บทที่ 1578+1579

ลำนำบุปผาพิษ

บทที่ 1578

หมู่ดาราวาโยในคืนวาน ความรักในวันวานพัดไปกับสายลม ไม่มีผู้ใดกำหนดยามเที่ยงคืนเพื่อเธอแล้ว และเธอก็ไม่อาจกำหนดยามเที่ยงคืนให้ผู้ใดได้แล้ว…

เธอยิ้มแวบหนึ่ง เชิดหน้ายกหมดจอก “มา ดื่มเพื่อทัศนียภาพอันงดงามนี้เถิด!”

หลานเฝ่ยมีความอดทนยิ่งนัก เขายังคงรอให้เธอร้องเพลงอยู่

กู้ซีจิ่วดื่มสุราไปค่อนข้างมาก ทว่าไม่ได้ปฏิเสธอันใด เธอลุกขึ้นร้องเพลง ไม่เพียงแต่ร้องเพลงเท่านั้นยังร่ายรำไปด้วย “จันทร์กระจ่างกลางฟากฟ้าเพลาไห ยกจอกสุราถามไถ่ถึงสวรรค์ หาทราบไม่ว่าวิมานบนแดนสรวง ในยามนี้เป็นปีใด? ข้าใคร่ควบวาโยพัดหวนคืน แต่เกรงว่าวิมานหยกอันเลอโฉม ยิ่งสูงล้ำยิ่งหนาวเหน็บ…[1]”

เสียงเพลงว่างเปล่าล่องลอย หมุนวนอ้อยอิ่งอยู่ภายใต้แสงจันทร์ อาภรณ์สีควันปลิวไสวตามสายลม ราวกับช่อแหนเบ่งบานที่ร่ายรำอยู่บนยอดเมฆา…

หลายเฝ่ยก็ค่อนข้างเมามายเช่นกัน ดวงตาดั่งวิฬาร์จ้องมองกู้ซีจิ่ว รู้สึกเพียงว่าเคลิบเคลิ้มหลงใหล…

ขอเพียงสามารถอยู่ข้างกายคนที่คะนึงหาอยู่ไม่สร่างซาได้ เขาก็ไม่ใส่ใจศักดิ์ฐานะแล้ว และไม่สนใจว่าภายหน้านางจะรับสวามีอีกกี่คน ขอเพียงเขาได้จับจองพื้นที่ในใจนางบ้างก็พอ

ทัศนคติที่เขามีต่อกู้ซีจิ่วก็เหมือนทัศนคติที่แฟนคลับมีต่อไอดอล ขอเพียงในใจของอีกฝ่ายมีเขาอยู่ก็พอแล้ว ไม่กล้า เขาไม่กล้าคิดเหิมเกริมผูกขาดไว้เพียงคนเดียว…

สายลมเบาบางพัดโชย ในพุ่มไม้มีกลีบบุปผาบอบบางปลิวตามแรงลม หมุนล้อมรอบกายกู้ซีจิ่ว เกาะอยู่บนอาภรณ์และเรือนผมเธอ…

เธอร้องเพลงร่ายรำตามใจนึก เขามองดั่งลุ่มหลงมัวเมา ผู้ใดก็มองไม่เห็นว่าบนต้นไม้ที่อยู่ไม่ไกลมีคนผู้หนึ่งยืนอยู่ อาภรณ์ขาวพิสุทธิ์ดุจหิมะหลอมละลายใต้แสงจันทร์ เขายืนอยู่ตรงนั้นตลอด และไม่ทราบเช่นกันว่ายืนอยู่นานเพียงใด มองอยู่นานแค่ไหน

มีอยู่หลายครั้งที่ดูคล้ายว่าเขาอยากพุ่งออกไป ทว่าสุดท้ายก็ข่มกลั้นเอาไว้ สีหน้าของเขาขาวเผือดยิ่งกว่าแสงจันทร์ แววตามืดมนยิ่งกว่ารัตติกาล

ในชีวิตนี้คนที่ใส่ใจที่สุดก็คือนาง กลับนึกไม่ถึงเลยว่าคนที่ต้องทำร้ายอย่างถึงที่สุดก็คือนางเช่นกัน…

หากว่าเป็นไปได้ เขาปรารถนาจะปกป้องนางไว้ใต้ปีกของตนยิ่งนัก ไม่มีวันปล่อยมือ แต่ว่าเขาทำไม่ได้…

เขาวางแผนอย่างแยบยล คิดคำนวณจัดการทุกอย่างไว้อย่างดี สามารถทำให้นางใช้ชีวิตอย่างสง่าผ่าเผยไปทั้งชาติได้ กลับนึกไม่ถึงว่าชะตาสวรรค์จักเล่นงานคน อาคมของเขาไม่ได้ผลกับร่างนาง ดังนั้นเขาจึงทำได้เพียงเมื่อผิดแล้วก็ผิดต่อไป…

เขาหลุบตามองกำไลบนข้อมือ ยามที่หมั้นหมายกันครานั้นเขาก็นึกไม่ถึงเช่นกันว่ากำไลคู่นี้จะปรากฏขึ้นบนข้อมือเขากับนาง คู่สวรรค์สรรสร้าง เขาก็เคยนึกว่าเป็นสวรรค์สรรสร้างให้เช่นกัน…

ถึงขั้นที่หลงนึกว่าด้วยกำไลวงนี้อาจทำให้ชะตาชีวิตของเขาพลิกผันไปก็ได้ นึกไม่ถึงว่าไม่เพียงไม่พลิกผันเท่านั้นกลับหนักหนายิ่งกว่าเดิมเสียอีก…

มองเห็นนางกรอกสุราเสมือนกรอกน้ำ มองเห็นนางร้องเพลงร่ายรำภายใต้แสงจันทรา…

เหตุการณ์เหล่านี้ในแปดปีที่ผ่านมาไม่รู้ว่าเกิดขึ้นมาสักกี่ครั้งแล้ว ตัวนางในยามนั้นมีความสุขเสมือนเด็กน้อยคนหนึ่ง ทำตัวออดอ้อนเง้างอนต่อหน้าเขาเหมือนเด็กเล็กๆ

แต่ตัวนางในยามนี้เล่า?

กู้ซีจิ่วดื่นจนเมามายไปแล้ว!

การดื่มสุราครั้งนี้เธอไม่ใช่ใช้เคล็ดวิชาอันใดขับสุราออกมา ประกอบกับอารมณ์ไม่ดีอยู่ ดื่มสุราเข้าไปอย่างดุเดือด เบื้องหน้าเธอจึงหมุนกลับตาลปัตรเป็นพักๆ จึงนั่งพิงใต้ต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งเสียเลย พูดคุยเรื่อยเปื่อยกับหลานเฝ่ย พลางสัปหงกไปด้วย

“ซีจิ่ว เจ้าเมาแล้ว มาเถอะ ข้าจะไปส่งเจ้ากลับ”

หลานเฝ่ยยื่นมือหมายจะพยุงเธอขึ้นมา

กู้ซีจิ่วผลักเขาออกไป “ข้าเพียงมึนเมาอยากหลับใหล มิใช่อยากไปดื่มอีกสามร้อยจอก!” เธอก็จำไม่ได้เช่นกันว่าเห็นสองวลีนี้มาจากนิยายเล่มใด ยามนี้เพียงเอ่ยโพล่งออกมาก็เท่านั้น

หลายเฝ่ยค่อนข้างงุนงง

หลายวันมานี้กู้ซีจิ่วเหนื่อยมากจริงๆ มักจะนอนไม่หลับตลอดทั้งคืนอยู่เสมอ ยามนี้เมื่อดื่มจนเมามายเช่นนี้ เธอจึงผล็อยหลับไป ซ้ำยังหลับสนิทยิ่งนักด้วย

หลายเฝ่ยเรียกเธออยู่หลายครั้ง เธอล้วนไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองใดเลย

เธอพิงอยู่ใต้ต้นไม้ แพขนตาดั่งเล่มพัดหลุบลู่อยู่บนด้านล่างดวงตา ทิ้งเงาสลัวๆ ไว้

ดวงหน้าขึ้นสีชมพูอ่อนจาง ริมฝีปากแดงเรื่อ

เธอในยามหลับใหลมีความแข็งกร้าวน้อยกว่ายามตื่น มีความอ่อนแอไร้ที่พึ่งอยู่หลายส่วน ทำให้คนอยากโอบกอดเอาไว้ยิ่งนัก

หลายเฝ่ยกลืนน้ำลายเล็กน้อย เขยิบเข้าใกล้นาง ทาบริมฝีปากลงบนปากของนางอย่างระมัดระวัง…

————————————————————————————-

บทที่ 1579 ความพิโรธของท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ 1

สายลมพลันโหมกรรโชกขึ้น เบื้องหน้าหลานเฝ่ยพร่ามัว เขายังไม่ทันมีปฏิกิริยาตอบสนอง ร่างกายก็หมุนกลิ้งออกไปดั่งกังหันลมแล้ว!

ชนเข้ากับต้นไม้จนเกิดเสียงดัง ‘ปัง!

แรงกระแทกนี้เปรียบเสมือนดางหางพุ่งชนโลก ต้นไม้ใหญ่ต้นนั้นส่งเสียงแกรกกรากแล้วหักโค่นทันที ล้มลงเสียงดังสนั่น

ในอาณาจักรเงือก วรยุทธ์ของหลานเฝ่ยก็เป็นเลิศเช่นกัน ยามปกติแล้วคนหลายร้อยคนก็ไม่อาจเข้าใกล้ร่างเขาได้ในคราวเดียว แต่การโจมตีครั้งนี้รวดเร็วและรุนแรงเกินไป ไม่มีแม้แต่เวลาให้เขาตอบสนองด้วยซ้ำ!

ยามที่ปฏิกิริยาตอบสนองเขากลับคืนมา ร่างกายเขาก็ล้มอ่อนยวบอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่แล้ว อวัยวะภายในตันห้ากลวงหก[2]ราวกับเคลื่อนตำแหน่งไปแล้ว เจ็บปวดจนสายตาเขามืดมัวเป็นพักๆ มึนงงจนมองเห็นดาวทองลอยวิบวับ

ยากนักกว่าเขาจะกระเสือกกระสนลุกขึ้นมาได้ ดาวทองและหมอกครึ้มเบื้องหน้าสลายไปแล้ว เขามองเห็นบุรุษชุดขาวคนหนึ่งยืนอยู่ข้างกายกู้ซีจิ่ว

หน้ากากภูตผีดุร้ายสีเงิน อาภรณ์ขาวโบกพลิ้วปลิวไสว คล้ายว่าต้องการจะหลุดจากร่างไป

บุรุษผู้นั้นมีดวงตาลึกล้ำดั่งท้องนภายามราตรี นัยน์ตาคู่นั้นคล้ายมีดวงดาวหนาวยะเยือกกำลังลุกโชนอยู่

ทุ่งหญ้าแห่งนี้เดิมทีค่อนข้าวหนาวเย็น ทว่ายามนี้กลับมีความอบอุ่นล่องลอยขึ้น คลื่นความร้อนกรุ่นขึ้นมา ต้นหญ้าเขียวขจีบนพื้นขดม้วนหงิกงอราวกับถูกเผาจนแห้ง

หยาดเหงื่อผุดพรายทั่วศีรษะหลานเฝ่ย ครึ่งหนึ่งเพราะเจ็บ อีกครึ่งหนึ่งเพราะร้อน ซ้ำยังมีความตกใจอีกกึ่งหนึ่งด้วย!

คนที่อยู่เบื้องหน้าผู้นี้เขาก็นับว่าคุ้นเคยเช่นกัน

….ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์!

ราชครูของอาณาจักรเงือกลึกลับที่สุด และเป็นผู้กุมบังเหียนอาณาจักรเงือกตัวจริง

ถึงแม้เขาจะมาที่อาณาจักรเงือกไม่บ่อยนัก แต่ทุกครั้งที่ปรากฏตัวล้วนเป็นยามที่อาณาจักรเงือกเกิดเรื่องราวใหญ่โตขึ้น ไม่ว่าจะเกิดความวุ่นวายภายนอกหรือความวุ่นวายภายใน เขาก็จะใช้กำลังเข้าสยบความวุ่นวายอย่างรวดเร็วดั่งเข็มเทพสะกดทะเล[3]…

เขาเป็นเทพผู้พิทักษ์ของชาวเงือก หลานเฝ่ยก็เคยเห็นเขาจากที่ไกลๆ อยู่แวบหนึ่ง

อำนาจบนร่างคนผู้นี้แข็งแกรงเหลือเกิน หลานเฝ่ยเห็นแวบเดียวก็เกิดความประทับใจอย่างลึกล้ำ

และยามนี้คนผู้นี้เสมือนทวยเทพที่ทอดตามองเหล่าเวไนยสัตว์ กลิ่นอายบนร่างแผ่ออกมาเต็มที่! แรงกดดันมหาศาลถาโถมออกมา หลานเฝ่ยรู้สึกเพียงว่าไอเย็นเยียบคืบคลานแผ่ลามไปทั่วร่าง เขาแข็งทื่อไปทั้งร่าง ราวกับถูกกดทับด้วยน้ำหนักที่หนักอึ้ง สองขาอ่อนยวบ คุกเข่าลงไปอีกครั้งทันที!

เดิมทีเขาคิดจะคำรามออกมาอย่างโกรธเกรี้ยว แต่พอถูกอานุภาพของอีกฝ่ายกดทับไว้ แม้แต่วาจาเขาก็เปล่งไม่ออกเลย

ในชั่วขณะหนึ่ง เขาเกือบนึกว่าอีกฝ่ายจะสังหารเขาเสียแล้ว! ซ้ำยังเป็นการสังหารแบบมิให้ซากศพครบถ้วนสมบูรณ์ด้วย หยาดเหงื่อเย็นเฉียบไหลลงมาจากขมับทันที!

เคราะห์ดีที่เสียงดังกึกก้องนั้นทำให้กู้ซีจิ่วที่นอนหลับอยู่ตรงนั้นขยับตัวเล็กน้อย คล้ายว่าแรงกดดันมหาศาลบนร่างตี้ฝูอีจะทำให้เธออึดอัดไปด้วย คิ้วจึงมุ่นแน่น

แม้จะเป็นเพียงความเคลื่อนไหวเล็กน้อยยิ่งนัก ทว่ากลับทำให้ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ผู้อยู่ในสภาวะโกรธเกรี้ยวได้สติกลับมา เขาเหลียวมองนางแวบหนึ่ง มองเห็นแพขนตานางไหวระริกสองครา นัยน์ตาที่ปรือปรอยด้วยฤทธิ์สุราก็ลืมขึ้นแล้ว

เพียงแต่เธอยังไม่ทันได้เห็นคนที่อยู่ตรงหน้าชัดเจน ตี้ฝูอีก็โบกแขนเสื้อพรึ่บ กู้ซีจิ่วหลับใหลไปอีกครา

ต้นไม้นั้นที่เธอพิงอยู่ค่อนข้างเพรียวบาง เมื่อเธอขยับตัวเช่นนี้จึงโอนเอน เอนโน้มลงไปเบื้องล่าง และใต้ร่างของเธอก็มีเศษไม้จำนวนหนึ่งอยู่ หากว่าเธอล้มหงายลงไปจะต้องถูกทิ่มแทงเป็นแน่…

ขณะที่ร่างกายของเธอเจียนจะล้มหงายลงไป ก็ร่วงลงในอ้อมแขนของคนผู้หนึ่ง

ในอ้อมแขนนั้นมีกลิ่นแผ่วจาง กู้ซีจิ่วที่เดิมทีหลับสนิทอยู่กลับขมวดคิ้วขึ้นมารางๆ คล้ายว่าไม่อยากได้กลิ่นนี้ เธอขยับตัวเล็กน้อย แม้อยู่ในห้วงนิทราก็ยังดิ้นรนขัดขืน

การดิ้นรนหลังจากที่นางเมามายเช่นนี้สำหรับตี้ฝูอีแล้ว เป็นเพียงสายฝนแผ่วปรอยเท่านั้น เขาหลุบตามองนางแวบหนึ่ง คล้ายจะนึกไม่ถึงว่าขนาดตนใช้มนต์หลับใหลแล้วนางก็ยังมีทีท่าว่าจะตื่นขึ้นมาอยู่

ชัดเจนว่าตัวนางในยามนี้ระแวดระแวงผู้อื่นอย่างลึกล้ำแล้วจริงๆ ต่อให้เมามายก็ยังเหมือนลืมตาไว้ข้างหนึ่งอยู่

————————————————————————————-

[1]ขออำนวยชัยให้อายุมั่นขวัญยืน เป็นบทเพลงที่ขับร้องโดย เติ้งลี่จวิน นักร้องสาวผู้เป็นตำนาน โดยในบทเพลงนี้ได้มีการสอดแทรกบทกวีของยอดกวีซูตงผอเอาไว้ด้วย เป็นบทเพลงที่นิยมร้องในเทศกาลไหว้พระจันทร์

[2]อวัยวะภายตันห้ากลวงหก อวัยวะตันห้าได้แก่ ตับ หัวใจ ม้าม ปวด ไต อวัยวะกลวงหกได้แก่ ถุงน้ำดี กระเพาะอาหาร ลำไส้เล็ก ลำไส้ใหญ่ กระเพาะปัสสาวะ และซานเจียว ซานเจียวเป็นแนวคิดของอวัยวะที่หกในการแพทย์แผนจีน ซึ่งไม่มีระบุในการแพทย์แผนตะวันตก

[3]เข็มเทพสะกดทะเล เป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลายในฐานะกระบองทองคู่ใจของซุนหงอคง เดิมเป็นเข็มวิเศษยืดได้หดได้ ปักอยู่ที่สะดือทะเลเพื่อสะกดไม่ให้มหาสมุทรเกิดคลื่นลมปั่นป่วน