“เจ้าตัวซุกซนสองคนนี่” เขายิ้มเรียก ตบไหล่เสวียนจีทีหนึ่ง ก่อนหันกลับไปถลึงตาใส่หลิงหลง “ตั้งครรภ์แล้วยังตามมาเหลวไหลกับคนอื่นเขาอีก! เมื่อครู่หมิ่นเหยียนไปป่าต้นเฟิงหาพวกเจ้าไม่เจอ ร้อนใจราวเสือติดจั่น เจ้าไม่รีบกลับไปอีก”
หลิงหลงแค่นเสียงฮึ ยู่ปากกล่าวว่า “ให้เขาร้อนใจไปเลย! จะร้อนใจตายให้มันรู้ไป วันๆ เอาแต่ไม่ข้าทำนั่นทำนี่ น่ารำคาญจะตาย”
ฉู่เหล่ยถลึงตาดุนาง “เหลวไหล” หันกลับไปกล่าวกับอวี่ซือเฟิ่ง “ซือเฟิ่งเจ้าตามข้ามา ข้าจัดห้องรับรองให้เจ้า”
อวี่ซือเฟิ่งรับคำ ค่อยๆ เดินออกไป ฉู่เหล่ยตั้งใจก้าวช้าๆ ราวกับเหลือเวลาให้เขาสองคนได้พูดจากัน พวกหลิงหลงทิ้งระยะห่างอยู่ด้านหลังไม่ก้าวตามออกมา อวี่ซือเฟิ่งเผยรอยยิ้มบางเดินเข้าไปหาเสวียนจี พลันก้มหน้ากระซิบข้างหูนางคำหนึ่ง ตามมาด้วยลูบศีรษะจัดผมให้นาง ก่อนจะเดินจากไป
หลิงหลงทนไม่ไหวรีบวิ่งเข้ามา ดึงแขนเสื้อนางถามติดๆ กันว่า “เขาพูดอะไรๆ?”
เสวียนจีสีหน้างุนงง พึมพำกล่าวว่า “เขาว่า อีกสองวันมีเรื่องสนุก…ให้ข้าเตรียมตัวให้พร้อม”
หมายความว่าอย่างไร อะไรคือเรื่องสนุก งงไปหมดแล้ว แม้แต่ฉู่อิ่งหงเองก็ไม่รู้ว่าชายหนุ่มแอบซ่อนอะไรเอาไว้
คำถามนี้วนเวียนในความคิดเสวียนจีไปจนถึงยามเข้านอน ยังคงคิดไม่ออกว่ามันคืออะไรกันแน่ อีกสองวันก็ถึงวันแต่งงาน เขาจะทำอะไรในวันแต่งงาน โอยๆ คิดแล้วปวดหัวจริง นางเลยไม่คิดเสียเลย พิงเตียงอ่านหนังสืออยู่ครู่หนึ่ง มองผ้าคลุมมงกุฎหงส์เจ้าสาวบนชั้นวางอีกครู่หนึ่ง กว่าจะผล็อยหลับไปได้ก็นานไม่น้อย
ท่ามกลางสติเลือนราง รู้สึกเพียงแค่จมสู่ห้วงฝัน รอบกายแปลกประหลาดยากอธิบาย ตนเองกลายเป็นหลัวโหวจี้ตูนอนอยู่บนเตียง รอไป๋ตี้ใช้มีดสั้นมาตัดหัวควักหัวใจออกไปใส่ในโถผลึกแก้วหลิวหลี นางทั้งตกใจทั้งหวาดกลัวทั้งโมโห หลากอารมณ์ดิ้นรน เกือบจะแน่นิ่งขยับตัวไม่ได้ อีกสักพักก็พลันรู้ตัว ตนเองเหมือนถูกคนใส่ลงในโถผลึกแก้วหลิวหลี ไม่อาจขยับได้ สองมือไป๋ตี้ประคองโถผลึกแก้วหลิวหลีอย่างทะนุถนอมราวกับคนรัก น้ำเสียงอ่อนโยนเวียนวนก้องในหู เป็นสางงามผลึกแก้วหลิวหลีแล้วกัน…
นางรู้สึกเพียงแค่ลำคอเฝื่อนขม แทบจะแผดเสียงร้องไห้ดังออกมา
นางไม่ใช่อะไรทั้งนั้น ไม่ใช่มนุษย์ ไม่ใช่เทพ ไม่ใช่อสูร แม้แต่เดรัจฉานก็ไม่ใช่ นางเป็นเพียงตัวประหลาดที่ถูกตัดจากเศษผลึกแก้วหลิวหลีเท่านั้น ไม่นับเป็นส่วนใดของทั้งหกแดน แต่นางรู้สึกว่านางเป็นแค่มนุษย์ธรรมดาที่สุดเท่านั้น
รอบๆ ราวกับมีเพลิงร้อนแรงเจิดจ้า ท่ามกลางเปลวเพลิงมีเงาร่างคนผู้หนึ่งท่วมไปด้วยเลือด มองไม่เห็นสภาพแท้จริงแม้แต่น้อย เห็นเพียงหว่างคิ้วมีผนึกทองคำส่องประกาย คนผู้นั้นกล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “ข้ารู้แล้วว่าตนเองทำผิดมหันต์ ตอนแรกสุดนั้นถูกจิตมารครอบงำ จึงทำความผิดมหันต์เช่นนั้นลงไปได้ มีความผิดควรถูกลงโทษตอนนี้ท่านมีความสุขสำราญ ดีมาก ราชันสวรรค์เคยตรัสว่า ผู้มีใจมั่น แดนมนุษย์ก็คือแดนสวรรค์ ท่านเปลี่ยนตัวตนเป็นผู้มีใจมั่น ผลึกแก้วหลิวหลีก็กลายเป็นเลือดเนื้อได้ ดูแลตัวเองให้ดี”
กล่าวจบ ท่ามกลางกองไฟราวกับมีร่างอสูรอัปลักษณ์ คว้าเขากลับไปเคี้ยวแล้วกลืนลงไป สายตาอสูรลุกโชนนั่นแสนองอาจ มองดูแล้วใบหน้ามีความคล้ายหลัวโหวจี้ตูอยู่แปดส่วน
เสวียนจีรู้สึกเพียงแค่ตกใจมาก ไม่ทันระวังอสูรนั่นก็เงยหน้าขึ้นมองนาง สะบัดฝ่ามือทีหนึ่งก็ทะยานพุ่งขึ้นผ่านท้องฟ้าเข้าโจมตีนาง เสวียนจีตกใจสีหน้าแปรเปลี่ยน ทั่วร่างพลันกระตุก ลืมตาผึงขึ้นทันที จึงได้รู้ว่าเป็นเพียงความฝัน นางเดี๋ยวร้อนเดี๋ยวหนาว เหงื่อไหลเปียกชุ่มไปหมด
ความฝัน? หรือไม่ใช่? นั่นคือภาพไป๋ตี้กับหลัวโหวพอตายลงก็ไปอยู่ในคุก?
เสวียนจีรีบจะลุกขึ้น ยามนี้เพิ่งจะเช้าตรู่ เริ่มมีแสงอาทิตย์รำไร เมื่อคืนถึงกับผ่านไปเช่นนี้ได้ ใจนางเต้นแรงมาก นางอดยกมือขึ้นกดไว้ไม่ได้ พอคิดถึงที่ไป๋ตี้กล่าวว่า ผู้มีใจมั่น ผลึกแก้วหลิวหลีก็กลายเป็นเลือดเนื้อได้ ก็อดสั่นไหวในใจไม่ได้ พิงหัวเตียงรับรู้ความรู้สึกนับพันที่ผุดขึ้นมา
ตอนบ่ายหลิงหลงมาคุยกับนางอีก เสวียนจีจึงถามนาง “ตอนนี้เจ้ายังฝันร้ายอีกไหม”
หลิงหลงอึ้งไป คิดอยู่เป็นนานก่อนจะได้สติคิดได้ว่านางถามถึงอะไร นางหน้าแดงกล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “ไม่ได้ฝันนานแล้ว เจ้าพูดถูก เป็นข้าคิดไม่ตกเอง ดังนั้นทุกวันจึงเก็บคนผู้นั้น…ไปฝัน ตอนนี้ข้ามีชีวิตสุขสบาย มีลูกแล้วด้วย ข้าไม่ได้คิดถึงเขาอีกแล้ว”
นางเห็นเสวียนจีไม่กล่าวอันใด จึงกล่าวอีกว่า “ทุกอย่างล้วนต้องผ่านไป ไม่ว่าเรื่องราวใหญ่โตเทียมฟ้าเพียงใด ตอนนั้นพวกเรารู้สึกทุกข์ทรมานจนคิดว่าไม่อาจผ่านมันไปได้ แต่ต้องมีสักวันที่จะค่อยๆ ผ่านไป พอเจ้ารู้ตัวก็จะพบว่าลืมเรื่องราวทุกข์ใจพวกนั้นไว้เบื้องหลังนานแล้ว”
ถูกต้อง เวลาค่อยๆ ไหลผ่านไป เรื่องราวใหญ่โตก็ย่อมถูกกระแสแห่งกาลเวลาชำระล้างสิ้น ไม่เหลือร่องรอยทิ้งไว้ให้เห็นอีก วันนี้ยิ้ม พรุ่งนี้ร้องไห้ วันหน้าอาจรู้สึกว่าไม่อาจมีชีวิตต่อไปได้ ทุกสิ่งล้วนแสนวุ่นวายเช่นนั้น และยังสงบยิ่งเช่นนั้น นี่ก็คือชีวิตคนเรา
“ผู้ใดไม่มีเรื่องสลักลึกในความทรงจำกัน แต่จะสลักลึกเพียงใด หันกลับไปมองก็คงมีสักวันที่ย่อมลืมได้” หลิงหลงกล่าวเช่นนี้
เสวียนจีพลันพบว่าตนเองต้องมองพี่สาวคนนี้ใหม่แล้ว พี่สาวก็เป็นพี่สาววันยังค่ำ นางเข้าใจเหตุผลตามหลักการเหตุผลแท้จริง
“หลิงหลง ข้าเพิ่งพบว่าเจ้านับวันยิ่งเหมือนตาแก่ชาญปัญญาแล้วนะ”
ตาแก่ชาญปัญญาก็คือหมอดูดวงชะตาในหมู่บ้านเชิงเขา ว่ากันว่ารู้ปรุโปร่งศาสตร์ทำนายแขนงต่างๆ เช่น พยากรณ์ท้องฟ้า ทำนายแบบเก้าช่อง ทำนายแบบแผนฝังแปดทิศ อะไรพวกนั้น แทบจะไม่มีอะไรที่เขาไม่รู้ ดังนั้นผู้คนจึงแอบเรียกเขาลับหลังว่าตาแก่ชาญปัญญา ฟังแล้วดูสนิทสนมปนขำ
หลิงหลงแสร้งทำเสียงโมโหคำรามดึงเปียเสวียนจี ร้อนใจกล่าวว่า “เหลวไหล! ข้าไหนเลยจะเหมือนตาแก่หน้ามีไฝดำเม็ดโตนั่น?!”
เสวียนจีรีบหัวเราะหลบ ร้องดังขึ้นว่า “หมายถึงรัศมี! รัศมีอย่างไร!”
“เขามีรัศมีอะไร! กล้าเทียบกับข้าหรือ!”
ทั้งสองกำลังผลักกันไปมาบนเตียง พลันได้ยินจงหมิ่นเหยียนหน้าประตูร้องเสียงดังแตกตื่นขึ้นว่า “หลิงหลง! เจ้าอย่ารุนแรง! ระวังกระแทก!”
พูดพลางผลักประตูวิ่งเข้ามาทันที หากประคองนางลงจากเตียงอย่างไม่รีบร้อน หลิงหลงรีบส่งเสียงดังว่า “ข้าได้แต่นอนเฉยๆ บนเตียง? คลอดลูกนี่มีอะไรสนุกกัน จะให้ข้าเป็นเหมือนหุ่นไม้นอนนิ่งๆ สิบเดือนให้ได้หรือ!”
“เจ้ายอมนอนดีๆ ก็จะดีที่สุด สะเทือนครรภ์เข้าไม่ใช่เรื่องเล็กนะ ลูกเรื่องเล็ก ทำร่างกายเจ้าบาดเจ็บสิเรื่องใหญ่”
จงหมิ่นเหยียนตั้งแต่รู้ว่าตนเองจะเป็นพ่อคน ก็แก้ไขนิสัยวู่วามลงได้ไม่น้อย เมื่อก่อนอย่างไรก็ต้องโต้เถียงกับหลิงหลง ตอนนี้กลับยอมนางทุกอย่าง ไม่ว่ามีเหตุผลหรือไม่ก็ยอมลงให้หมด ทะนุถนอมเสียยิ่งกว่าไข่ในหินเสียอีก
เสวียนจีกัดผ้าเช็ดหน้า เพียงยิ้มกล่าวว่า “พี่เขยอยากจะใช้เชือกมัดหลิงหลงไว้กับมือถึงจะสบายใจสักหน่อยใช่ไหม”
เมื่อก่อนจงหมิ่นเหยียนเห็นเสวียนจีไม่โมโหก็ไม่รู้ควรกล่าวอันใด ตอนนี้หลังจากแก้ปมในใจเมื่อก่อนหมดไปแล้ว ท่าทีก็เป็นธรรมชาติมากขึ้น จึงถลึงตาใส่นางทันที กล่าวว่า “เจ้าหัวเราะอะไร! รอให้เจ้าเป็นแม่คนก่อนก็รู้เอง”
หลิงหลงถูกเขาบ่นจนไม่รู้จะรับมืออย่างไรไหว ได้แต่ลงจากเตียงคิดเดินออกไป ถอนใจกล่าวว่า “ตอนนี้กลับตาลปัตรไปหมดแล้ว เจ้ายังไม่แก่ก็กลายเป็นหญิงแก่ บ่นเสียยิ่งกว่าท่านแม่ข้าอีก ไปเถอะๆ น้องสาวข้าหัวเราะเยาะแย่แล้ว!”
จงหมิ่นเหยียนประคองภรรยาออกไปพักผ่อนอย่างเต็มใจ อยู่ๆ นึกอะไรขึ้นมาได้ หันกลับไปกล่าวว่า “เสวียนจี เจ้าสำนักให้ข้ามาถามเจ้าเรื่องอาวุโสเจ็ดยอดเขา เจ้าไม่ไตร่ตรองอีกสักครั้งจริงหรือ ตอนนี้สำนักเส้าหยางกำลังรับศิษย์ใหม่ ศิษย์เก่ายังไม่มีความสามารถพอจะรับตำแหน่งได้ ยังพัฒนาตามมาไม่ทัน เจ้าคิดจะนั่งมองเฉยๆ ไม่สนใจจริงๆ?”
เสวียนจีส่ายหน้า “ข้าไม่คิดเป็นอาวุโส ผู้ใดว่าสำนักเส้าหยางไร้คนมีความสามารถ บรรดาศิษย์พี่รุ่นอักษรเจินอักษรตวนก็เป็นได้ เพียงแต่ท่านพ่อรู้สึกว่าพวกเขาฝีมือยังไม่พอ แต่หากพูดถึงประสบการณ์ พวกเขาเก่งยิ่งกว่าข้าร้อยเท่า เลือกผู้อาวุโสก็ใช่ว่าจะเลือกว่าคนไหนฝีมือร้ายกาจที่สุดเสียหน่อย”
จงหมิ่นเหยียนตะลึงอึ้งไปชั่วครู่หนึ่ง ถอนใจกล่าวว่า “ข้าได้ยินว่าซือเฟิ่งกะว่าอีกสองสามปีก็จะไม่เป็นเจ้าตำหนักหลีเจ๋อแล้ว พวกเจ้าจะไปบุกเบิกดินแดนโพ้นทะเล วันหน้ากะจะไม่กลับมาอีกจริงหรือ”
เสวียนจียิ้มกล่าวว่า “พวกเราสองคนเป็นคนขี้เกียจ เที่ยวสักพักก็เบื่อแล้ว ย่อมหาที่อยู่ปักหลักพักสักค่อยเที่ยวต่อ ทำไมบอกว่าจะไม่กลับมาอีกล่ะ ที่นี่ก็คือบ้านของพวกเรา ข้าไปไหนก็ย่อมไม่ทิ้งบ้านอย่างไม่ไยดีหรอกน่า”
จงหมิ่นเหยียนกล่าวเบาๆ ว่า “เช่นนี้ก็ดีที่สุด อย่าให้พวกเจ้าสำนักเป็นห่วง แต่ข้าว่าเจ้าต้องคิดไปแล้วไม่กลับมาอีกแน่เลย”
เสวียนจีตกใจ ได้ยินเขากล่าวเพียงว่า “แต่เล็กเจ้าก็เป็นเช่นนี้ ไปที่ไหน ทำอะไร ล้วนคิดด้วยตนเอง ไปแดนปรภพ ไปเขาคุนหลุน เจ้าก็ไม่พูดสักคำ นิสัยเสียนี้ต้องแก้ไขสักหน่อยนะ”
คิดไม่ถึง ศิษย์พี่ที่ปกติไม่ได้ชอบอะไรนางนัก กลับเป็นคนที่เข้าใจนางที่สุดในสำนัก จริงๆ แล้ว นางคิดไปจากภาคกลาง ไปให้ไกลจากอดีตเหล่านั้น ไปใช้ชีวิตกับซือเฟิ่งเงียบๆ สองคน อยากพูดให้ดูน่าฟังสักหน่อยก็คือไม่อยากให้ครอบครัวเป็นกังวล ผู้ใดจะคิดว่าจงหมิ่นเหยียนมองออก
นางยิ้มกล่าวว่า “เจ้าก็รู้นี่ ไยต้องให้พูด ข้าต้องกลับมาเยี่ยมเรื่อยๆ ก็ไม่ใช่ว่าพรุ่งนี้จะหายตัวไปเลยเสียหน่อย”
จงหมิ่นเหยียนถอนหายใจส่ายหน้ากล่าวว่าดูแลตัวเองให้ดี ก่อนจะประคองหลิงหลงกลับที่พักตนเอง
พวกเขาไม่ใช่หนุ่มสาววัยเยาว์ในวันวานที่ไม่เข้าใจอะไรอีกแล้ว ไม่ใช่พวกที่เอาแต่หวั่นไหวไปกับอารมณ์ความรู้สึกที่ซับซ้อนอีกแล้ว ตอนนี้พวกเขาบ้างก็สร้างครอบครัวกันไป บ้างก็มีลูกกันไป คำสาบานว่าจะอยู่ด้วยกันตลอดไปนั้นยังคงดังก้องในหู แต่วันนี้กลับต้องแยกจาก คำถามที่เคยสร้างสับสนทุกข์ทรมาน วันนี้ก็สลายไปหมดสิ้น ราวกะพริบตาก็ผ่านพ้น
อยู่ด้วยกันตลอดไป ช่างเป็นวาจาดังเด็กน้อยเสียจริง
เสวียนจีรินสุราให้ตนเองจอกหนึ่ง นึกถึงเรื่องราววัยเยาว์ที่ได้เป็นวีรชนครั้งแรกในหมู่บ้านลู่ไถ เป็นครั้งแรกที่ได้เห็นใบหน้าซือเฟิ่ง เป็นครั้งแรกที่หวั่นไหวไปกับชายหนุ่ม เป็นครั้งแรกที่ได้ดื่มสุรา เป็นครั้งแรก…ครั้งแรกช่างมากมาย หลังจากครั้งแรกหลายครั้งนั้นก็มีภาพความทรงจำงดงามตามมาราวพวงไข่มุกร้อยเรียง พอเติบโตขึ้น แม้ว่าไม่อาจมีความรู้สึกไร้เดียงสาเช่นนั้น แต่ก็รำลึกดื่มด่ำกับมันได้
ผู้มีใจมั่น ผลึกแก้วหลิวหลีก็เป็นเลือดเนื้อได้ นางยกจอกสุราขึ้นชู ก่อนจะดื่มรวดเดียวหมดจอก
นางมีทุกอย่างมากมายเช่นนี้ มีความปรารถนาวาดหวังมากมายเช่นนี้ ผู้ใดยังว่านางไม่ใช่มนุษย์