ภาคอวสาน ตอนที่ 35 ลืมสิ้นชาติภพ (5)

ปลดผนึกหัวใจหวนรัก Love and Redemption

ฤดูร้อนไป ฤดูใบไม้ร่วงมา ป่าต้นเฟิง[1] ยอดเขาเสี่ยวหยางบนเขาแรกอรุณก็เปลี่ยนเป็นสีแดงไปหมด เจิดจ้าดังเพลิงร้อนแรง บรรดาศิษย์รุ่นเยาว์หลังจากตั้งใจฝึกฝนบำเพ็ญเพียร ก็ชอบมารวมตัวคุยเล่นกันอยู่ที่นี่มากที่สุด แต่วันนี้ไม่รู้ทำไมจึงไม่มีสักคน

หลายเดือนมานี้หลิงหลงเริ่มอวบอ้วนขึ้นเล็กน้อย เมื่อก่อนผอมจนคางแหลม แต่ตอนนี้กลับอิ่มเอิบ นางสวมกระโปรงชุดสีม่วงอ่อนทั้งตัว ยกมือขึ้นเด็ดใบเฟิง ใบเฟิงแดงราวเปลวเพลิง ข้อมือนางขาวราวหิมะ สองสีขับเน้นกันงดงามยิ่ง นางเด็ดมาสองกิ่ง พลิกฝ่ามือส่งให้ดรุณีน้อยชุดเขียว พลางกล่าวเบาๆ ว่า “กลับมาได้ไม่เท่าไร เจ้าจะไปอีกแล้ว”

ดรุณีน้อยกระโปรงชุดเขียวก็คือเสวียนจี วันนั้นนางกับอวี่ซือเฟิ่งหารือกันถึงกำหนดวันแต่งงานแล้วก็กลับมาเส้าหยาง ไม่ถึงครึ่งเดือนหลิ่วอี้ฮวนก็มาเป็นพ่อสื่อเอ่ยสู่ขอและหารือเรื่องพิธีแต่งงานของทั้งสอง ฉู่เหล่ยรู้มาว่าตอนนี้ตำหนักหลีเจ๋อดูแลโดยอวี่ซือเฟิ่ง มีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ รูปแบบต่างกับเมื่อก่อนสิ้นเชิง ก็อดชื่นชมไม่ได้ ในใจพวกผู้ใหญ่ คนเรามักต้องมีที่พักพิง ไม่อาจวันๆ เอาแต่รอนแรมไร้จุดหมาย เห็นชัดว่าอวี่ซือเฟิ่งรับตำแหน่งเจ้าตำหนักหลีเจ๋อทำให้พวกเขาสองสามีภรรยาพอใจมาก จึงตอบตกลงในทันที หารือว่าจะจัดพิธีในเดือนเก้า

ผ่านไปสองสามวัน เกี้ยวมงคลตำหนักหลีเจ๋อก็มาถึง เสวียนจีได้เป็นเจ้าสาวสมศักดิ์ศรียิ่งใหญ่ ไม่เหมือนครั้งก่อนที่ได้แต่แอบนึกอิจฉาวาสนาหลิงหลง แต่ในใจนางนั้น จริงๆ แล้วสิ่งเหล่านี้ไม่สำคัญ ผ่านเรื่องราวความทรงจำแสนเจ็บปวดที่เขาคุนหลุนมามากมาย บางครั้งตอนกลางวันหลับฝันไป นางถึงกับแยกไม่ออกว่าตนเองคือฉู่เสวียนจีหรือแม่ทัพเทพสงคราม หรือว่าเป็นหลัวโหวจี้ตูนั่น

อดีตอันแสนเจ็บปวดเหล่านี้ทำให้ความมุ่งมั่นปณิธานก็อ่อนกำลังลงตามไปด้วย กอปรกับยังได้สัมผัสรับรู้ว่าการใช้ชีวิตปกติสุขนั้นเป็นวาสนาสุขเช่นไร

“ข้าใช่ว่าจะไม่กลับมาอีกเสียหน่อย” นางยิ้ม “เพียงแค่คิดถึงก็เหินกระบี่กลับมาเยี่ยมเจ้ากับท่านพ่อท่านแม่ได้ตลอดเวลา รอให้เจ้าคลอดลูกก่อน พักผ่อนอีกสักระยะ ค่อยไปตำหนักหลีเจ๋อเยี่ยมข้าก็ได้ ตอนนี้ตำหนักหลีเจ๋อไม่มีกฎบ้าบอที่ห้ามสตรีเข้าไปแล้ว”

หลิงหลงได้ยินนางเอ่ยถึงลูก ก็อดก้มหน้าลงลูบท้องตนเองเบาๆ ไม่ได้ นางตั้งครรภ์ได้สองเดือนแล้ว พอจงหมิ่นเหยียนรู้ว่าภรรยาตั้งครรภ์ ทุกวันก็เหมือนลิงถูกไฟลนก้น ไม่เคยอยู่นิ่ง ครู่หนึ่งก็ส่งของกินมาให้นาง ครู่หนึ่งก็มานอนเป็นเพื่อนนางตอนบ่าย อย่าว่าแต่เหินกระบี่ออกไปเที่ยวเลย แม้แต่เดินมากไปหน่อยก็ถูกเขาทำท่าทางเจ็บปวดราวกับนางจะคลอดก่อนกำหนดเสียอย่างนั้น เหอตันผิงเห็นท่าทางจงหมิ่นเหยียนเช่นนี้ก็ได้แต่ถอนใจกล่าวว่า “เขายังเหมือนเด็กน้อยอยู่เลย จะได้เป็นพ่อคนแล้ว”

หลิงหลงนึกเรื่องตลกได้เรื่องหนึ่งก็อดเผยสีหน้าแย้มยิ้มไม่ได้ สีหน้าเบิกบานใจ ท่าทางซุกซนแบบเมื่อก่อนของนางลดลงไม่น้อย ตอนนี้ดูแล้วมีท่าทีแบบหญิงมีครรภ์อยู่บ้างจริงๆ ทำให้มองแล้วน่าหลงใหลอยู่บ้าง เสวียนจียิ้มตามกล่าวว่า “แค่สองเดือน หนังหน้าท้องยังไม่พองออกมาเลย พี่เขยร้อนใจทำไม วันนี้เจ้าออกมาพักผ่อนกับข้า กลับไปคืนนี้เขาย่อมเอาแต่บ่นข้าไม่ดูแลเจ้าให้ดีพอแน่เลย ใต้หล้าคงมีแต่เขาที่ดูแลเจ้าเป็น พวกเราล้วนใช้ไม่ได้ เชอะ รอให้เจ้าคลอดลูกก่อนเหอะ เกรงว่าพี่เขยคงได้ร้อนใจจนแทบไฟลนก้นทั้งวัน”

หลิงหลงค้อนใส่นางขวับหนึ่ง กล่าวเสียงอ่อนหวานว่า “ไม่รู้จักเด็กรู้จักผู้ใหญ่ หยอกล้อเขาทำไมกัน ไว้รอเจ้าจะคลอดบ้าง ข้าไม่เชื่อว่าซือเฟิ่งจะไม่เป็น”

เสวียนจียิ้มกล่าวว่า “ซือเฟิ่งไม่เป็นเช่นนี้แน่”

“ไม่ทันแต่งก็ช่วยแก้ตัวให้สามีตนเองละ” หลิงหลงแกล้งหยอก ดีดหน้าผากนางเบาๆ ทีหนึ่ง

พี่น้องสองคนคุยกันกระหนุงกระหนิงไปหลายเรื่อง หลิงหลงอย่างไรก็เป็นสตรีมีครรภ์ ยืนนานก็รู้สึกปวดเอว เด็กคนนี้แม้ว่าไม่ได้ทำให้นางรู้สึกทรมานนึกอยากจะอาเจียนอะไรนัก แต่วันๆ นางเหมือนไร้เรี่ยวแรง รู้สึกเหนื่อยง่าย ปวดเอวปวดหลัง นางทุบเอวพลางบ่นว่า “เจ้าหนุ่มน้อยนี่ยังอยู่ในท้องก็แย่งกำลังข้าแล้ว ออกมายังไม่รู้จะทรมานข้าอย่างไร”

เสวียนจีกล่าวอย่างแปลกใจว่า “เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าลูกชาย?”

หลิงหลงค้อนนางขวับ “เจ้าท้องก็รู้เอง นี่คือสัญชาตญาณของคนเป็นแม่!”

โลกนี้มีสัญชาตญาณแบบนี้ได้ด้วย? เสวียนจีไม่อยากจะเชื่อ กำลังจะกล่าว ก็ได้ยินเสียงหัวเราะดังแว่วมา เป็นศิษย์อายุน้อยหลายคนมาเที่ยวเล่นในป่าต้นเฟิง พอเงยหน้าเห็นเสวียนจีกับหลิงหลงยืนอยู่ใต้ต้นเฟิง ก็อดตะลึงงันไม่ได้ รีบคำนับหวาดกลัว “คารวะศิษย์พี่หลิงหลง ศิษย์พี่เสวียนจี”

กล่าวจบก็คิดรีบจากไปในทันที เด็กหญิงหนึ่งเดินเร็วไปหน่อย เครื่องประดับห้อยทำจากกระดองเต่าจึงไปเกี่ยวกิ่งต้นเฟิงล้มลง เสวียนจีร้องดังขึ้นว่า “พวกเจ้าช้าก่อน” นางขึ้นไปเก็บเครื่องประดับจากกระดองเต่านั่นมาปัดดินออก ส่งให้เด็กหญิงผู้นั้น กล่าวอ่อนโยนว่า “ไม่ต้องรีบร้อน รับไปสิ”

ดรุณีน้อยนั่นเห็นมือเสวียนจีที่ยื่นมาก็ตกใจจนหน้าซีด เพื่อนข้างๆ ที่มาด้วยกันก็ตกใจสีหน้าหวาดกลัว แทบอยากจะกระโจนวิ่งหนีไปในตอนนั้นเลย เสวียนจีกล่าวว่า “ของของเจ้า รับไปสิ”

ดรุณีน้อยนั่นรับเครื่องประดับมาด้วยท่าทางหวาดกลัว แม้แต่คำว่าขอบคุณก็กล่าวไม่ออก หันหลังวิ่งหนีไปทันที พวกที่มาด้วยกันจากไปไกลแล้ว ก็เหมือนแอบได้ยินคนกล่าวว่า “ไม่ได้ถูกนางแตะโดนใช่ไหม เครื่องประดับไม่ได้ถูกเผาใช่ไหม ได้ยินว่าร่างนางมีไฟทั้งตัว เมื่อก่อนเผาศิษย์พี่ไปหลายคน…แม้แต่เจ้าสำนักยังกลัวนางเลย พวกศิษย์พี่เหวินอวี่ต่างว่านางเป็นตัวประหลาด…”

“กล่าววาจาผายลมอะไรถึงคนอื่นลับหลัง?! แน่จริงก็มาพูดนี่!” หลิงหลงพลันตวาดเสียงดัง ท่าทางดุดันไม่เหมือนผู้หญิงอ่อนหวานดังเดิม เด็กพวกนั้นได้ยินเสียงนางก็แตกฮือราวผึ้งแตกรัง หลิงหลงโมโหคิดไล่ตามไป สบถด่าว่า “พวกลูกเต่าปากพล่อย! อย่าให้ข้าเห็นพวกเจ้าอีกนะ! พรุ่งนี้จะไล่ลงเขาให้หมด!”

เสวียนจีรีบเข้าไปดึงแขนเสื้อนาง ประคองนางไว้อย่างระมัดระวัง กล่าวเบาๆ ว่า “เจ้าอย่าอารมณ์ร้อนสิ ระวังลูกในท้อง ยังกระโดดอีกแน่ะ!”

หลิงหลงโมโห กล่าวว่า “ในสำนักไม่รู้มีข่าวลือพวกนี้มากันตอนไหน อยู่ต่อหน้าพวกเรายังไม่กล้าพูด ลับหลังพูดกันไปทั่ว! ไม่ตั้งใจฝึกยุทธ์ วันๆ คิดแต่เรื่องเหลวไหล พูดจาเลอะเทอะ! ทำไมท่านพ่อไม่จัดการนะ!”

เสวียนจีไม่สนใจสักนิด ยิ้มกล่าวว่า “พวกเขาก็กล่าวได้ไม่ผิด ข้าก็เป็นตัวประหลาดจริงๆ”

หลิงหลงผลักนางเต็มแรง สีหน้าครู่หนึ่งแดง ครู่หนึ่งขาว น้ำเสียงดุดันกล่าวว่า “เจ้าอย่าพูดจาเหลวไหลเช่นนี้นะ! ฟังแล้วสะดุ้ง! ตัวประหลาดอะไร เจ้าเป็นตัวประหลาด เช่นนั้นพวกเราทั้งครอบครัวก็ตัวประหลาดไปด้วยสิ?!”

เสวียนจียังคงยิ้ม “ข้ามักจะพูดสู้เจ้าไม่ได้เรื่อย” นางหันกลับไปมองป่าต้นเฟิง ใบเฟิงสีแดงราวเพลิงไฟเจิดจ้าส่องประกาย หากเป็นเวลาปกติก็น่าจะมีคนเดินผ่านไปมาพูดคุยเฮฮาหัวเราะไปทั่ว นางกล่าวอีกว่า “พอข้ากลับมา เด็กหลายคนก็นอนหลับไม่สนิท เจ้าว่า เพราะรู้ว่าข้ามาที่ป่านี่ พวกเขาเลยไม่กล้ามากันไหม เห็นข้าก็วิ่งหนี ท่านพ่อยังจะให้ข้าเป็นหนึ่งในเจ็ดอาวุโสยอดเขา ไหนเลยจะง่ายเช่นนั้น”

หลิงหลงร้อนใจกล่าวว่า “วาจาไม่อาจกล่าวเช่นนี้! เจ้าเป็นหนึ่งในเจ็ดอาวุโสยอดเขาเกี่ยวอันใดกับพวกเขา เจ้าพวกมีความคิดเห็นมากพวกนั้นล้วนเป็นพวกใช้การไม่ได้ทั้งนั้น กลับไปก็จะไล่พวกเขาไปให้หมด! ดูสิว่าผู้ใดจะกล้าพูดจาเลอะเทอะอีก!”

เสวียนจีส่ายหน้ากล่าวว่า “วันนี้ไล่ไป พรุ่งนี้ยังมีคนพูด ใช้วิธีการเดิมๆ สกัดปากผู้คนต่อไป นับเป็นความโง่เขลาอย่างที่สุด ยังทำให้ศิษย์คนอื่นบนเขาหนาวใจ ไม่เป็นผลดีต่อสำนักเส้าหยาง ข่าวลือแม้แพร่พันปี ความจริงก็ไม่อาจเปลี่ยนไปเพราะข่าวลือหรอก ฟ้ารู้ ดินรู้ ก็เพียงพอแล้ว ไยต้องโมโหคนที่ไม่รู้ความพวกนั้นด้วยเล่า จะว่าไปข้าก็ไม่คิดเป็นผู้อาวุโสยอดเขา เจ้าก็รู้ แต่เล็กข้าก็มีนิสัยเกียจคร้าน เป็นอาวุโสต้องคอยกังวลนี่ กังวลนั่น ไม่ใช่ชีวิตที่สุขสบายเสียหน่อย”

นางมองหลิงหลงที่ยังฮึดฮัดไม่พอใจ ก็กุมมือนางไว้พลางยิ้มกล่าวว่า “เจ้าดูข้า ข้ามีตรงไหนไม่เหมือนเจ้า จะเป็นตัวประหลาดได้อย่างไร เห็นๆ ว่าเป็นสาวงามถึงจะถูกต้อง” พูดจนนางเองยังอดหัวเราะเองไม่ได้

หลิงหลงหลุดหัวเราะตาม สีหน้านางเคร่งขรึมกล่าวว่า “ข้าสิพูดสู้เจ้าไม่ได้! เอาละ ไม่ถือสาพวกไร้สมองพวกนั้นแล้ว! นั่งอยู่ในบ่อมองฟ้า มองแสงแค่ระยะสั้น วันหน้าพวกเขาย่อมลำบากตนเอง!”

ทั้งสองพูดคุยกันอีกครู่หนึ่งก็เห็นเหอตันผิงกับฉู่อิ่งหงเดินมา พอเห็นเสวียนจี ฉู่อิ่งหงก็โบกมือยิ้มกล่าวว่า “หาเจ้าสาวเจอเสียที! เจ้าสาวท่านนี้ ขบวนสามีเจ้ามาถึงแล้ว! อยากไปแอบลอบมองเขาสักแวบไหม”

เหอตันผิงเข้าไปประคองหลิงหลง ยิ้มกล่าวว่า “เสวียนจี ซือเฟิ่งมาแล้ว ไปเตรียมตัวหน่อย อีกสองวันก็จะเป็นพิธีแต่งงานแล้ว”

ตั้งแต่เสวียนจีกลับถึงสำนักเส้าหยางมารออวี่ซือเฟิ่งยกขบวนมาสู่ขอ รอไปรอมาก็ครึ่งปีแล้ว ไม่ได้เจอเขามาครึ่งปีได้ ในใจก็ย่อมคิดถึงจับใจ นางเห็นทุกคนล้วนเผยรอยยิ้มบางมองนาง รู้ว่าพวกนางคิดหยอกเย้ายุให้นางแอบไปพบซือเฟิ่ง ธรรมเนียมที่นี่ก่อนแต่งงานห้ามชายหญิงพบกัน แต่พวกเขาเป็นผู้บำเพ็ญเซียน ธรรมเนียมพวกนี้ก็แค่เอามาใช้ไปอย่างนั้น ไม่ได้จริงจังอะไรมากนัก

ดังนั้นนางกล่าวว่า “อยู่ที่ไหน ข้าไปดูหน่อย”

สตรีทั้งสามหัวเราะดังขึ้นมา เหอตันผิงกล่าวว่า “โถงบุปผาบนยอดเขาเส้าหยาง กำลังคุยเรื่องพิธีแต่งงานกับท่านพ่อเจ้า เจ้าเด็กนี่ ไม่ได้เจอกันแค่ครึ่งปี อีกสองวันก็ได้เจอกันแล้วไม่ใช่หรือ ทนไม่ไหวถึงเพียงนี้เลยหรือนี่”

วาจาแม้ว่ากล่าวเช่นนี้ แต่นางยังคงนำทั้งสามคนแอบขึ้นไปเส้าหยาง ผู้ใหญ่สองคนแน่นอนย่อมไม่ทำเรื่องอย่างเช่นแอบไปฟังหรือแอบไปดู หากเพียงแค่ไปยืนอยู่ริมหน้าต่าง มีแต่หลิงหลงกับเสวียนจี คนหนึ่งแอบมองทางหน้าต่าง อีกคนแอบไปมองผ่านทางประตู แอบมองลอดช่องเข้าไปด้านใน

ดังคาด อวี่ซือเฟิ่งนั่งอยู่ในโถงบุปผา สวมชุดยาวหมวกดำ ท่าทางสง่างาม ภาษิตว่าวันหนึ่งไม่ได้พบหน้าราวกับสามปี พวกเขาเองไม่รู้ไม่ได้พบกันกี่ปีแล้ว เสวียนจีเดิมคิดแค่มาลอบมองเล่นๆ ยามนี้กลับไม่รู้ทำไม รู้สึกเพียงแค่ใจเต้นแรงมาก อยู่ๆ รู้สึกว่าการแอบมองสักแวบก็ไม่เลว

ได้ยินเสียงคนในห้องคุยกัน ฟังไม่ชัด อวี่ซือเฟิ่งวางถ้วยชาลง อยู่ๆ เงยหน้าขึ้น มองมาทางเสวียนจีที่แอบมองลอดเข้ามาพอดี เขายิ้มเล็กน้อย เสวียนจีตกใจรีบลดตัวลง ผู้ใดจะรู้ว่ามีเสียงประตูเปิดออก ฉู่เหล่ยดูเหมือนจะยิ้มก็ไม่ยิ้ม ยืนมองพวกนางอยู่ที่ประตู

[1] ใบต้นเมเปิ้ล จะเปลี่ยนเป็นสีแดงในฤดูใบไม้ร่วง