เมื่อเห็นว่ามุมปาก คาง และหน้าอกของอีวานส์เต็มไปด้วยเลือด องครักษ์ก็กำชับออกมา “เดี๋ยวก่อนครับ ท่านอีวานส์ ท่านมีน้ำยาวิเศษรักษาหรือไม่? ข้ามีขวดหนึ่ง รับไปขอรับ ถ้าท่านยังไม่รู้สึกดีขึ้น ข้าจะขอความช่วยเหลือจากบิชอปจากอาสนวิหารทองคำ!”
แน่นอน ลูเซียนไม่อยากให้มีบิชอปเข้ามายุ่ง ดังนั้น เขาจึงรับขวดน้ำยาเยียวยามาด้วยท่าทีเจ็บปวดและค่อยๆ ดื่ม จากนั้น เขาจึงโบกมือและตอบว่า “ข้าไม่เป็นอะไรแล้วล่ะ ข้าก็มีพลังอัศวินเหมือนกัน ไม่ต้องห่วง มือสังหารคนนั้นไม่ได้ทำข้าเจ็บเท่าไร”
เมื่อเห็นลูเซียนพูดได้เป็นปกติ แต่ยังมีอาการไอเล็กน้อย องครักษ์ก็รู้สึกโล่งใจ เขาชักดาบออกมาและอารักขาอยู่ใกล้ๆ ลูเซียน เผื่อว่าจะมีมือสังหารคนอื่นเข้ามาทำร้ายอีวานส์อีกรอบ
องครักษ์ยังคงแนะนำลูเซียนอีก “ท่านอีวานส์ พลังมืดบางอย่างน่ากลัวมาก แม้ว่าเราอาจไม่รู้สึกบาดเจ็บมากมาย แต่อวัยวะภายในอาจค่อยๆ ถูกทำร้ายหรือถูกวางยา กว่าจะออกฤทธิ์ มันก็สายเกินไป แม้แต่พระคาร์ดินัลก็ไม่สามารถทำอะไรได้ ท่านอีวานส์ พรุ่งนี้ ท่านน่าจะให้บิชอปตรวจดูสักหน่อยนะขอรับ”
“ขอบใจเจ้ามาก รอดูไปก่อนแล้วกัน” ลูเซียนแกล้งทำเป็นดื้อด้าน
“ขอรับ” องครักษ์พยักหน้า
คนมากมายก็เป็นอย่างนี้ พวกเขาต่างรักตัวกลัวตาย แต่ก็กลัวการไปพบแพทย์หรือบิชอป เพราะกลัวว่าจะพบปัญหาร่างกายอื่นๆ พวกเขาต่างไม่อยากรู้ว่าตัวเองมีปัญหาอะไร
สักพักต่อมา อะลิซ่าและโจเอล ตามด้วยองครักษ์ของทั้งคู่ ก็รีบเข้ามาในห้องของลูเซียน เมื่อเห็นว่าลูเซียนไม่เป็นอะไรมาก ทั้งสองก็ถอนหายใจยาวด้วยความโล่งอก
“ไอ้ชั่วนั้นเป็นใคร?! ไอ้ชั่วที่อยากฆ่าเจ้า?! เจ้าเป็นเพียงนักดนตรี…” อะลิซ่ามีน้ำตาคลอเบ้า “เดี๋ยวนะ… หรือว่ามีคู่แข่งส่งคนมาฆ่าเจ้า?”
“หยุดเถอะ อะลิซ่า เป็นไปไม่ได้ นักดนตรีไม่มีปัญญาจ้างมือสังหารระดับอัศวินหลวงหรอก” โจเอลได้ข้อมูลมาจากองครักษ์ “เจ้าเห็นหน้ามันไหม อีวานส์?”
ตอนนั้นเอง นาตาชาและคามิลก็มาถึง นาตาชาดมกลิ่นในอากาศ แล้วท่าทีของนางก็เปลี่ยนเป็นจริงจัง “ลูเซียน เจ้าเห็นหน้ามือสังหารหรือเปล่า?”
“ข้าเห็นแค่ตัวมัน… รู้สึกคุ้นๆ… เขาน่าจะมาจากอาร์เจนต์ ฮอร์น” ต่อหน้าทุกคน ลูเซียนไม่ได้เล่าถึงรายละเอียดที่เขาเห็นจริงๆ เขาโยนความผิดให้กับอาร์เจนต์ ฮอร์น ถึงเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
“อาร์เจนต์ ฮอร์น?!” อะลิซ่ามีสีหน้าซีดเผือด นางถึงกับก้าวถอยออกไป นางยังไม่เคยลืมวันที่นิ้วของนางถูกตัดออก
โจเอลกำหมัดแน่น เสียงทุ้มต่ำของเขาฟังดูเหมือนโกรธมาก “พวกมันยังตามล่าเจ้า…”
ในความเป็นจริง อาร์เจนต์ ฮอร์น ไม่เคยทำอะไรอย่างนั้นเลย
หลังจากส่งโจเอลกับอะลิซ่ากลับเข้าห้องของตน และให้องครักษ์ทั้งหมดออกไป นาตาชามองลูเซียนและถามพร้อมกับรอยยิ้มบนใบหน้า “แล้ว เกิดอะไรขึ้นกันแน่? มีมือสังหารจริงๆ ไหม? หรือเป็นเพียงแผนส่วนหนึ่งในการสังหารตัวตนนักดนตรีของเจ้า?”
“มีมือสังหารจริงๆ พะยะค่ะ น่าจะเป็นอัศวินหลวงระดับห้า สวมถุงมือสีดำและหน้ากากตัวตลก” ลูเซียนเล่าอย่างตรงไปตรงมา
“อืม… ฟังดูคุ้นๆ…”
“คลาวน์ หัวหน้ากลุ่มผู้พิทักษ์ราตรี” คามิลพูดด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด “หม่อมฉันเคยเจอเขาสองสามครั้ง”
ข้อมูลของผู้พิทักษ์ราตรีถูกผนึกเป็นความลับอย่างเคร่งครัด มีเพียงกลุ่มผู้นำของคณะไต่สวนหรือพระคาร์ดินัลของสังฆมณฑลเท่านั้นที่สามารถเข้าถึงข้อมูลได้ พวกผู้พิทักษ์ราตรีมักเรียกกันด้วยนามแฝง
กลุ่มพุทธกาดตรีเป็นผู้ลาดตระเวนท่ามกลางความมืดมิดมาเป็นเวลานาน โดยใช้หน้ากากหรือหมวกคลุมผมปิดบังใบหน้า ฉะนั้น นาตาชาจึงไม่มั่นใจว่าคลาวน์คือใคร ลูเซียนก็เช่นกัน นาตาชาไม่รู้เลยว่าระหว่างการต่อสู้ของอาร์เจนต์ ฮอร์น กับผู้พิทักษ์ราตรี มีผู้พิทักษ์ราตรีรอดชีวิตกี่คนและมีใครบ้าง
“อย่างนี้นี่เอง…” ลูเซียนมีความรู้สึกต่างๆ ปนเปกันเมื่อได้ยินดังนั้น ด้านหนึ่ง เขารู้สึกเป็นกังวล เนื่องจากเขารู้ว่าผู้พิทักษ์ราตรีกลุ่มนี้จะลงมือเมื่อเขาตกเป็นเป้าหมายเท่านั้น และอีกด้านหนึ่ง เขาก็รู้สึกโล่งใจ เนื่องจากวิธีการที่คลาวน์ลอบเข้ามาเพื่อทดสอบเขาแสดงให้เห็นว่าพระคาร์ดินัลไม่เกี่ยวข้องกับแผนการนี้ มิฉะนั้น พระคาร์ดินัลก็แค่ใช้อาคมเทพในการตรวจสอบลูเซียนในช่วงเทศกาลหรือในคอนเสิร์ต แล้วก็สามารถหาข้อสรุปได้โดยตรง
“เขาเป็นหนึ่งในผู้พิทักษ์ราตรีที่รอดตายจากคืนนั้นที่ป่าดำเมลเซอร์เพค่ะ” คามิลพูดด้วยสีหน้าเย็นชา นางเองก็ไม่พอใจในตัวศาสตราจารย์ไม่น้อยไปกว่าใคร
“เอาล่ะ เขาจำได้แล้ว…” นาตาชาปรบมือ
ในที่สุด ลูเซียนก็เข้าใจสาเหตุที่พวกผู้พิทักษ์ราตรีพยายามแกะรอยเขา ความพ่ายแพ้ย่อยยับที่เขายัดเยียดให้กับกลุ่มผู้พิทักษ์ราตรีนั้นใหญ่หลวงนัก
“นี่อาจเป็นเรื่องดี ข้าจะให้คนอื่นจัดคอนเสิร์ตเพื่อให้ทุกๆ คนเข้าใจว่าเจ้าป่วยหนัก แล้วหลังจากคอนเสิร์ต เราจะได้ประกาศข่าวการเสียชีวิตของเจ้า” นาตาชาเอ่ย “เราจะได้ไม่ต้องถูกพระคาร์ดินัลที่สงสัยในตัวเจ้าตรวจสอบระหว่างคอนเสิร์ต เราจะได้ไม่ต้องเป็นกังวลอีกต่อไป”
“ก็ดีเลยพะยะค่ะ แม้กระหม่อมสะกดพลังไว้ในวิญญาณด้วย ‘พร’ ในซาล์มฮอลครั้งก่อน ตอนอยู่ต่อหน้าพระคาร์ดินัล ต่อหน้าซาร์ด ‘พระคาร์ดินัลชั้นนักบุญ’ กระหม่อมถือว่าโชคดีมาก ครั้งสุดท้ายที่กระหม่อมพบเขา กระหม่อมเป็นเพียงนักเวทฝึกหัด พลังที่ต่างกันขนาดนั้นเลยอาจไม่ถูกเพ่งเล็ง แต่ตอนนี้กระหม่อมอยู่ในระดับสี่ กระหม่อมคงไม่กล้ายืนอยู่ต่อหน้าเขาพะยะค่ะ…”
นาตาชามีท่าทีครุ่นคิด “เนื่องจากมหากางเขนพังทลาย พระคาร์ดินัลชั้นนักบุญก็ไม่เคยปรากฏตัวในงานหรือคอนเสิร์ตครั้งไหนอีกเลย เขาเคยเข้าร่วมการประชุมลับของพระคาร์ดินัลหลวงเพียงครั้งเดียวเท่านั้น เจ้าไม่ต้องกังวลไปหรอก ถึงแม้เขาจะมาจริงๆ เราก็ยังมีเวลาเตรียมคอนเสิร์ตบทผู้ป่วย และหาใครสักคนแสดงดนตรีแทนเจ้าได้”
นางดูเหมือนจะกังวลเรื่องสุขภาพกายของซาร์ด
ว่าแล้วสีหน้าของนาตาชาก็เปลี่ยนไป ขณะที่ถูคางอย่างใช้ความคิด อยู่ๆ นางก็ถามขึ้นมา “เดี๋ยวก่อน… เจ้าบอกว่าเราเป็น… นักเวทระดับสี่แล้วงั้นหรือ?”
“บางครั้งอันตรายใหญ่หลวงก็สามารถปลุกศักยภาพในวิญญาณได้ เหมือนที่เกิดขึ้นกับกระหม่อมในท่อระบายน้ำ” ลูเซียนอธิบายซึ่งถือเป็นคำแก้ตัวที่ดี
“เจ๋งเป็นบ้า! เจ้ายังเหลืออีกสองเดือนกว่าอายุจะครบยี่สิบเอ็ด แต่เจ้าเป็นถึงนักเวทระดับสี่! แม้แต่ในรอบหนึ่งร้อยปีที่สภาเวทมนตร์สร้างนักเวทเก่งๆ ออกมามากมาย แต่เจ้าคือคนที่โดดเด่นที่สุด!” นาตาชารู้สึกอิ่มเอมใจกับความสำเร็จของสหาย “เจ้าต้องมีพรสวรรค์ในอาร์คานาศาสตร์สูงมาก และข้ามั่นใจว่าอนาคตของเจ้าต้องสดใสแน่นอน”
ลูเซียนยิ้ม “เรื่องของกระหม่อมเทียบไม่ได้กับสิ่งที่พระองค์สำเร็จเลยพะยะค่ะ กระหม่อมจำได้ว่าตอนที่พระองค์อายุสิบแปด พระองค์ก็เป็นถึงอัศวินหลวงแล้ว แล้วพระองค์ก็พัฒนาสู่ระดับห้าตอนอายุยี่สิบเอ็ด”
“ข้าดีใจที่ได้ยินคำชมจากเจ้านะ ลูเซียน แต่สำหรับอัศวิน แม้อำนาจจิตจะแข็งแกร่งและจิตวิญญาณแห่งอัศวินก็สำคัญ แต่พรก็มีส่วนสำคัญไม่แพ้กัน ข้าได้รับการฝึกฝนอย่างหนัก แต่พรที่ผสมผสานกันของข้าก็ช่วยข้าไว้ได้มาก ข้าบอกได้เลยว่าข้าภูมิใจมากเมื่อมาถึงขั้นอัศวินอาภา ซึ่งเป็นหลักฐานอำนาจจิตของข้าชัดเจน” นาตาชาเผยความรู้สึกอย่างจริงใจ
ลูเซียนยิ้มกว้าง “มีผู้คนมากมายที่เกิดมาพร้อมกับพรหลายอย่างในตัว แต่กลับไม่สามารถปลุกพลังได้พะยะค่ะ”
“แน่นอน ข้าก็มีพรสวรรค์เช่นกันในฐานะอัศวิน” นาตาชาก็ตอบด้วยความภาคภูมิใจ
ว่าแล้วทั้งสองก็เริ่มคุยกันถึงแผนการต่อไป
…
ภายในบ้านหลังหนึ่ง
ขณะที่สวมหน้ากากอันน่าขนลุก คลาวน์กลับเข้ามาในห้องด้วยท่าทีผิดหวัง
“ท่านหัวหน้า ผู้ตัดสินการไต่สวนว่าอย่างไรบ้างคะ?” จูเลียนารีบถามออกไป
เล็นด์และมินสค์ต่างก็มองคลาวน์ด้วยท่าทีเป็นกังวล
คลาวน์ไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าลูเซียนจะมีอุปกรณ์วิเศษระดับห้าที่มีค่าสูงมาก และดาบที่อยู่ในระดับสี่เป็นอย่างน้อย คลาวน์ล้มเหลว แต่ส่วนที่ยากที่สุดก็คือลูเซียนเห็นเขาแล้ว ทั้งหน้ากากและถุงมือสีดำ ในอีกไม่นาน คณะไต่สวนจะได้รับคำร้องเรียนจากนาตาชา
คลาวน์ส่ายหน้า “ผู้ตัดสินการไต่สวนบอกว่าอาร์เจนต์ ฮอร์น ปลอมตัวเป็นผู้พิทักษ์ราตรี พวกเขาไม่อยากให้ใครรู้เรื่องมากไปกว่านี้ พวกเขาต้องการให้เรื่องเงียบมากที่สุด ผู้ตัดสินการไต่สวนก็ไม่ฟังข้าเลย เขาเตือนข้าด้วยโทษทัณฑ์รุนแรงที่สุด ถ้าเกิดเรื่องนี้ขึ้นซ้ำสอง ข้าจะถูกตัดสินในศาลลับ”
“แล้วเราจะยอมแพ้แค่นี้หรือ?” ผู้พิทักษ์ราตรีอีกคนถามด้วยความรู้สึกกระอักกระอ่วน
คลาวน์มองออกไปข้างนอกหน้าต่างและพูดด้วยเสียงเบา “ข้าถูกปลุกมาจากความมืด เดินตามโอวาทของพระผู้เป็นเจ้า จนข้าได้เป็นผู้พิทักษ์ราตรี ไม่ว่าข้าจะบ้าแค่ไหน แต่ตั้งแต่เป็นผู้พิทักษ์ราตรี ข้าก็สู้กับปีศาจมานับไม่ถ้วน ตอนนี้ข้าไม่ได้รับการสนับสนุนจากศาสนจักรอีกแล้ว แต่ข้าจะไม่ยอมแพ้ ข้าจะไม่ยอมปล่อยให้ศาสตราจารย์มีชีวิตที่เป็นสุข หลังจากฆ่าพรรคพวกของเราไปมาก ความเชื่อของข้าไม่มีวันปล่อยให้ข้ายอมแพ้”
ในช่วงแรก คลาวน์รู้สึกว่าศาสตราจารย์ทำให้เขาเสียหน้า แต่ตอนนี้ ความเชื่อและศรัทธามูลฐานของเขากำลังถูกท้าทาย
ผู้พิทักษ์ราตรีอีกสามคนต่างเห็นชอบเป็นเสียงเดียวกัน
คลาวน์หันไปรอบๆ และมองดูพวกเขา “เอาล่ะ เราจะรอจนกว่าจะมีโอกาสครั้งต่อไป”
….
อาการไออย่างหนักของลูเซียนทำให้ฟรานซ์ซึ่งช่วยลูเซียนเรียบเรียงเนื้อร้องโดยใช้คำประพันธ์ขนาดยาว รู้สึกเป็นกังวลใจอย่างหนัก
“พักก่อนไหม ขอรับ?” ฟรานซ์ถาม “เราค่อยมาคุยกันต่อตอนที่ท่านอาการดีขึ้นแล้ว”
หน้าของลูเซียนซีดเผือด แต่เขาก็ส่ายหน้าอย่างมุ่งมั่น “กระบวนสุดท้ายจวนจะเสร็จแล้ว และข้ารู้สึกถึงความกระหายและแรงบันดาลใจพรั่งพรูมาจากชีวิต ข้าจะไม่หยุด และข้าหยุดไม่ได้ แล้วเข้าใจไหม ฟรานซ์”
………………………