บทที่ 21 คนที่อยู่ข้างห้อง

ย้อนเวลาแค้น (重生之千金有点狠)

บทที่ 21 คนที่อยู่ข้างห้อง

มู่หรงเสวี่ยที่กำลังคิดว่าตัวเองควรจะบอกให้อีกฝ่ายว่า น้ำแห่งจิตวิญญาณสามารถล้างสารพิษและขับของเสียจากร่างกายได้ดีหรือไม่นั้น ก็บอกเขาว่า

“อย่าขยับนะคะ ฉันจะล้างแผลให้คุณเอง พอดีว่าฉันเป็นหมอค่ะ สำหรับฉัน คุณก็แค่คนไข้คนหนึ่งเท่านั้น”

ชูอี้เสิ่นเงียบไปครู่หนึ่ง หลังจากนั้นก็ตอบกลับไปว่า “อ่ะ ก็ได้ครับ…”

มู่หรงเสวี่ยปลดเข็มขัดของชูอี้เสิ่นอย่างระมัดระวัง และดึงกางเกงของอีกฝ่าย เหลือไว้เพียงชั้นในเท่านั้น และใช่ ว่ามีรูปของวัตถุสีเข้มอ่อนอยู่ที่บริเวณขาของเขาเช่นกัน
บรรยากาศแปลกๆนี่มันอะไรกัน?

มู่หรงเสวี่ยที่ได้เกิดใหม่อีกครั้งอดไม่ได้ที่จะหน้าแดงและหัวใจเต้นรัว
ชูอี้เสิ่นรู้สึกถึงมือเย็นๆของมู่หรงเสวี่ย และผ้าขนหนูชุ่มน้ำที่กำลังถูอยู่ที่ขาของเขา

แววตาที่เอาใจใส่ของหญิงสาวตรงหน้า ดูเหมือนจะเห็นสิ่งที่กำลังเช็ดไม่ใช่ขาของเขาแต่เป็นสมบัติล้ำค่า
เมื่อคิดได้แบบนี้แล้ว เขาถึงกับมีปฏิกิริยาตอบสนองขึ้นมา
ฉิบ! ควบคุมตัวเองไม่ไหวแล้ว…

ในตอนนี้ ปลายหูของชูอี้เสิ่นขึ้นสีแดงระเรื่อ
มู่หรงเสวี่ยมองดูส่วนที่ปูดบวมของใครบางคนขึ้นมาอยู่ครู่หนึ่ง แล้วก็หันหน้าไปมองเขาด้วยความอับอายและไม่พอใจ แต่หลังจากนั้นก็นึกขึ้นมาได้ว่ามันเป็นเรื่องปกติของผู้ชายจะมีปฏิกิริยาแบบนี้ เมื่อมีคนเช็ดบริเวณรอบๆมัน

อย่างไรก็ตาม เธอเร่งมือทำความสะอาดให้เรียบร้อย และลุกขึ้นไปเทน้ำ จากนั้นเธอก็หยิบผ้านวมผืนบางมาให้อีกฝ่ายห่ม
“คืนนี้ คุณนอนตรงนี้นะ งั้น ฉันขอตัวไปพักผ่อนก่อนนะคะ ฝันดีค่ะ” จากนั้นเธอก็วิ่งกลับไปที่ห้องและปิดประตูดัง ปัง!

มู่หรงเสวี่ยที่ที่หน้าขึ้นสี หัวใจเต้นแรงปิดประตู แล้วโขกหัวกับประตูอยู่สองสามครั้ง อ๋า น่าอายชะมัด!

ด้านชูอี้เสิ่นก็มีอาการไม่ต่างกับเธอเลยสักนิด
นี่เป็นครั้งแรกในรอบ 22 ปีเลยนะ! น่าอายชะมัด! กลิ่นหอมจางๆของหญิงสาวบนผ้าห่มทำให้หัวใจของเขาเต้นรัว…
มีหวัง คืนนี้ เขานอนไม่หลับแน่

เช้าวันรุ่งขึ้น มู่หรงเสวี่ยค่อยๆเดินข้ามชูอี้เสิ่นที่กำลังนอนหลับอย่างระมัดระวัง เธอเดินตรงไปที่ห้องครัวเพื่อเตรียมอาหารเช้า มู่หรงเสวี่ยต้มโจ๊กให้คนป่วยหนึ่งถ้วย

ไม่ต้องสงสัยว่าทำไมเธอถึงรู้วิธีทำอาหาร เพราะในชีวิตที่แล้ว เธอต้องการทำให้ฟางฉีฮัวพอใจ

มู่หรงเสวี่ยถึงขั้นสมัครฝึกอบรมการทำอาหารเพื่อลงมือต้มซุปให้เขา ฝีมือการปรุงของเธอได้รับคำชมจากเชฟระดับมาสเตอร์เชฟเลยนะจะบอกให้!

อย่างไรก็ตาม คนที่เพลิดเพลินกับฝีมือการทำอาหารที่เธอใช้เวลาฝึกฝนถึงสองปีไม่เคยให้รางวัลแก่เธอเลย แต่เธอก็ยังรู้สึกพอใจมากที่ได้เห็นคนที่ตัวเองรักทานอาหารของตัวเอง

วันนี้ เมื่อมองดูอาหารของตัวเองแล้ว เธอกลับคิดว่ามันเป็นเรื่องที่ตลกสิ้นดี

ชูอี้เสิ่นที่ตื่นนอนและลืมตาขึ้นมาเห็นเด็กสาวสวมเสื้อผ้าที่เรียบง่ายกับผ้ากันเปื้อนลายการ์ตูน แถมยังผูกโบน่ารักๆตรงข้างหลังอีก

ตอนนี้ มู่หรงเสวี่ยกำลังหมกมุ่นกับการเตรียมอาหารในครัว เสียงตะหลิวที่กระทบกับกระทะส่งเสียง ทำให้เขารู้สึกอบอุ่นมาก คิดๆดูแล้ว ความสุขคงมีหน้าตาประมาณนี้ล่ะมั้ง?

มู่หรงเสวี่ยที่ยกอาหารเช้าออกมาจากครัว เห็นชูอี้เสิ่นกำลังพยายามลุกขึ้นยืน รีบวางอาหารเช้าลง จากนั้นก็รีบเดินไปที่โซฟาที่มีชูอี้เสิ่นนอนอยู่

“ช้าก่อนค่ะ เดี๋ยวฉันจะช่วยคุณเอง”
“ไม่เป็นไรครับ วันนี้ผมรู้สึกดีขึ้นแล้ว” เขาไม่อยากเป็นภาระของอีกฝ่ายไปมากกว่านี้ ถึงบาดแผลจะยังไม่หายดี แต่เขาก็รู้สึกสบายตัวมากกว่าเมื่อวาน แถมจิตใจของเขาก็รู้สึกดีมากด้วย

ชูอี้เสิ่นคิดว่าการรักษาของมู่หรงเสวี่ยนั้นยอดเยี่ยมสุดๆ
มู่หรงเสวี่ยเห็นผ้านวมเลื่อนลงต่ำกว่าระดับอกของ ชูอี้เสิ่น เผยให้เห็นรอยแผลจากเมื่อวาน

ทันใดนั้น เธอก็สังเกตเห็นว่า ชูอี้เสิ่นไม่ได้เปลี่ยนเสื้อผ้า อีกฝ่ายยังคงสวมชุดแบบเมื่อวานเป๊ะๆ ไม่ได้การแล้ว เสื้อผ้าพวกนี้สกปรกเกินไปแล้ว

“คุณรอฉันแป๊บนะคะ เดี๋ยวฉันลงไปซื้อชุดใหม่มาให้เปลี่ยน” พูดจบ มู่หรงเสวี่ยก็เดินตรงไปที่ประตู
“เดี๋ยวก่อน! คุณแค่เดินไปที่ห้องข้างๆ แล้วหยิบเสื้อผ้ามาให้ผมก็ได้ครับ รหัสคือศูนย์หกตัว” ชูอี้เสิ่นรีบกล่าว

“ห๊ะ?! ห้องข้างๆนี้เป็นของคุณเหรอคะ? ฉันนึกว่าห้องนั้นไม่มีคนเช่า…” มู่หรงเสวี่ยย้ายมาที่อะพาร์ตเมนต์นี้หลายวันแล้ว แต่กลับไม่เคยเห็นว่าจะมีคนเข้าหรือออกห้องนั้นเลยสักครั้ง

งั้นก็ไม่แปลก เมื่อคืน ชูอี้เสิ่นบินมาที่ระเบียงห้องเธอ บางที เขาอาจอยากกลับห้องตัวเอง แต่ได้รับบาดเจ็บ ถึงได้ลงจอดผิดตำแหน่งไปหน่อย เรื่องมันเป็นแบบนี้นี่เอง!

“เอ่อ ผมชื่อ ชูอี้เสิ่น ผมเป็นเพื่อนบ้านของคุณ แล้วก็ขอบคุณมากครับที่ช่วยผมไว้เมื่อวาน…” ชูอี้เสิ่นโชว์ฟันขาว ใบหน้าหล่อเหลาและรอยยิ้มที่สดใสของเขา ทำให้มู่หรงเสวี่ยใจกระตุกในทันที

หลังจากนั้นไม่นาน มู่หรงเสวี่ยก็พบว่าตัวเองจ้องมองใบหน้าของอีกฝ่ายแถมยังหน้าแดงแจ๋อีกด้วย

“ส..สวัสดีค่ะ ฉันชื่อ มู่หรงเสวี่ย ฉันเป็นแค่นักเรียนมัธยมปลาย… เอ่อ ฉันจะไปหยิบเสื้อผ้ามาให้คุณเปลี่ยนก่อนนะคะ คุณจะกลับห้องหลังจากที่ทานอาหารเช้าเสร็จแล้วก็ได้นะคะ” จากนั้น มู่หรงเสวี่ยก็หมุนตัวเดินไปทางประตู

ชูอี้เสิ่นเห็นใบหน้าที่งดงามของมู่หรงเสวี่ยเหมือนกับก้อนเมฆสีกุหลาบ เป็นครั้งแรกที่ เขารู้สึกมีความสุขกับการปรากฏตัวของเธอ

อีกฝ่ายเป็นแค่นักเรียนม.ปลาย ขืนเขาคิดเรื่องแบบนั้นมันจะไม่ดูเกินวัยไปหน่อยเหรอ?!!

มู่หรงเสวี่ยเปิดประตูห้องของชูอี้เสิ่น และเห็นว่าภายในห้องดูสะอาดและเป็นระเบียบมาก การตกแต่งด้วยสีดำและสีขาวทำให้มันทันสมัยและเรียบง่าย และเย็นชาเหมือนกับเจ้าของ อย่างว่าและ เจ้าห้องเป็นยังไง ห้องก็เป็นแบบนั้นแหละ

มู่หรงเสวี่ยไม่ได้สนใจมันเท่าไหร่ เธอเดินตรงเข้าไปที่ห้องนอน เปิดตู้เสื้อผ้าโดยไม่ขออนุญาต และเลือกชุดลำลองมาหนึ่งตัว ตอนนี้เขาบาดเจ็บที่หน้าอก ให้สวมเสื้อผ้าหลวมๆหน่อยก็แล้วกัน

เมื่อเลือกชุดได้แล้ว มู่หรงเสวี่ยก็เดินกลับมาที่ห้องของตัวเอง แล้วส่งเสื้อผ้าให้ชูอี้เสิ่น “นี่ค่ะ เอ่อ… คุณใส่เองได้ไหมคะ”

“อ่ะ ได้ครับๆ” พูดจบ ชูอี้เสิ่นก็ยื่นมือไปรับเสื้อผ้าจาก มู่หรงเสวี่ย แล้วค่อยๆเดินเข้าไปในห้องน้ำ

มู่หรงเสวี่ยเห็นเท้าของอีกฝ่ายก้าวเดินช้าๆ กันไม่ให้ตัวเองล้มลงได้อีก

ทันใดนั้น มู่หรงเสวี่ยก็คว้าโทรศัพท์แล้วต่อสายไปที่โรงเรียน พร้อมกับโกหกว่า วันนี้เธอป่วยจึงขอลาหยุดหนึ่งวัน เพราะวันนี้เธอต้องไปเล่นพนันหินในเมือง

ชูอี้เสิ่นและมู่หรงเสวี่ยที่เปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้วได้รับประทานอาหารเช้าด้วยบรรยากาศที่แสนจะอบอุ่น

อย่างน้อย ชูอี้เสิ่นก็รู้สึกเช่นนั้น แถมเขายังคิดว่าอาหารเช้าในเช้าวันนี้ ก็เป็นอาหารเช้าที่อร่อยที่สุดที่เคยทานมาเลยด้วยซ้ำ
หลังจากนั้นไม่นาน เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น “สวัสดีครับ คุณหนู ตอนนี้คุณหนูสะดวกหรือเปล่าครับ”

“คุณกู่หมิง ฉันขอเวลาอีกประมาณครึ่งชั่วโมงค่ะ แล้วเราค่อยไปเจอกันที่ร้านใหม่ของเป่าหยูก็ได้ค่ะ ฉันจะแวะไปดูว่าตกแต่งร้านถึงไหนแล้ว”

เมื่อได้เรื่องแล้ว มู่หรงเสวี่ยจึงวางสายไป
หลังจากที่วางสายแล้ว มู่หรงเสวี่ยหันไปถามชูอี้เสิ่นว่า “คุณชู อีกเดี๋ยว ฉันต้องไปธุระข้างนอก คุณมีอะไรอีกไหมคะ?”

“อ้อ เธอจะเรียกฉันว่าอี้เสิ่นหรือเสิ่นก็ได้นะ ไม่ต้องสุภาพหรอก คนกันเอง” ชูอี้เสิ่นไม่อยากให้มู่หรงเสวี่ยสุภาพกับเขามากเกินไป จากนั้นเขาก็เอาแต่คิดว่า ใครกันที่โทรมาหาเธอเมื่อกี้

“อ่า..?” มู่หรงเสวี่ยอยากถามว่า เอาจริงดิ!!!!
“อี้เสิ่น หรือ เสิ่น” ปากแข็งชะมัด!
“อ..อี้..อี้เสิ่น! อันนี้คือขวดน้ำและยารักษา คุณต้องกลับมาเปลี่ยนน้ำใหม่ทุกวันนะคะ จะได้เอาไว้ใช้ทำความสะอาดแผล แล้วก็ยารักษาบาดแผลเอาไว้รักษาอาการบาดเจ็บ ดูแลตัวเองดีๆนะคะ ฉันมีธุระต้องทำ เพราะฉะนั้น ขอตัวก่อนนะคะ บาย!”

ได้ยินชื่อตัวเองจากปากของมู่หรงเสวี่ยแล้ว ในที่สุด ก็มีใครบางคนรู้สึกพอใจมาก ผงกหัวหนึ่งครั้ง แล้วค่อยๆหยิบน้ำกับยาสองขวดอย่างระมัดระวัง แล้วเดินกลับห้องข้างๆ

ในเวลาเดียวกัน มู่หรงเสวี่ยเปลี่ยนเสื้อผ้า แล้วนั่งรถไปที่ถนนโบราณ
มู่หรงเสวี่ยต่อสายหากู่หมิงและขอตำแหน่งของร้านเป่าหยู ก่อนที่จะถึงร้าน เธอเห็นร่างของกู่หมิงจากระยะไกล

กู่หมิง ชายที่มีอายุแค่ 30 ต้น ๆ ถึงจะไม่ใช่คนที่หล่อมาก แต่เขามักจะดูดีอยู่ตลอด เขามีเสน่ห์ในแบบของผู้ใหญ่และมีจิตใจที่เด็ดเดี่ยว ทำให้คนอื่นรู้สึกปลอดภัยและนับถือเขา

“คุณหนู มาแล้วเหรอครับ” ทันทีที่มู่หรงเสวี่ยลงจากรถ กู่หมิงที่มีสายตาเฉียบคมเห็นเธอเข้า จึงรีบเดินเข้าไปกล่าวทักทาย
มู่หรงเสวี่ยยิ้มตอบ “พี่กู่ ฉันว่าพี่จะเรียกฉันว่า เสี่ยวเสวี่ย ดีกว่านะคะ พี่ก็เป็นเหมือนเพื่อนของฉัน ถ้าพี่เรียกฉันว่าคุณหนู มันออกจะฟังดูแปลกไปหน่อย…”

มู่หรงเสวี่ยพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ เมื่อมองไปที่เป่าหยูที่ดูจะเป็นรูปเป็นร่างบ้างแล้วการตกแต่งของร้านเป่าหยูเป็นสไตล์ย้อนยุค ส่วนใหญ่จะใช้ไม้ในการตกแต่ง แม้แต่โรงน้ำชาที่มีไว้สำหรับแขกที่มาที่ร้าน ยังใช้ไม้แกะสลักเป็นรูปดอกสาลี่ ทำให้รู้สึกเหมือนเป็นอยู่ในยุคโบราณ
เมื่อเห็นท่าทางพอใจของมู่หรงเสวี่ยแล้ว กู่หมิงก็รู้สึกโล่งใจขึ้นมา เพราะการทำให้มู่หรงเสวี่ยพอใจคือหน้าที่ของเขา
“งั้นพวกเราไปที่ร้านขายหินกันเถอะค่ะ”
“ได้เลยครับ”

“ฉันจะเลือกหิน แล้วค่อยนำมันไปเจาะต่อเอง เอ่อ คือว่า ร้านเรามีอาจารย์ตัดหินไหมคะ?”
“ครับ ผมได้คัดอาจารย์ที่มีความสามารถด้านการตัดหิน และยังมีชื่อเสียงในวงการนี้ด้วยครับ”

“พี่กู่ ตอนที่เราไปถึงร้านหิน พี่ไม่ต้องทำอะไรนะคะ แค่เชื่อใจฉันก็พอ” ในขณะที่กำลังเดินไปตามทาง มู่หรงเสวี่ยได้หันไปบอกเรื่องสำคัญกับกู่หมิง

กู่หมิงจ้องลึกเข้าไปในดวงตาที่แน่วแน่ของหญิงสาวและพยักหน้ารับ
ถึงเขาจะเชื่อใจและตัดสินใจที่จะทำตามความต้องการของอีกฝ่าย แต่เขาก็ยังอดไม่ได้ที่จะถามว่า “ครับ ว่าแต่คุณต้องการให้ผมจัดการอะไรให้อีกไหมครับ”

“ไม่มีแล้วค่ะ อ๊ะ ถึงแล้ว พวกเราเข้าไปดูหินกันก่อนดีกว่าค่ะ”
สถานที่แรกที่พวกเขาไปคือลานขายหินขนาดใหญ่เหมือนครั้งที่แล้ว ถึงตอนนี้จะยังเช้าอยู่ แต่ก็มีผู้คนจำนวนไม่น้อยมาถึงที่นี่ก่อนแล้ว

ทันใดนั้น มู่หรงเสวี่ยก็เห็นร่างที่คุ้นเคยสองคนในฝูงชน มุมปากของเธอกระตุกขึ้นเล็กน้อยแล้วก็หุบลงในทันที
ฟางฉีฮัวกับเสี่ยวเข่อลี่มาอยู่ที่นี่ได้ยังไงกัน! วันนี้มีเรียนวิชาวิทยาศาสตร์ไม่ใช่เหรอ? ตอนนี้ พวกเขาควรอยู่ที่โรงเรียนสิ!
ไม่แปลกที่ไม่นานมานี้ พวกเขาทั้งสองคนไม่ได้โผล่มาให้เธอเห็นหน้าเลย เหอะ ใจตรงกันจริงๆ

ตอนนี้ทั้งสองคนกำลังพูดคุยกัน จับมือกัน แล้วก็หัวเราะด้วยกัน
งั้นก็แสดงว่า ชีวิตที่แล้ว พวกเขาก็อยู่ด้วยกันมาตั้งแต่แรกสินะ? มองย้อนกลับไปแล้วไม่อยากจะเชื่อเลยว่า เธอถูกสองคนนี้สวมเขามาตั้งหลายปี!

ร่างกายมู่หรงเสวี่ยรู้สึกหนาวขึ้นมา เล็บอันแหลมคมได้ทิ่มแทงเข้าไปในเนื้อจนรู้สึกแสบ ขนาดว่าเกิดใหม่แล้ว สองคนนี้ก็ยังกล้าทำเรื่องแบบนี้ลับหลังเธอ กล้าดียังไง!!!

กู่หมิงเดินไปหยุดยืนข้างๆมู่หรงเสวี่ย เขาเห็นอีกมู่หรงเสวี่ยที่ตัวแข็งทื่อกำลังจ้องมองไปข้างหน้า

กู่หมิงจึงหันไปทางที่เธอกำลังมอง เขาเห็นเด็กชายหญิงสองคนอายุ 16 ปี เด็กผู้ชายหน้าตาดีและอ่อนโยน ส่วนเด็กผู้หญิงดูบอบบางและน่ารัก ทั้งคู่อยู่เหมือนคู่รักวัยหนุ่มสาวที่เหมาะสมกันมาก

“เสี่ยวเสวี่ย เป็นอะไรรึเปล่า เธอรู้จักสองคนนั้นเหรอ?”
มู่หรงเสวี่ยก้มหน้าพยายามสะกดความรู้สึกที่ปั่นป่วนที่ฉายออกมาทางสายตา

“ค่ะ ก็แค่ ‘คนรู้จัก’ ทั้งสองคนเป็นเพื่อนร่วมชั้นของฉันเอง” มู่หรงเสวี่ยตอบโดยเน้นไปที่คำว่า ‘คนรู้จัก’
“งั้นฉันขอไปทักทายพวกเขาก่อนนะคะ” มู่หรงเสวี่ยถอนลมหายใจออกมาเฮือกใหญ่ จากนั้นก็หมุนตัวเดินตรงไปหาเด็กสาวคนหนึ่ง ที่มีท่าทางเหมือนจะยังไม่คุ้นเคยกับที่นี่

“เข่อลี่หรอ? ทำไมเธอถึงมาอยู่ที่นี่ได้ล่ะ?” จากนั้น เธอก็หยุดยืนอยู่ตรงหน้าคนทั้งสอง แล้วเหลือบมองมือของฟางฉีฮัวกับเสี่ยวเข่อลี่ที่กำลังจับกันแน่นและไม่มีวี่แววว่าจะแยกออกจากกันเลย
มู่หรงเสวี่ยกล่าวต่อว่า “อ้อ มาเดตนี่เอง!”
ดูเหมือนฟางฉีฮัวกับเสี่ยวเข่อลี่จะตกใจมากกว่าเธอ ถึงได้ทำหน้าตกใจมาก

นี่ ฉันก็คนนะ ไม่ใช่ผี ตกใจอะไรขนาดนั้นอ่ะ…
ในตอนที่มู่หรงเสวี่ยเดินมาทักทาย ฟางฉีฮัวก็ปล่อยมือจากเสี่ยวเข่อลี่ทันที โดยที่เสี่ยวเข่อลี่ไม่ได้โกรธเขาเลยแม้แต่น้อย

“เสี่ยวเสวี่ย เธอพูดอะไรน่ะ? พวกเราไม่ได้มาเดตกันสักหน่อย แล้ว ทำไมเธอถึงมาอยู่ที่นี่ได้ล่ะ? เสี่ยวเข่อลี่ที่หน้าแดงแจ๋ดูน่ารักมากเอ่ยถามมู่หรงเสวี่ย

จากนั้น เสี่ยวเข่อลี่ก็ได้หันมองกู่หมิงที่อยู่ข้างๆ เธอกำลังคิดหาคำตอบว่ากู่หมิงคือใคร? ทำไมถึงได้มากับมู่หรงเสวี่ยได้?
มู่หรงเสวี่ยเปิดปากว่า “เขาคือพี่กู่ พอดีว่าแม่อยากให้ฉันมาที่นี่กับเขาน่ะ แล้ว พวกเธอมาที่นี่ได้ยังไงล่ะ?” แน่นอนว่าเธอไม่มีทางเผยไพ่ตายเร็วๆหรอก

“พวกเราก็แค่มาเที่ยว บังเอิญน่ะ พอดีคนที่บ้านฉันพูดถึงที่นี่ แล้วเสี่ยวเข่อลี่ก็สนใจพอดี พวกเราก็เลยมาด้วยกัน” ฟางฉีฮัวตอบด้วยรอยยิ้ม แต่ดวงตากำลังจ้องมองมู่หรงเสวี่ย เหมือนต้องการอธิบายให้อีกฝ่ายเข้าใจ

มู่หรงเสวี่ยแสยะยิ้ม ในชีวิตที่แล้ว เธออยู่กับฟางฉีฮัวมาตั้งนาน กว่าจะรู้ว่าเขามีธุรกิจเครื่องประดับตั้งแต่ยังเป็นนักเรียน

หนึ่งในหุ้นส่วนของเขา ฉินเจียนซู บุตรชายคนโตของตระกูลฉินแห่งเมืองหลวง เธอไม่รู้ว่าเขารู้จักกับฉินเจียนซูได้ยังไง แต่ตอนนี้ เธอคงทำใจเชื่อในสิ่งที่เขาพูดเมื่อกี้ไม่ลง

ฟางฉีฮัวช่ำชองเรื่องการมองหินพนันมาก และสายตาของเขาก็ดีมาก เธอรู้ดีว่าเขามาที่นี่เพื่อซื้อหิน

“พี่กู่บอกว่าเขาอยากให้ฉันมาซื้อหินด้วยกันน่ะ พี่กู่ พวกเราไปดูหินตรงนู้นกันดีกว่าค่ะ ส่วนพวกเธอก็ตามสบายเลยนะ ขอให้สนุกจ้า” มู่หรงเสวี่ยจูงกู่หมิงให้เดินไปทางหินที่วางอยู่อีกฝั่งหนึ่ง

ฟางฉีฮัวที่ต้องซื้อหิน จึงไม่ได้รั้งเธอไว้

แน่นอนว่าเสี่ยวเข่อลี่ไม่มีทางปล่อยให้ฟางฉีฮัวต้องเดียวดาย จึงเดินตามเขาไปด้วย
เสี่ยวเข่อลี่หลงใหลในสติปัญญาและความลึกลับของฟางฉีฮัว เขาเป็นคนฉลาดและมีอำนาจ ครั้งแรกที่เธอได้พบกับฟางฉีฮัว เธอก็รู้ว่าฟางฉีฮัวไม่ใช่คนธรรมดา

ฟางฉีฮัวที่ทั้งหล่อทั้งฉลาด ทำให้เสี่ยวเข่อลี่ตกหลุมรักอีกฝ่ายตั้งแต่แรกพบ