ฟรานซ์เข้าใจความรู้สึกทั้งหมด ตอนนี้เขามีสุขภาพแย่ หลายครั้งที่เขาก็ทุ่มเทให้กับงานเกินขีดจำกัดไปบ้าง ด้วยแรงปรารถนาและแรงบันดาลใจที่ไม่อาจหยุดได้ในขณะนั้น
ฉะนั้น ฟรานซ์พยักหน้ารับและยิ้มอย่างจริงใจ “ข้าเข้าใจ ท่านอีวานส์ ข้าจะพยายามอย่างดีที่สุดเพื่อช่วยท่าน ตอนที่ได้ฟังกระบวนเพลงที่สี่ของซิมโฟนีเพลงนี้ครั้งแรก ท่อนเสียงประสาน ข้าต้องตกตะลึงกับความงดงามและความยิ่งใหญ่ของมัน ความคิดที่จะใส่เสียงประสานลงในซิมโฟนีเป็นแนวคิดใหม่ที่ยอดเยี่ยมจริงๆ! นับเป็นเกียรติของข้าอย่างยิ่งที่ได้เป็นส่วนหนึ่งในการช่วยสร้างผลงานชิ้นเอกของท่าน เพลงนี้ต้องเป็นหนึ่งในความทรงจำที่ดีที่สุดในชีวิตข้า”
ในการใส่คำประพันธ์ขนาดยาวลงในเพลง และเพื่อหลีกเลี่ยงท่อนที่ดูเหมือนจะดูหมิ่นพระเจ้า และต้องเก็บความงดงามทางภาษาเอาไว้ของต้นฉบับไป ลูเซียนและฟรานซ์ใช้เวลาช่วยกันคิดอย่างหนัก
ฟรานซ์เป็นนักดนตรีที่มุ่งมั่นทุ่มเทและเป็นแฟนตัวยงของลูเซียน เมื่ออยู่ต่อหน้าคนที่ชื่นชอบ ฟรานซ์ชื่นชมกระบวนเพลงด้วยความตื่นเต้นอย่างยิ่ง
ลูเซียนไอหนักขึ้นและถามเขาด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น ซึ่งฟังดูแปลกๆ “ขอบใจเจ้ามาก ฟรานซ์! งานส่วนของเจ้าเกือบจะสำเร็จแล้ว! ตอนนี้นักร้องนำและคณะประสานเสียงจะได้เริ่มฝึกซ้อมและแสดงความเห็นในเพลง เจ้าคิดว่ามัน… ยากเกินไปไหม?”
ฟรานซ์ส่ายหน้า “มันยาก แต่ข้าไม่คิดว่ามันยากเกินไป การแก้ไขอะไรรังแต่จะลดความงดงามของกระบวนเพลงนี้ นักร้องและคณะประสานเสียงเก่งๆ น่าจะรับมือได้”
“ข้าก็คิดอย่างนั้น” ลูเซียนยิ้มกว้าง
ตอนนั้นเอง มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น แล้วประตูก็เปิดออกอย่างนิ่มนวล วิกเตอร์นั่นเอง ลูเซียนและฟรานซ์กำลังอยู่ในห้องซ้อมเปียโน ณ ชั้นสี่ของสมาคมดนตรี
“อาจารย์วิกเตอร์ เราเพิ่งเสร็จงานขอรับ” ลูเซียนยิ้ม
“ข้ามาได้เวลาเหมาะพอดี ขอแสดงความยินดีด้วย อีวานส์” วิกเตอร์ยิ้ม แล้วเขาก็ก้าวเท้าไปด้านข้างและแนะนำชายคนหนึ่ง “ท่านนี้คือแฟบบรินี นักร้องชั้นนำ แฟบบรินีเป็นนักร้องนำของคณะประสานเสียงอาสนวิหารทองคำ”
ก่อนที่เพลง ‘สรรเสริญแห่งปี’ หรือ ‘อันดีฟร็อยเดอ’ (ซิมโฟนีหมายเลข 9 คีย์ดีไมเนอร์ของลุดวิก แวน บีโธเฟน) จะเสร็จสมบูรณ์ ลูเซียนก็ขอให้วิกเตอร์ช่วยหาตัวนักร้องนำชั้นและคณะประสานเสียงชั้นนำให้กับเขา
แฟบบรินีอยู่ในวัยยี่สิบต้นๆ มีดวงตาสีฟ้าและผมสีทอง เขาดูเหมือนเทวทูตผู้รับใช้ ‘พระเจ้าแห่งสัจธรรม’ เขาดูต่างจากผู้ชายส่วนใหญ่ แฟบบรินีแต่งหน้าด้วยเครื่องสำอางค์เบา และด้วยเสื้อผ้าสีสันแปลกตา แฟบบรินีทำให้ทุกคนรู้สึกถึงความงดงามเหมือนผู้หญิง
ลูเซียนไม่ได้แปลกใจอะไรนัก เนื่องจากนักร้องชั้นนำส่วนใหญ่มักเป็นคาสตราโต้ หรือนักร้องชายที่ผ่านการตอนอวัยวะเพศ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงนักร้องนำจากคณะประสานเสียงอาสนวิหารทองคำ
ลูเซียนยิ้ม “ยินดีที่ได้รู้จักขอรับ ท่านแฟบบรินี หวังว่าเราจะทำงานร่วมกันได้ดี”
ในโลกใบนี้ นักร้องคาสตราโต้ได้ความนิยมอย่างสูง เคาน์ติสในเมืองกัสตาคลั่งไคล้เสียงของพวกเขามาก ถึงขนาดครั้งหนึ่งเคยทำสงครามแย่งตัวนักร้องคาสตราโต้
“ท่านอีวานส์ ข้ากำลังไปซ้อมกับคณะประสานเสียง พวกเรารอท่านอยู่ในโรงละคร ท่านดูไม่ค่อยดีเลย ได้โปรดดูแลสุขภาพด้วยนะขอรับ” แฟบบรินีพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน
หลังจากแฟบบรินีออกไป ลูเซียนก็ไอหนักขึ้นอย่างรุนแรง ราวกับว่าปอดของเขาจะทะลักออกมา
“เจ้าเป็นอะไรไหม? ดูเหมือนเจ้ายังไม่หายดีเลย?” วิกเตอร์ถามด้วยความเป็นกังวล “เราน่าจะเลื่อนการแสดงของเจ้าออกไปก่อน จนกว่าเจ้าจะดีขึ้น”
ลูเซียนส่ายหน้าอย่างหนักแน่น “ไม่เป็นไรขอรับ อาจารย์วิกเตอร์ ข้าเป็นอัศวิน ไม่น่าจะมีปัญหา”
ด้วยความจริงที่ว่าลูเซียนมีพลังถึงระดับอัศวินทำให้วิกเตอร์เบาใจ แล้วเขาก็พยักหน้ายอมรับ “เราต่างก็เป็นนักดนตรี ข้าเข้าใจเจ้า แต่ในฐานะอาจารย์ ข้ายังคิดว่าเจ้าจำเป็นต้องไปให้หมอตรวจหน่อยนะ”
“ขอรับ ขอบพระคุณขอรับ ท่านอาจารย์” ลูเซียนมั่นใจว่าเขาสามารถหลอกให้แพทย์เชื่อได้และทำให้เชื่อว่าการบาดเจ็บต้องใช้เวลารักษาตัวสักพัก และไม่เป็นอันตรายถึงชีวิต
…
ผ่านไปกว่าสัปดาห์ กลาง ‘เดือนแห่งพฤกษา’ หรือพฤษภาคม ณ โรงละครบนชั้นห้าจของสมาคมดนตรี
“ต้องให้ข้าบอกกี่ครั้ง แฟบบรินี?!” ลูเซียนแกล้งทำเป็นหัวเสียสติแตก “ทำไมท่านถึงผิดที่เดิมซ้ำแล้วซ้ำเล่า?”
แฟบบรินีมองหน้าที่ซีดเซียวของลูเซียนและรีบอธิบายด้วยน้ำตานองหน้า “ท่านลูเซียน… ท่อนนี้ยากมาก… ข้าต้อง… ข้าต้อง… ฝึกซ้อมมากกว่านี้…”
“แต่เราฝึกกันมาเยอะแล้ว!” ลูเซียนโบกมือ
แฟบบรินีหายใจเข้าลึกๆ และตอบกลับ “แต่ยังไม่พอขอรับ ข้าขอเวลาอีกสักหน่อยเถอะ ถ้าไม่อย่างนั้น ท่านก็น่าจะแก้ให้ท่อนนี้ง่ายขึ้น”
“ไม่มีทาง! มันสมบูรณ์แบบแล้ว ข้าจะไม่ยอมให้ใครมาทำลายมัน! แฟบบรินี พยายามเข้า ข้าเชื่อว่าท่านทำได้! เราสามารถเลื่อนการแสดงออกไปได้สองสามวัน จนกว่า…” ลูเซียนเริ่มไอหนักขึ้น ขนาดเขานั่งยองๆ ลงตรงข้างเวที
ฟรานซ์รีบส่งมือให้เขาเกาะ แฟบบรินีก็ช่วยพูดให้เขาใจเย็นลง “ข้าจะพยายามให้หนักขึ้น ท่านอีวานส์ ข้าจะไม่ทำให้ท่านผิดหวัง”
เมื่อสิ้นสุดการซ้อม ขณะเขาเดินลงจากเวที แฟบบรินีในชุดเสื้อเชิ้ตสีดำฉลุเส้นด้ายสีทอง หันกลับไปมองบนเวทีราวกับว่าเขายังเห็นอีวานส์ยืนอยู่บนนั้น ทำท่าทำทางอย่างบ้าคลั่งแต่เต็มไปด้วยความปรารถนาแรง
…
“…บางทีตอนนี้ ท่านอีวานส์คงมีลางสังหรณ์ เขาเลยทุ่มเทและเข้มงวดขนาดนั้น ไม่เหมือนกับที่ทุกคนบอกว่าเขาเป็นคนสุภาพและอ่อนโยน” สองสามปีต่อมา แฟบบรินีนึกถึงความทรงจำของเขาต่ออีวานส์ขณะที่เตรียมการแสดงดนตรี “เขาเป็นคนมุ่งมั่น ทำงานหนัก และบ้าคลั่ง… ราวกับว่าเขาใช้พลังและอุทิศชีวิตทั้งหมดที่เหลือเพื่อจะได้ไม่ต้องมาเสียใจภายหลัง ขอบคุณพระผู้เป็นเจ้า ที่ข้าโชคดีพอได้รู้จักอีวานส์ในตอนนั้น และได้ร่วมแสดงซิมโฟนีกับเขา ข้าเห็นภาพนักดนตรีอันยิ่งใหญ่ในตัวเขา ความปรารถนาอันแรงกล้าต่อดนตรี และศรัทธาอันยิ่งใหญ่ต่อพระเจ้า”
…
กลินตัน พ่อค้าที่ลูเซียนพบในเมืองมัสซาวา ได้มุ่งหน้าสู่ดินแดนตอนเหนือหลังออกจากนครอัลโต้
ในอาณาจักรซีราคิวส์ เขาขายสินค้าได้ทั้งหมด และเหมือนเดิมที่เขาจะซื้อสินค้าบางอย่างจากซีราคิวส์ และเตรียมพร้อมมุ่งหน้าสู่ป้อมปราการทางตอนเหนือของราชรัฐไวโอเล็ต
เช้าวันนี้ เมื่อเขากำลังทานอาหารเช้าที่เต็มไปด้วยน้ำมันทอด เมื่อชำเลืองมองหนังสือพิมพ์เขาก็ต้องหยุด หั่นเนื้อหน้าอกวัวทอด เขาไม่อยากเชื่อสายตาตัวเองและตรวจสอบซ้ำอีกสองสามครั้ง
เขาประหลาดใหญ่มาก แต่ก็รู้สึกผิดหวังเช่นกัน เขาไม่คิดว่าอีวานส์จะกลับมาที่นี่อีกหลังจากเขาเดินทางออกจากนครอัลโต้
“ยี่สิบหก พฤษภาคม… โรงละครซาล์มฮอล… การแสดง ‘การกลับมา’…” กลินตันพูดพึมพำกับตัวเอง เขาไม่แน่ใจว่าจะเดินทางกลับถึงนครอัลโต้ภายในสิบหกวันได้หรือไม่ตอนนี้ก็วันที่สิบห้าพฤษภาคมแล้ว
ขณะวางส้อมและมีดลง เขาเดินวนไปวนมา จนในที่สุดเขาก็ตัดสินใจได้ เขาพลาดการแสดงครั้งแรกของอีวานส์ ไม่มีทางที่เขาจะพลาดโอกาสครั้งที่สอง ยิ่งไม่ต้องกล่าวถึงข้อเท็จจริงที่ว่าอีวานส์เพิ่งกลับมาถึง หลังจากออกเดินทางถึงสามปี
กลินตันตัดสินใจออกเดินทางทันทีและทิ้งสินค้าไว้กับผู้ช่วย เขาจะไม่เดินทางด้วยรถมา แต่จะควบม้าไปกลับองครักษ์หลายคน หากเขาเดินทางได้เร็วมากพอ สิบเอ็ดวันก็น่าจะเหลือเฟือ โดยอาศัยความรู้จักกับขุนนางสองสามคน กลินตันมั่นใจว่าเขาน่าจะสามารถหาตั๋วได้ อย่างน้อย เขาก็ได้พยายาม
…
เมื่อกลินตันเดินทางมาถึงนครอัลโต้ ก็เป็นวันที่ยี่สิบแปด พฤษภาคม ในอีกสิบสามวันต่อมา
แต่เขาก็ไม่ผิดหวัง เนื่องจากได้ข่าวมาว่าการแสดงดนตรีจะเลื่อนออกไปเป็นวันที่หนึ่ง มิถุนายน
กลินตันไม่ทันได้พักผ่อนก็รีบมุ่งหน้าไปยังโรงละครซาล์มฮอล
“อะไรนะ? ขายหมดแล้ว? แต่… นี่ยังเหลืออีกตั้งสี่วัน!” กลินตันรู้สึกหัวเสีย “ข้ารู้จักกับอัศวินมิตช์แห่งตระกูลเฮย์น และ…”
กลินตันเริ่มไล่เลียงบรรดาขุนนางที่เขารู้จัก
ชายผู้นั่งอยู่ไหนห้องจำหน่ายตั๋วชี้ไปที่ผู้คนมากมายและบอกว่า “ขอโทษด้วยขอรับ ตั๋วขายหมดแล้วจริงๆ นี่ยังมีคนรอชมการแสดงอยู่อีกมากมาย และเท่าที่ข้ารู้ แม้แต่ท่านอัศวินมิตช์เองก็ยังไม่มีตั๋วเข้าชม”
กลินตันหมดหวัง เมื่อมองกลับไป เขาเห็นผู้คนมากมายรวมตัวกันล้อมรอบโรงละครซาล์มฮอล
ณ มุมๆ หนึ่ง นักข่าวจาก ‘อัลโต้รายสัปดาห์’ รีบจดบันทึกสิ่งที่เขาเห็นลงในสมุด “นอกจากเทศกาลดนตรีอัลโต้ เราก็ไม่เคยเห็นการแสดงดนตรีครั้งไหนสามารถดึงผู้คนมากมายให้มายังอัลโต้ ราวกับว่าพวกเขาลืมไปแล้วว่าตั๋วเข้าชมในโรงละครซาล์มฮอลไม่มีไว้เพื่อสามัญชน…”
“ลูเซียน อีวานส์ กลายเป็นบุคคลต้นแบบที่ทั้งเมือง ทั้งราชรัฐคลั่งไคล้เกี่ยวกับ…”
“นี่จะกลายเป็นปรากฏการณ์ เราอาจสร้างโลกใหม่ด้วยสิ่งนี้…”
…………………………