บทที่ 22 เลือกหิน

ย้อนเวลาแค้น (重生之千金有点狠)

บทที่ 22 เลือกหิน

นับวัน ความสามารถในการมองเห็นของมู่หรงเสวี่ยดีขึ้นเรื่อย ตอนนี้เธอไม่รู้สึกเวียนหัวหรือหมดแรงเหมือนครั้งแรกที่เธอใช้พลัง ดูเหมือนว่าขอบเขตในการมองของเธอได้เพิ่มขึ้นแล้ว

เธอตัดสินใจที่เริ่มจากการพนันหินที่มีราคาถูก เนื่องจากว่าเธอต้องซื้อของจำนวนมาก ถึงจะเป็นแค่หยกธรรมดาเธอก็จะซื้อ เพราะมันได้กำไร

มู่หรงเสวี่ยใช้รถเข็นชนิดพิเศษที่มีไว้สำหรับการบรรทุกหิน สำหรับลูกค้าที่ต้องการซื้อหินจำนวนมากโดยเฉพาะ

มู่หรงเสวี่ยใช้พลังจิตในการเลือก ในตอนที่เธอเจอชิ้นที่มีของอยู่ข้างใน เธอก็โยนมันลงในรถเข็นทันที โดยไม่ลืมที่จะหยิบชิ้นที่ไม่มีของข้างในไปด้วย

เธอไม่ได้นำมันมาเจาะหาหินในทันที แต่จะนำมันกลับไปให้อาจารย์ตัดหินประจำบริษัทเจาะหาแทน

ถ้าเกิดว่าเจาะที่นี่ เดี๋ยวมันจะเป็นที่ดึงดูดสายตาเกินไป เพราะถ้าเกิดเจาะแล้วดันเจอของมีค่าขึ้นมา เธอคงต้านทานสายตาละโมบจากคนอื่นไม่ไหวแหงๆ

กู่หมิงที่กำลังตรวจสอบหินด้วยความรอบคอบ อึ้งกับพฤติกรรมแปลกๆของมู่หรงเสวี่ย
ส่วนคนที่ยืนอยู่ข้างๆกู่หมิง ถึงกับซุบซิบกันแล้วก็ส่ายหัวไปมา
“ก็แค่เด็กอยากลองของ”
“เด็กนี่ไม่รู้วิธีพนันด้วยซ้ำ แยกไม่ออกรึไง”
“โห นั่นกล้าหยิบลงรถเข็นทั้งๆที่ไม่ตรวจสอบสักหน่อยเหรอ ใช้ไม่ได้เลยจริงๆ”
“เด็กคนนั้นจะรู้จักวิธีใช้เงินไหม?”
“ …… ”
คนรอบข้างต่างคิดว่าเป็นคุณหนูของเขามาเที่ยวเล่นที่นี่ และนี่เป็นสิ่งที่มู่หรงเสวี่ยต้องการ

ยิ่งเธอซื้อมากเท่าไหร่ เธอก็ยิ่งดึงดูดความสนใจได้มากเท่านั้น ทำให้ผู้คนต่างคิดว่าเธอแค่มาเล่นเท่านั้น
“เสี่ยวเสวี่ย นี่เธอ… ” กู่หมิงที่เห็นว่ามีคนรอบตัวเขาเริ่มว่าร้ายเธอมากขึ้น จึงทนอยู่เฉยต่อไปไม่ไหว

มู่หรงเสวี่ยหันไปมองกู่หมิงด้วยสายตาที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ
“พี่กู่ พี่ลืมที่ฉันบอกพี่ไปก่อนหน้านี้แล้วเหรอคะ?! พี่แค่เชื่อใจฉันก็พอแล้ว ไม่ต้องไปสนคนอื่นหรอกค่ะ!”
เมื่อกู่หมิงได้ยินเธอพูดแบบนี้ เขาก็อยากจะช่วยเธอในทันที เขาเชื่อว่ามู่หรงเสวี่ยไม่ใช่คนที่ไม่มีหัวคิด
เธอต้องมีเหตุผลที่ทำให้เธอทำเรื่องแบบนี้ เขาต้องเชื่อใจและสนับสนุนเธอเท่านั้น เมื่อนึกถึงเรื่องนี้ เขารู้สึกผ่อนคลายมากขึ้น

“เสี่ยวเสวี่ย ฉันจะช่วยเธอเข็นรถเข็น อยากได้ชิ้นไหนก็ใส่มาเลย!”
กู่หมิงเชื่อใจเธอมาก จนเธออดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมาด้วยความสุข
รอยยิ้มของหญิงสาวเหมือนกับดอกไม้ที่บานสะพรั่ง มันน่าทึ่งมากจนทำให้กู่หมิงตกตะลึงไปชั่วขณะ

ในเวลาเดียวกัน ฟางฉีฮัวก็กำลังเดินตรงมาทางมู่หรงเสวี่ยจากทางด้านหลัง โดยมีเสี่ยวเข่อลี่เดินตามฟางฉีฮัวมาติดๆ

ในตอนที่เธอเห็นท่าทางแปลกๆของฟางฉีฮัว ก็รู้สึกเกลียดมู่หรงเสวี่ยขึ้นมาทันที

ถึงเสี่ยวเข่อลี่จะไม่แสดงมันออกมาให้อีกฝ่ายเห็น แต่เพราะชาติตระกูลของมู่หรงเสวี่ยนั้นดีกว่าเธอ แถมเรื่องหน้าตาก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าเธอเลย แล้วอย่างนี้ เธอจะชิงฟางฉีฮัวมาจากมู่หรงเสวี่ยได้ยังไงล่ะ?

เสี่ยวเข่อลี่ได้วางแผนบางอย่าง อีกไม่นาน เธอจะทำลายชื่อเสียงของมู่หรงเสวี่ยให้ได้!

ถึงตอนนั้น แม้มู่หรงเสวี่ยจะเป็นบุตรสาวคนโตของตระกูลมู่หรง เธอจะทำให้อีกฝ่ายตกต่ำ จนฟางฉีฮัวก็ไม่อยากเห็นหน้าเธอเลย คอยดูสิ
คิดได้ดังนั้น เสี่ยวเข่อลี่ก็รู้สึกดีขึ้นและปั้นยิ้มหวานอีกครั้ง

“เสี่ยวเสวี่ย ฉันรู้เรื่องหินพนันมานิดหน่อย เธออยากให้ฉันอธิบายให้ฟังไหม?” ฟางฉีฮัวเดินไปหามู่หรงเสวี่ยที่ยืนอยู่ข้างหน้า น้ำเสียงที่อ่อนโยนและรอยยิ้มของอีกฝ่าย ทำให้คนฟังรู้สึกดี

เว้นแต่มู่หรงเสวี่ย เธอไม่มีวันลืมว่า ชีวิตที่แล้ว เขาปฏิบัติต่อเธอยังไงบ้าง อีกฝ่ายกำลังล่อลวงเธอด้วยหิน

มู่หรงเสวี่ยได้ตอบเขาด้วยน้ำเสียงเย็นชาเล็กน้อย “ไม่เป็นไร ฉันแค่ซื้อมันมาเล่นๆน่ะ”
รอบข้างเธอเริ่มส่งเสียงดังขึ้น
ช่างเป็นเด็กที่เย็นชา ไม่มีมารยาท แล้วก็เอาแต่ใจจริงๆ!
ฟางฉีฮัวไม่ได้โกรธที่ถูกปฏิเสธ เขาคิดไว้แล้วว่ามู่หรงเสวี่ยจะต้องตอบแบบนี้ในฐานะบุตรสาวคนโตแห่งตระกูล ไม่แปลกที่จะเอาแต่ใจ

“งั้น ถ้าเธออยากฟังเมื่อไหร่ก็บอกนะ ฉันมีเวลาว่างให้เธอเสมอ”
เสี่ยวเข่อลี่ที่ถูกเมินไปแล้ว อยากมีส่วนร่วมจึงพูดขัด “เอาน่า เสี่ยวเสวี่ย ถึงเธอจะไม่รู้ก็ไม่เป็นไรนะ ฉีฮัว เขาไม่ได้ล้อเล่นนะ เมื่อกี้เขาก็อธิบายให้ฉันฟังเหมือนกัน ฉันว่ามันมีประโยชน์มากเลยนะ”

หืม ฉีฮัว? นี่พวกเธอจะสนิทกันเกินไปแล้วนะ! นี่ฉันอยู่ในแผนการของพวกเธอมาตลอดเลยสินะ

มู่หรงเสวี่ยยิ้มเยาะ “ไม่ล่ะ ถ้าฉันอยากรู้ ฉันจะให้พี่กู่อธิบายให้ฟังก็แล้วกัน พอดีว่า คุณแม่อยากให้ฉันศึกษาจากพี่กู่น่ะ ไหนๆก็จ่ายเงินแล้ว ฉันไม่อยากทำให้คุณแม่ผิดหวัง”

“ฮ่าฮ่า! สาวน้อยคนนี้น่าสนใจจริงๆ”
มู่หรงเสวี่ยถึงกับหันหน้าไปทางต้นเสียง เขาคือชายวัย 60 ปี ที่มีเส้นผมสีขาวเล็กน้อย สวมชุดจีนโบราณ บนชุดมีลวดลายมังกรปักด้วยด้ายสีเงิน แสงไฟที่ตกกระทบกับลายมังกรดูสดใส เหมือนกับว่ามันมีชีวิต

นี่เป็นครั้งแรก ที่มีคนที่สวมชุดที่คนทั่วไปไม่มีปัญญาซื้อ บ่งบอกให้เธอรู้ว่าชายชราคนนี้ไม่ใช่คนธรรมดา
มู่หรงเสวี่ยใช้ความคิดก่อนจะตอบอีกฝ่ายว่า ” ขอโทษนะคะที่รบกวนคุณ หนูก็แค่พูดไปเรื่อย ไม่ได้ตั้งใจจะว่าร้ายใครเลยจริงๆนะคะ”

สถานพนันแห่งนี้ มีคนจำนวนมากที่มีฐานะไม่ใช่คนธรรมดา เมื่อกี้เธอพูดมากเกินไปแล้ว จะดีกว่าถ้าเธอสามารถหักห้ามใจ และไม่รบกวนคนอื่นโดยไม่ได้ตั้งใจ

“ไม่เป็นไร สาวน้อย ฉันแค่ชอบความร่าเริงของเธอน่ะ เธอเหมือนกับหลานสาวของฉันเลย” ชายชรามองไปทาง มู่หรงเสวี่ยและหัวเราะ

รอยยิ้มของชายคนนั้นใจดีมาก จะว่ายังไงดี เธอรู้สึกว่าอีกฝ่ายเหมือนปู่ของเธอไม่มีผิด

ฟางฉีฮัวไม่รู้ว่าอีกฝ่ายกำลังคิดอะไรอยู่ ทันใดนั้น เขาก็หันไปพูดชายชราคนนั้นว่า “ฮ่าฮ่า เสี่ยวเสวี่ยน่ารักมากครับ พวกเราเป็นเพื่อนร่วมชั้นกัน เมื่อกี้ก็แค่มุกน่ะครับ ตลกดี ฮ่าๆ”

ต่างจากใบหน้าของมู่หรงเสวี่ยที่ดูมืดมน ฟางฉีฮัวไม่ใช่คนที่ทำเรื่องไร้สาระแบบนี้ เธอรู้จักเขาดี ทุกอย่างที่เขาทำลงไปจะต้องมีเป้าหมายเสมอ

เมื่อเห็นท่าทางของชายชราตรงหน้า ฟางฉีฮัวจึงไม่พูดอะไรอีก ดูเหมือนว่าเขากำลังคิดอะไรบางอย่าง ดูเหมือนว่าจะนึกขึ้นมาได้ว่าเมื่อกี้เขาเพิ่งทำอะไรลงไปต่อหน้าชายชราคนนี้

จะเป็นไปได้ไหม ที่ฟางฉีฮัวจะรู้ว่าชายชราคนนี้เป็นใคร?! หรือว่าเขากำลังประจบอีกฝ่ายโดยใช้เธอเป็นเครื่องมือ?

มู่หรงเสวี่ยกำหมัดแน่น แต่แล้วก็คลายหมัดลง พวกเขาไม่ได้ใส่ใจกับรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ นี้มากนัก
แตกต่างจากกู่หมิงที่สังเกตเห็นท่าทางของมู่หรงเสวี่ยเมื่อกี้เต็มสองตา
ทำไมถึงรู้สึกเหมือนคุณหนูจะมีปัญหาเลยล่ะ?! กู่หมิงที่ใช้ความคิดตามลำพัง อดเป็นห่วงเธอไม่ได้

เธอจะยินดีให้เขาใช้เธอเป็นเครื่องมือที่จะนำไปสู่ความสำเร็จได้อย่างไร? เนื่องจากอีกฝ่ายต้องการประจบชายชราคนนี้ เธอจะชิงตัดหน้าเขาซะเลย

มู่หรงเสวี่ยรู้สึกผ่อนคลายขึ้น จึงส่งยิ้มให้คุณปู่ตรงหน้า
“ถ้างั้น หนูขอเรียกคุณว่าคุณปู่ได้ไหมคะ?! ถ้าหลานของคุณปู่น่ารักเหมือนหนู แสดงว่าเธอน่าจะอายุไล่เลี่ยกับหนูสินะคะ? เอ๋ หรือว่าหนูคิดผิดไปคะ?” มู่หรงเสวี่ยไม่เกลียดผู้สูงวัย อีกฝ่ายก็เหมือนกับปู่ของเธอ

“หนูเรียกปู่ว่าปู่ชูสิ ไว้ว่างๆปู่จะแนะนำหลานสาวของปู่ให้หนูรู้จักนะ”

“ได้เลยค่ะ ปู่ชูอย่าตัดสินหนูที่การกระทำในครั้งนี้เลยนะคะ หนูเพียงพูดไปทั่วเท่านั้นโอ้ะ หนูขอเบอร์ติดต่อของปู่ชูหน่อยได้ไหมคะ?” มู่หรงเสวี่ยว่า

เห็นท่าทางอ่อนน้อมของมู่หรงเสวี่ยแล้ว ปู่ชูมีความสุขมาก หลานชายของเขาไม่ได้กลับบ้านเลยตลอดทั้งปี นอกจากนี้ เขามีหลานอยู่ไม่กี่คนที่กล้าคุยกับเขาแบบนี้ มันทำให้เขารู้สึกสนิทสนมกับอีกฝ่าย

“ใช่แล้วแม่หนู ปู่ไม่ได้สนใจเรื่องนั้น อาหลิน ยืนนิ่งอยู่ทำไม เอานามบัตรของฉันให้แม่หนูคนนี้สิ” จากนั้น เขาก็หันไปพูดกับชายวัยกลางคนที่ดูเหมือนพ่อบ้านให้หยิบนามบัตรออกมา

มู่หรงเสวี่ยค่อยๆรับนามบัตรจากอีกฝ่าย และใส่มันลงในกระเป๋าทันทีโดยไม่คิดจะอ่านมันก่อน

“ถ้าหนูว่าง หนูจะติดต่อไปหาปู่ชูนะคะ หนูหวังว่าหนูจะไม่รบกวนเวลาของปู่ชู”

ปู่ชูที่เห็นมู่หรงเสวี่ยไม่อ่านชื่อของเขาที่ปรากฏอยู่บนนามบัตร ในสายตาของเขา ก็ยิ่งรู้สึกชื่นชมเธอมากขึ้นไปอีก

“ตามที่หนูต้องการเลย ฝากทักทายคุณปู่ของหนูให้ปู่ด้วยนะ โอ๊ะ ดูเหมือนว่าปู่มีธุระต้องไปจัดการ ปู่คงต้องขอตัวก่อน อาหลิน พวกเราไปกันเถอะ” ปู่ชูพูดด้วยรอยยิ้มที่อ่อนโยน โดยที่ไม่สนใจฟางฉีฮัวเลยแม้แต่น้อย
จากนั้น เขาก็เดินไปทางประตูกับชายที่ชื่ออาหลิน
เธอคิดว่าปู่ชูน่าจะรู้ตั้งแต่แรกว่าเธอคือใคร ไม่แปลกที่อีกฝ่ายจะไว้หน้าผู้หญิงตัวเล็กๆแบบเธอขนาดนี้ เดาว่าอีกฝ่ายน่าจะเป็นเพื่อนของปู่เธอ ในที่สุด ความสงสัยที่ติดค้างอยู่ในใจของ มู่หรงเสวี่ยก็ได้หายไปในทันที

“พี่กู่ พวกเรารีบไปเลือกหินกันต่อดีกว่าค่ะ” มู่หรงเสวี่ยหันไปพูดกับกู่หมิงที่ยืนอยู่ข้างหลัง

ถึงฟางฉีฮัวกับเสี่ยวเข่อลี่จะยืนอยู่ตรงนี้ เธอก็ไม่มีเวลามานั่งสนใจทั้งสองคน จึงเดินไปดูหินที่อยู่อีกด้านต่อ

มู่หรงเสวี่ยหยิบหินจำนวนหนึ่งใส่รถเข็นหิน ถึงข้างในหินจะไม่ใช่หยกที่ดีที่สุด แต่อย่างน้อยก็เป็นของมีค่าทั้งหมด

หลังจากที่เลือกหินจากกองหินระดับต่ำเสร็จแล้ว มู่หรงเสวี่ยก็เดินไปเลือกหินจากกองหินระดับกลางต่อ

หลังจากเลือกหยกมาได้หลายชิ้น จู่ๆดวงตาของ มู่หรงเสวี่ยก็เห็นสีเขียวใสอมเหลือง เธอจึงหยิบมันขึ้นมาทันทีและตั้งใจตรวจสอบมัน

มู่หรงเสวี่ยเห็นว่าเนื้อหยกนั้นดีมากและมีขนาดใหญ่ ถึงมันจะไม่ได้มีคุณภาพดีเท่ากับหยกสีแดงที่เธอเคยซื้อไป แต่ก็นับว่าไม่เลวเลยทีเดียว สีของมันเหมือนกับใบอ่อนของไม้เนื้อแข็ง สีเขียวที่ค่อนไปทางเหลืองและความแวววาวของหิน มันคือหินพลอย

ราคาของหินจากกองหินระดับกลางนั้นสูงกว่ากองหินระดับต่ำเล็กน้อย คือจินละ 3,000 หยวน หินจะอยู่ที่ประมาณ 20 จิน แต่ข้างในกลับมีเนื้ออยู่เพียงพอ และพื้นผิวก็มีแค่เพียงชั้นบางๆเท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้นหินพลอย ชิ้นนี้ยังเป็นของหายากที่มีราคาขั้นต่ำอยู่ที่ 80 ล้านหยวนหลังจากถูกเจาะแล้ว

ในใจของมู่หรงเสวี่ยเต็มไปด้วยความสุข เธอบรรจงวางหินชิ้นนี้ลงในรถเข็นที่กู่หมิงเข็นอยู่

แต่จู่ๆก็มีสาวสวยที่ยืนอยู่ไม่ไกลจากเธอ ร้องขึ้นมา “นี่ ฉันจะเอาหินก้อนนั้น!”

เสียงของหญิงสาวคนนั้นดังพอที่จะดึงดูดสายตาจากทุกคนที่ยืนอยู่บริเวณนี้

เด็กคนนี้ไม่น่าจะเป็นคนไม่ดี ดูๆแล้วน่าจะอายุประมาณ 16 ปี สวมชุดมิกุ ผิวขาว หน้าตาสะสวย ดวงตากลมโต ใครที่ผ่านมาเห็นก็ต้องชมว่าน่ารักน่าเอ็นดูทั้งนั้น

แต่ก็อย่างว่า ใบหน้าบูดบึ้งเพราะความเอาแต่ใจได้ทำลายความน่ารักไปจนหมด

มู่หรงเสวี่ยหันกลับไปทางต้นเสียง เห็นหญิงสาวที่กำลังอ้างตัวว่าเป็นเจ้าของหินสีเขียวอมเหลือง ที่เธอเพิ่งจะวางมันลงไปในรถเข็นของตน

จากนั้น เธอก็พบกับคนที่เธอรู้จัก หยางเฟิง อีกฝ่ายค่อยๆเดินผ่านผู้หญิงคนนั้นไปหามู่หรงเสวี่ย

วันนี้มันวันอะไรเนี่ย?! ไปที่ไหนก็เจอแต่คนรู้จักทั้งนั้นเลย

“สวัสดี! ยัยอัปลักษณ์ เธอไม่ได้ยินที่ฉันพูดเหรอ? ฉันบอกว่าฉันจะเอาก้อนนั้นไง!” หญิงสาวทำหน้าอวดดีแล้วพูดกับ มู่หรงเสวี่ย

ตอนนี้ ทุกสายตาต่างให้ความสนใจกับเรื่องนี้ ถึงเธอจะไม่หน้าตาดีเท่าอีกฝ่าย แต่ถึงขั้นเรียกฉันว่ายัยอัปลักษณ์แบบนี้… ยัยบ้า! ฉันไม่ได้ขี้เหร่สักหน่อย แล้วก็ไม่ใช่ยัยอัปลักษณ์ด้วย!

มู่หรงเสวี่ยที่เห็นแววตาอิจฉาของหญิงสาว รู้สึกไม่เข้าใจเล็กน้อย นี่เธอไม่คิดว่าตัวเองจะสวยเกินกว่าจะมานั่งอิจฉาคนอื่นรึไง?!

“นี่เธอ พอดีว่าฉันจำเป็นต้องใช้หินชิ้นนี้ ขอโทษที่ยกให้ไม่ได้นะ ส่วนนาย รุ่นพี่หยาง ทำไมนายถึงได้มาอยู่ที่นี่ได้ล่ะ?”

“แหะๆ เสี่ยวเสวี่ย พอดีฉันออกมาหาอะไรนิดหน่อยน่ะ คิดไม่ถึงเลยว่าฉันจะได้มาเจอเธอที่นี่ เอ่อ ฉันต้องขอโทษเธอด้วยนะ เรื่องที่ลูกพี่ลูกน้องฉัน หลินจื่อชิง ล้อเลียนเธอน่ะ…” หยางเฟิงทำตัวไม่ถูก

อันที่จริง มันเป็นแค่ความหึงหวงของหลินจื่อชิงเท่านั้น ตั้งแต่ที่เขากับลูกพี่ลูกน้องเข้ามาในสวนหินแห่งนี้ เขาก็เห็น มู่หรงเสวี่ยมาตั้งแต่ตอนนั้น

ตอนที่เขาได้ร่วมโต๊ะกับมู่หรงเสวี่ยครั้งแรก เขาก็รู้สึกดีกับเธอ นอกจากนั้น ไม่นานมานี้ เขาก็มักจะได้ทานอาหารกับมู่หรงเสวี่ยกับเพื่อนของเธอที่ชื่อโม่อ้ายลี่

เมื่อเขาสนิทสนมกับเธอมากขึ้น เขารู้สึกว่ามู่หรงเสวี่ยได้ดึงดูดความสนใจจากเขามากขึ้นเรื่อยๆ จนทำให้เขามองเธอด้วยสายตาที่แปลกไป
ในตอนที่ลูกพี่ลูกน้องเขาเห็นเข้า ถึงได้หุนหันวิ่งไปหาเรื่องมู่หรงเสวี่ยในทันที

ลูกพี่ลูกน้องคนนี้ชอบเขามาตั้งนานแล้ว เขาเข้าใจความหมายของเธอดีและพยายามอธิบายให้เธอเข้าใจนับครั้งไม่ถ้วน
เขาเห็นเธอเป็นแค่น้องสาวเท่านั้นและไม่เคยคิดเกินเลยกับเธอเลย แต่เธอก็ไม่เคยฟังเขาเลยสักครั้ง

ขนาดตอนอยู่ที่โรงเรียน เมื่อใดก็ตามที่มีเด็กผู้หญิงเข้ามาใกล้เขา เธอก็จะใช้ลูกไม้ต่างๆมาไล่ผู้หญิงพวกนั้นไป

ที่ผ่านมา เขารู้สึกว่าผู้หญิงพวกนั้นน่ารำคาญ และการที่เธอทำแบบนั้น มันช่วยเขาให้หลุดพ้นจากความอึดอัดได้

แต่สำหรับมู่หรงเสวี่ย เธอไม่เหมือนกับพวกนั้นเลย เรียกได้ว่าแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง เวลาที่เขาได้อยู่กับเธอ มันกลับทำให้เขารู้สึกดี…