้น”

หลานเฝ่ยพานพบสตรีมานับไม่ถ้วน นิสัยใจคอเช่นใดล้วนมีหมด แต่ที่เปิดเผยตรงไปตรงมาเช่นกู้ซีจิ่วนี้นับว่าเป็นคนแรก

เป็นเพียงแม่นางน้อยเจริญวัยคนหนึ่งแท้ๆ แต่วาจาของนางกลับให้ความรู้สึกเหมือนผู้ที่ผ่านโลกมาอย่างโชกโชนแล้ว

ที่แท้นางเคยพบพานอะไรมากันแน่?

เขามองดูนาง เอ่ยอย่างทีเล่นทีจริงว่า “หากข้าต้องการเรียกร้องสิทธิ์ในการเป็นสามีของข้าเล่า?”

กู้ซีจิ่วดื่มสุราอึกหนึ่ง สีหน้าเฉยเมย “หลังจากเจ้ากลายเป็นสวามีข้างตั่งของข้าย่อมทำได้”

หลานเฝ่ยนิ่งงัน

เขาอดไม่ได้ที่จะยิ้มขื่นๆ “ไม่นึกเลยว่าเจ้าจะเป็นแม่นางที่เอาจริงเอาจังถึงเพียงนี้”

กู้ซีจิ่วยิ้ม “ความจริงแล้วข้าเอาจริงเอาจังยิ่งนักเสมอมา เพียงแต่เจ้าไม่ทราบก็เท่านั้น นี่ก็เป็นข้อเสียของรักแรกพบ เจ้าได้เห็นข้าเพียงผิวเผินเล็กน้อย ทว่าไม่ทราบเลยว่าที่แท้เป็นคนเช่นใด ไม่แน่ว่าข้าอาจมีเพียงเปลือกนอกที่พอเข้าที แต่อย่างอื่นกลับไม่มีอะไรเลย…”

หลายเฝ่ยอดไม่ได้จะทอดถอนใจ “ซีจิ่ว อย่าได้ดูหมิ่นตนเอง…เจ้าต้องเชื่อว่าตัวเจ้าดีที่สุด!”

กู้ซีจิ่วเงยหน้าหัวเราะ “แน่นอนว่าข้าย่อมดีที่สุด! บนโลกนี้มีข้าเพียงผู้เดียวเท่านั้น!”

ทุกคนล้วนมีเพียงผู้เดียวเท่านั้น เพราะโลกนี้มีตัวคุณแค่คนเดียว

กู้ซีจิ่วเชื่อมั่นในตัวเองเสมอมา แต่ระยะนี้เธอกลับมีความรู้สึกพ่ายแพ้ไร้เรี่ยวแรงอย่างหนึ่ง…

เธอแกว่งจอกสุรา “เอาล่ะ ไม่คุยเรื่องพวกนี้แล้ว พวกเราดื่มกันเถอะ!”

หลานเฝ่ยก็รู้สึกเช่นกันว่านี่ไม่ใช่หัวข้อสนทนาที่ดี เขาจึงยิ้มแวบหนึ่ง “ได้ พวกเราดื่มกัน!”

เขาสนใจในตัวกู้ซีจิ่วล้ำลึกกว่าเดิมแล้ว!

ทั้งสองชนจอกร่ำสุรา หลานเฝ่ยยังเกิดอารมณ์ศิลป์ร้องเพลงให้กู้ซีจิ่วเพลงหนึ่งด้วย จากนั้นก็เชิญให้กู้ซีจิ่วร้องสักเพลงเช่นกัน

เขาชี้ไปที่จันทราบนฟากฟ้า “ซีจิ่ว เป็นคืนจันทร์เพ็ญ ในเทศกาลไหว้พระจันทร์ ทัศนียภาพที่งดงามเพียงนี้สมควรร้องรำกันอย่างเบิกบาน…”

กู้ซีจิ่วเงยหน้ามองดวงจันทร์บนฟากฟ้า เมื่อเธอชอบคืนจันทร์เพ็ญ เนื่องจากค่ำเธอมีความทรงจำอันงดงามากมายในค่ำคืนเช่นนี้

แต่ยามนี้เธอชิงชังจันทร์เพ็ญ สิ่งที่เคยงดงามยามนี้เมื่อนึกถึงล้วนเป็นยาพิษผลาญลำไส้ทั้งสิ้น!

ประโยคหนึ่งผุดขึ้นมาในสมองของเธอ ‘ค่ำคืนมิได้โสภาเช่นกาลก่อน กำหนดยามเที่ยงคืนเพื่อผู้ใด…’

————————————————————————————-