บทที่ 175 เสียใจนะ...ข้าไม่เห็นด้วย ! (ต้น)

หนึ่งกระบี่นิจนิรันดร์

บทที่ 175 เสียใจนะ…ข้าไม่เห็นด้วย ! (ต้น)

ณ ปากทางเข้าสู่หุบเขาลึก มีบานประตูผลึกแก้วสีฟ้าใสกระจ่างส่องสว่างขวางกั้น หากมองไปจะคล้ายห้วงน้ำกำลังหมุนเป็นเกลียวน้ำวนน่าพิศวง

ขณะนั้น ร่างของชายหนุ่มผู้หนึ่งในมือถือกระบี่ยาวกำลังเดินตรงเข้ามาช้า ๆ คนที่ใครต่อใครจดจำได้อย่างแม่นยำ เขาผู้นั้นคือเยี่ยฉวน ที่ติดตามมาด้วยโม่อวิ๋นฉีและคนอีกสองคน

จี้อันซื่อกวาดสายตามาทางประตูที่มีแสงสว่าง พึมพำเสียงกระซิบพอให้ได้ยิน “ถึงแล้วสถานที่แห่งความลับ!”

เยี่ยฉวนสูดลมหายใจหลับตาลง “ข้าเองไม่อาจรู้ได้ว่าข้างในมีอะไรกำลังรอเราอยู่ แต่ถึงอย่างไรข้าก็จะเข้าไป และพวกเจ้า…”

“ตกลง ตกลง !” โม่อวิ๋นฉีโบกมือเป็นเชิงตัดบท “เจ้านี่ชอบพูดเยิ่นเย้อ เร็วเข้า พวกเจ้าพยายามถ่วงเวลาศัตรูไว้ ส่วนข้าจะไปตามหาน้องหลิงเอ๋อร์เอง”

ชายหนุ่มหันมามองโม่อวิ๋นฉี ก่อนเหลือบไปทางคนอื่นอีกสองคน เขาหันกลับเดินไปทางประตูโดยไม่พูดอะไร มีไป๋เจ๋อและจี้อันซื่อตามมาติด ๆ จากนั้นคนทั้งสามจึงทยอยเดินหายเข้าประตูแสงสว่างไปทีละคน

ขณะนั้นโม่อวิ๋นฉีจับตาดูอยู่ เขาสูดลมหายใจ “น้องหลิงเอ๋อร์ โปรดรอดปลอดภัยโดยสวัสดิภาพด้วยเถิด… ข้าอยากกินอาหารฝีมือของเจ้าเต็มทีแล้ว…” กายสั่นสะท้านเล็กน้อย ขณะก้าวตรงไปที่ประตูแสงสว่าง

ในลานกว้าง

หลังจากนั้นไม่ถึงหนึ่งก้านธูป ปรากฏเงื่อมเงามากมายโฉบมาใกล้และในไม่ช้าเงื้อมเงาเหล่านั้นก็พากันทะยานผ่านเข้าสู่ประตูแสงสว่าง

ณ บนอากาศ ชายชราผู้หนึ่งเพ่งมองไปที่ประตูแสงสว่าง  เขาคือหลี่เสวียนชาง อาจารย์ใหญ่แห่งสถานศึกษาฉางมู่ และคนอีกผู้หนึ่ง ชายในชุดดำ ! เสียงของคนชุดดำพูดว่า “คนผู้นี้ไม่ธรรมดา !”

ผู้ฟังยังคงสีหน้าเรียบเฉยเช่นที่เคย “เพราะไม่ธรรมดา จึงเป็นเหตุผลสำคัญว่าทำไมเขาต้องตาย !”

ชายในชุดดำนิ่งเงียบ

หลี่เสวียนชางหลับตาลงช้า ขณะที่เสียงพูดดังมาว่า “เมื่อถึงคราวจำเป็น ก็ต้องทำทุกวิถีทาง…”

อีกด้านหนึ่งบนยอดไม้ ชายชราสองคนกำลังจับตามองที่ประตูแสงสว่างไม่ห่างออกไป

หนึ่งในสองชัดเจนว่าคืออดีตฮ่องเต้แห่งแคว้นเจียง เจียงเยว่เทียน และอีกคนคือจ้าวหอชั้นที่เก้าแห่งสำนักอัปสรเมรัย !

เจียงเยว่เทียนหันไปสบตากับจ้าวหอชั้นเก้า ริมฝีปากปรากฏรอยยิ้มเจือจาง “จ้าวหอชั้นเก้า ข้าแปลกใจนักที่คราวนี้ท่านกลับเลือกเข้าข้างเยี่ยฉวน”

จ้าวหอชั้นเก้าตอบอย่างใจเย็น “ข้าก็แปลกใจท่านไม่น้อยกว่ากัน หวังว่าท่านคงจะรู้ว่า หากท่านเป็นฝ่ายที่แพ้เดิมพัน ราชสำนักเจียงจะต้องเผชิญหน้ากับการล้างแค้นของสถานศึกษาฉางมู่อย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง”

เจียงเยว่เทียนยิ้มน้อย ๆ เช่นเคย “ถ้าให้เดาข้าว่าท่านก็เดิมพันสูงเช่นกัน ฉะนั้นท่านกับข้า พวกเรามาร่วมมือกันเสียเลยเป็นไง ?

จ้าวหอชั้นเก้านิ่งเงียบ

เสียงของเจียงเยว่เทียนพูดต่อไป “เวลานี้พวกยอดยุทธ์แก่ ๆ ทั้งหลายต่างมุ่งหน้ามาที่นี่ พวกเราอาจช่วยป้องกันเขาจากตาเฒ่าต่ำช้าเหล่านั้น เพราะถ้าคนเป็นในวัยไล่เลี่ยกัน เขาย่อมสามารถจัดการได้ด้วยตนเองอยู่แล้ว”

คนฟังเงียบไปครู่ใหญ่ จึงหันมาพยักหน้าตอบ “ตกลง !”

เจียงเยว่เทียนหันกลับไปมองทางประตูแสงสว่างอีกครา สีหน้าเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม

การเดิมพัน ! ครั้งนี้นับเป็นการเดิมพันครั้งยิ่งใหญ่ของราชสำนักเจียง ! เขาเดิมพันด้วยเชื่อว่าเยี่ยฉวนมียอดปรมาจารย์ที่อยู่เบื้องหลังคอยสนับสนุน !

ถ้าฉางมู่เป็นพ่ายแพ้ เขาจะเป็นผู้ได้ชัยชนะในการเดิมพัน เมื่อนั้นราชสำนักแห่งแคว้นเจียงจะได้ประโยชน์มหาศาล อีกทั้งยังได้สานสัมพันธ์กับเยี่ยฉวน ใครต่างรู้ดีว่าเยี่ยฉวนและองค์หญิงเก้าเป็นสหายสนิทสนม ตอนนี้ทางราชสำนักหันมาเลือกข้างเยี่ยฉวนอย่างเปิดเผย ย่อมจะเป็นการดีที่จะได้กระชับความสัมพันธ์ของทั้งสองฝ่ายให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น

ด้วยความเป็นยอดฝีมือของเยี่ยฉวน ในอนาคตเขาต้องประสบความสำเร็จยิ่งขึ้นไป ยิ่งเยี่ยฉวนกล้าแกร่งมากขึ้น ราชสำนักแห่งแคว้นเจียงก็มีแต่จะได้ประโยชน์ !

แต่ถ้าเขาเป็นฝ่ายแพ้เดิมพัน… ราชสำนักแคว้นเจียงจะต้องเผชิญหน้ากับสถานศึกษาฉางมู่โดยตรงอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง ถึงเวลานั้นสถานศึกษาฉางมู่จะต้องกระทำการตอบโต้ต่อราชสำนักอย่างโหดเหี้ยม ทั้งยังร่วมกันกับแคว้นถังทำสงครามกับแคว้นเจียง…

“เราจะแพ้ไม่ได้เด็ดขาด !” เจียงเยว่เทียนหลับตาลงเพื่อข่มสติ

ในความเป็นจริง เขาไม่จำเป็นต้องเลือกเดินสู่เส้นทางที่ไม่อาจหวนกลับก็ได้ แต่จะว่าไปเพราะเขาไม่มีทางเลือกมากนัก เพราะเจียงจิ่วเองก็มาถึงแคว้นหนิงแล้ว นางเลือกที่จะยืนข้างเยี่ยฉวนอย่างไม่ต้องสงสัย ซึ่งย่อมหมายถึงราชสำนักแคว้นเจียงเลือกข้างเยี่ยฉวนเช่นกัน เว้นเสียแต่แคว้นเจียงจะยอมทิ้งเจียงจิ่ว !

นึกถึงสิ่งนี้ เจียงเยว่เทียนได้แต่ส่ายหน้าและทอดถอนใจ “ผู้หญิงเติบใหญ่แล้ว วันหนึ่งต้องเป็นของคนอื่น…”

….

ณ สถานที่แห่งหนึ่ง สตรีสวมผ้าคลุมสีดำปักลวดลายมังกรยืนอยู่บนเนินศิลา ท่าที่เอามือไพล่หลัง ผมยาวดำขลับปล่อยสยายทางเบื้องหลังปลิวกระจายตามแรงลม รัศมีแห่งอำนาจและบุคลิกมั่นใจฉายชัด

แท้ที่จริงแล้วนางคือ ทัวป้าเหยียน ! ด้านหลังติดตามมาด้วยคนอีกสองคน หนึ่งชายชราและหนึ่งหญิงชรา

ทัวป้าเหยียนชำเลืองมองประตูแสงสว่างด้วยท่าทีเมินเฉย “ชายหนุ่มผู้นั้นมาถึงที่นี่เพื่อช่วยน้องสาว ทั้งที่รู้ว่าตนเองแทบไม่มีทางชนะ พวกท่านคิดว่าเพราะความโง่หรือเพราะอารมณ์ชั่ววูบ ?”

ชายชราทางเบื้องหลังเอ่ยด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น “ความโง่ ! แน่นอนพะย่ะค่ะ ต่อให้ยอดฝีมือที่เป็นรองเพียงอันหลานซิ่ว หากไม่คิดเอาชีวิตมาทิ้ง ในกาลข้างหน้าย่อมเป็นไปไม่ได้อยู่แล้วที่เขาจะล้มล้างอำนาจของสถานศึกษาฉางมู่ เขา…”

“หุบปาก !” ทันใดนั้น หญิงชราซึ่งยืนอยู่อีกด้านหนึ่งเหลือบมองคนพูด สายตาแสดงความไม่พอใจ “ข้าว่าคนที่โง่คือเจ้านั้นล่ะ”

ชายชราสงบถ้อยคำลงฉับพลัน มุมปากบิดเบี้ยวทว่าไม่ตอบโต้ต่อวาจาว่ากล่าวนั้น ทำได้เพียงเสียงพ่นลมหายใจฟืดฟาดอย่างขุ่นเคือง

จากนั้นหญิงชราหันมองไปที่ประตูแสงสว่าง “ฝ่าบาทเท่าที่ข้าสังเกตชายผู้นี้ เขาเป็นคนที่เห็นคุณค่าทางความรู้สึก ทั้งยังมีความซื่อสัตย์ นับว่ามีความเป็นคนจริงโดยแท้ เพคะ

ทัวป้าเหยียนพูดเสียงเรียบ “ข้ากลัวแต่ว่า เขาจะเอาชีวิตมาทิ้งเสียเปล่าเท่านั้น !”

หญิงชราสั่นศีรษะเล็กน้อย “ข้าคิดว่านั่นไม่ใช่ปัญหา ไม่ว่าเขาจะเอาชีวิตมาสังเวยหรือไม่นั้น หาใช่สิ่งสำคัญ แต่ที่สำคัญคือเขากล้ามาหรือไม่ต่างหาก ถ้าเขาไม่กล้าและปล่อยให้น้องสาวต้องตาย เช่นนั้นต่อไปเขาจะได้ชื่อว่าเป็นเซียนกระบี่ขี้ขลาด !”

เสียงชายชราขัดจังหวะ “สุภาพบ้างได้ไหม ?”

สายตาคมปลาบของหญิงชราตวัดผ่านมามองหน้าชายชราคนพูด อีกฝ่ายเบ้ปาก หน้างอง้ำแต่ไม่กล้าพูดออกมา

คนที่ยืนอยู่บนโขดศิลา ทัวป้าเหยียนพูดอย่างใจเย็น “ท่านป้าเจียงพูดถูก ถ้าวันนี้เขาไม่กล้า ก็จะไม่ได้ชื่อว่าเป็นคนจริงต่อให้ภายหน้าจะได้เป็นเซียนกระบี่ก็ตาม”

ขณะนั้นเอง บุรุษในชุดดำปรากฏกายในระยะไม่ไกลจากด้านหลังของทัวป้าเหยียน เขาทรุดเข่าข้างหนึ่งลงกับพื้น “ฝ่าบาท หลี่เสวียนชาง อาจารย์ใหญ่สถานศึกษาฉางมู่แห่งแคว้นเจียง ให้คนมาสอบถามว่าเหตุใดทางเราจึงปฏิเสธข้อตกลงและไม่ส่งคนเข้าร่วมสังหารเยี่ยฉวนพะย่ะค่ะ !”

ทัวป้าเหยียนได้ยินคนพูด นางจ้องเขม็งชายในชุดดำ “บอกมันว่า ไปตายเสีย”

ชายในชุดดำสีหน้าเจื่อนเล็กน้อย จากนั้นจึงหันหลังกลับออกไปจากสถานที่