ตอนที่ 182 ถังเจิ้นหวา

ปาฏิหาริย์รัก เทพธิดาจำแลง

“บันทึกคำพูดทั้งหมดนี้ไว้ให้นายน้อย คุณเจ็ด และคุณเก้า!” อาห้ากล่าวลอดไรฟัน วิลสันเป็นลูกชายคนที่เจ็ดของตระกูลเจียงแห่งประเทศ C สมาชิกหลงเซี่ยวทุกคนจึงเรียกวิลสันว่า ‘คุณเจ็ด’ ส่วนเจสซ์เกิดเดือนตุลาคม แต่หมอดูบอกว่าเขาจะมีชีวิตอยู่ได้ไม่เกินหนึ่งเดือน ถ้าความจริงเรื่องนี้เป็นที่เปิดเผยแก่คนอื่น ครอบครัวเขาจึงตั้งชื่อให้เขาว่า ‘เซ็พเทมเบอร์’ และเปลี่ยนเดือนเกิดของเขาเป็นเดือนกันยายนด้วย…

 

 

เมื่อนึกถึงอารมณ์เดือดดาลของวิลสันที่จะระเบิดออก ลัวเทียนก็คิดว่าไม่ต่างอะไรกับการฆ่าตัวตายเช่นกัน หากวิลสันรู้ว่าเขาเกือบจะเปิดเผยที่ตั้งโรงงานผลิตของหลงเซี่ยวในเมือง A เขาอาจถูกชายหนุ่มยิงทิ้ง!

 

 

แม้เฉียวเหลียงจะเป็นหัวหน้าใหญ่ของหลงเซี่ยว แต่เขาแทบจะไม่เข้ามาจัดการกับกรณีเฉพาะกิจใดๆ หลงเซี่ยวจึงอยู่ภายใต้การจัดการของวิลสันกับเจสซ์เป็นส่วนใหญ่ เจสซ์เหมือนเสือซ่อนยิ้ม แม้ท่าทางเขาจะดูสุภาพ แต่เมื่อใดที่เขายิ้มอย่างกระหายเลือด เขาจะไม่มีทางหยุดจนกว่าจะมีการนองเลือด…

 

 

ลัวเทียนเงยหน้าขึ้นมองอาห้าอย่างสิ้นหวังพร้อมกับอ้อนวอน “คุณห้า ได้โปรดเถอะครับ! ได้โปรดให้โอกาสผมอีกครั้ง!”

 

 

“จะไปอยู่คุกใต้ดินชั้นหนึ่ง หรือจะไปพบคุณเก้าและคุณเจ็ดด้วยตัวเอง เลือกเอาอย่างใดอย่างหนึ่ง” อาห้าตอบกลับด้วยสายตาถมึงทึง “แกมีโอกาสเลือก เพราะแกไม่ได้ทำผิดร้ายแรง แกรู้ไหมถ้าคนพวกนั้นมันหาพิกัดเราเจอ แกจะไม่มีแม้แต่โอกาสมายืนพูดกับฉันอยู่ตรงนี้!”

 

 

ลัวเทียนหมอบลงอย่างสิ้นหวังและพึมพำ “คุณห้า ผมจะไปอยู่คุกใต้ดินชั้นหนึ่ง ผมจะรับผิดชอบสิ่งที่ผมทำ ขอแค่ว่าเรื่องนี้จะไม่เกี่ยวข้องกับครอบครัวผม”

 

 

อาห้าขมวดคิ้วเล็กน้อย “เราไม่เคยเอาครอบครัวใครเข้ามาเกี่ยวข้อง”

 

 

 

 

เฉียวเหลียงอยู่กับถังซีที่โรงพยาบาลจนถึงหกโมงเย็น เขากลับไปหลังจากนั้น เพราะตอนห้าโมงสี่สิบหยางจิ้งเสียนโทรมาหาถังซี บอกว่าวันนี้เธอทำซุปไก่ตุ๋นตังกุย กำลังจะนำมาให้ถังซี และบอกด้วยว่าอย่าทานอาหารที่พี่ชายซื้อมาให้…

 

 

หลังจากเฉียวเหลียงออกจากโรงพยาบาล เขาก็ตรงไปที่เฉียวอินเตอร์แนชันนัลกรุป เมื่อมาถึงเขาพบว่าอาห้ารออยู่ที่นั่นนานแล้ว ทันทีที่อาห้าเห็นรถเฉียวเหลียงเข้ามาจอดใต้อาคารเฉียวอินเตอร์แนชันนัลกรุป เขาก็รีบเข้าไปเปิดประตูรถให้เฉียวเหลียง และกระซิบ “นายน้อยครับ เราพบคนทรยศแล้ว มันคือลัวเทียนครับ”

 

 

เฉียวเหลียงพยักหน้า เดินต่อไปเพื่อเข้าไปในอาคาร อาห้ามองตามเฉียวเหลียงที่เงียบกริบด้วยความประหลาดใจ ก่อนจะตามเขาไปอย่างรวดเร็วและถามว่า “นายน้อย จะให้ผมจัดการกับฉินซินหยิ่งไหมครับ”

 

 

เฉียวเหลียงหยุดนิ่งชั่วอึดใจ แล้วเดินต่อไป พร้อมกับตอบด้วยใบหน้านิ่งเฉย “ไม่ต้อง แต่จับตาดูเธอไว้”

 

 

อาห้าสงสัยว่าทำไมนายน้อยถึงไว้ชีวิตฉินซินหยิ่ง แต่เมื่อได้ยินคำสั่งดวงตาเขาก็วาววับขึ้นมาทันที เขาเอ่ยเสียงดังว่า นายน้อยมั่นใจได้เลยครับ ผมจะจับตาดูเธออย่างใกล้ชิด” เขาเดินตามเฉียวเหลียงเข้าไปในลิฟต์แล้วถามขี้นเบาๆ “นายน้อยครับ พวกเราจะหยุดค้นหาคุณถังก่อนใช่ไหมครับตอนนี้”

 

 

เฉียวเหลียงชะงัก ละสายตาจากกระจกเงาในลิฟต์ไปที่อาห้า สายตาเขาไม่บ่งบอกความรู้สึก เมื่อถูกนายน้อยจ้องมองด้วยสายตาแบบนี้อาห้าก็รู้สึกไม่สบายใจ เขาเพิ่งเหยียบกับระเบิดใช่ไหม ในที่สุดนายน้อยก็ลืมเรื่องคุณถังไปแล้ว เพราะคุณเซียว เขาพูดถึงเธอขึ้นมาอีกทำไม…

 

 

ในขณะที่เขาอยากมองหารูบนพื้นเพื่อจะมุดลงไปซ่อนตัว ไม่ให้มอดไหม้ตายไปด้วยสายตาของเฉียวเหลียง จู่ๆ เจ้านายหนุ่มก็เอ่ยขึ้น “ใช่ ความจริงปรากฏแล้ว หยุดค้นหาเธอได้”

 

 

ฮึ? อาห้าจ้องมองเฉียวเหลียงด้วยความตกใจ ง่ายขนาดนั้นเลยหรือสำหรับนายน้อย ที่จะยอมรับความจริงว่าคุณถังเสียชีวิตแล้ว แต่นายน้อยเกือบฆ่าตัวตายเพราะคุณถังเมื่อไม่กี่วันก่อนหน้านี้เอง! ทำไมเขาถึงได้กลับมาเป็นนายน้อยผู้เย็นชาและไร้อารมณ์ได้อย่างรวดเร็วเช่นนี้ เพียงเพราะคุณเซียว

 

 

อาห้าอยากถามว่า ‘นายน้อยครับ ความปรารถนาอย่างแรงกล้าที่ผ่านมาทั้งหมดก่อนหน้านี้ คือการแสดงใช่ไหมครับ’

 

 

อย่างไรก็ตามเฉียวเหลียงไม่ได้มองมาที่อาห้าอีกต่อไป และเดินออกจากลิฟต์ อาห้าตามติดเขาทันทีพร้อมกับถามว่า “ถ้าอย่างนั้น นายน้อยจะให้เรียกคนที่ได้รับมอบหมายงานที่เมืองหลวงกลับมาก่อนไหมครับ”

 

 

เฉียวเหลียงขมวดคิ้ว ไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตอบว่า “แค่คอยคุ้มกันคุณปู่ถัง และช่วงนี้ไม่ต้องสนใจอะไรอื่นนอกจากนี้”

 

 

“เอ่อ…” อาห้าท่าทางสับสน แต่เฉียวเหลียงมองเขาด้วยสายตาเยือกเย็น เขาจึงรีบตอบอย่างรวดเร็ว “ผมเข้าใจแล้วครับ”

 

 

 

 

ที่เมืองหลวง

 

 

ในอุทยานเอ็มไพร์ คุณปู่ถังนั่งอยู่บนชิงช้าในสวน ดวงตาที่เต็มไปด้วยความหม่นหมองจับจ้องอยู่ที่ชิงช้าสวรรค์ไม่ไกลจากตรงนั้น พ่อบ้านเดินเข้ามาหาท่านด้วยสีหน้าเศร้าหมองและก้มลงกระซิบ “นายท่าน ถึงเวลาทานยาของท่านแล้วครับ”

 

 

คุณปู่ถังหันกลับไปมองพ่อบ้านด้วยสายตาว่างเปล่าแล้วถอนหายใจ “อาจง คนพวกนั้นไปกันหมดแล้วหรือ”

 

 

ถังจงก้มศีรษะ พยักหน้าแล้วตอบว่า “พวกเขาไปหมดแล้วครับ นายท่าน… ทำไมท่านถึงต้องทำให้ตัวเองเหนื่อยขนาดนี้ ตอนนี้คุณหนู…” น้ำเสียงถังจงสั่นสะท้าน เขาสำลักด้วยแรงสะอื้น ดวงตาแดงเรื่อ เขาหยุดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะกล่าวจนจบ “ปล่อยให้พวกเขาทะเลาะกันไปเถอะครับ ทำไมเราต้องสนใจ…”

 

 

เมื่อได้ยินคำพูดเขาคุณปู่ถังก็ถอนหายใจลึก “เป็นเรื่องง่ายที่จะเปิดร้าน แต่ยากที่จะให้เปิดอยู่ได้ยาวนานตลอดไป ตอนนี้ถึงเวลาแล้วที่ฉันควรเกษียณตัวเอง แต่สถานการณ์ของฉันไม่พร้อมที่จะให้ฉันทำอย่างนั้นได้ ฉันเจอะเจอความโชคร้ายมามากมายในชีวิต คนรักของฉันเสียชีวิตจากอุบัติเหตุ ลูกสาวฉันเสียชีวิต ภรรยาฉันเสียชีวิต จากนั้นลูกชายกับลูกสะใภ้ก็เสียชีวิต และตอนนี้ฉันยังต้องมาแบกรับความเจ็บปวด ที่ต้องมาเห็นว่าหลานสาวฉันกำลังจะเสียชีวิตไปต่อหน้าต่อตา”

 

 

ในที่สุดเมื่อเขาได้หญิงสาวคนนั้นมาเป็นภรรยา เขาคิดว่าพระเจ้าทรงอวยพรเขาแล้ว แต่สิ่งที่เขาบอกตัวเองมาตลอดเวลาว่าคือพรนั้น ทำให้เขาต้องทุกข์ทรมานมากยิ่งขึ้น

 

 

ถังจงสูดจมูกฟุดฟิดและเกือบจะร้องไห้โฮออกมา เขาเอื้อมมือออกไปพยุงคุณปู่ถัง ซึ่งกำลังจะทรุดลงด้วยความโศกเศร้า และพยายามปลอบใจท่าน “นายท่าน สิ่งสำคัญที่สุดในตอนนี้คือสุขภาพของท่าน ท่านทรุดลงแบบนี้ไม่ได้นะครับ”

 

 

“อย่าให้ใครรู้ว่าซีซีประสบอุบัติเหตุ ไม่ว่าจะต้องเสียเงินเท่าไหร่ ฉันจะปล่อยให้ใครต่อใครเอาเรื่องนี้มาหาผลประโยชน์ให้ตัวเองไม่ได้” แม้ดวงตาคุณปู่ถังจะเต็มไปด้วยความหมองหม่น แต่ประกายความเฉียบคมก็กระพริบไปทั่วดวงตาคู่นั้น ท่านกระแทกไม้เท้าลงกับพื้นอย่างแรง และกล่าวอย่างดุดัน “ฉัน… ถังเจิ้นหวา กินเกลือมามากกว่าที่พวกเขากินข้าว คิดว่าฉันจะทำไม่ได้ถ้าหากซีซีเสียชีวิตไปแล้วจริงๆ อย่างนั้นหรือ ฉันจะทำให้พวกเขาได้เห็นว่าพวกเขาคิดผิด ที่คิดว่าจะเอาชนะฉันได้ง่ายๆ!”

 

 

หลังจากลูกสาวคนเล็กเสียชีวิต เขาก็คอยปลอบโยนภรรยา และช่วยเธอดูแลลูกชาย หลังจากภรรยาเขาเสียชีวิตเมื่อลูกชายอายุเพียงสิบขวบ เขาก็สามารถเลี้ยงดูลูกชายมาได้ตามลำพังคนเดียว หลังจากลูกชายและลูกสะใภ้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุ เขาก็เลี้ยงดูหลานสาวมาด้วยตัวเขาเองตั้งแต่เธอยังเป็นทารก มีอะไรในโลกที่สามารถเอาชนะเขาได้บ้าง