กู้ชูหน่วนสตรีอัปลักษณ์ บทที่ 697
ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดที่นี่ มีเพียงวรยุทธระดับหก อีกทั้งยังได้รับบาดเจ็บกันถ้วนหน้า แล้วจะเป็นคู่ต่อสู้ของเยี่ยจิ่งหานได้อย่างไร?

กู้ชูหน่วนกำลังจะไปปลุกเยี่ยจิ่งหานให้ตื่น หรือหยุดเยี่ยจิ่งหาน แต่ผู้อาวุโสสูงเร็วกว่าหนึ่งก้าวและทิ้งประโยคไว้ว่า

“หัวหน้าเผ่า ที่นี่ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของเจ้า เจ้ารอง เจ้าหก และเจ้าเก้า พวกเจ้าไปกับยับยั้งเยี่ยจิ่งหานกับข้า”

กู้ชูหน่วนกำชับ “อย่าทำร้ายเขาจนถึงแก่ชีวิต”

“เข้าใจแล้ว”

ผู้อาวุโสสูงทั้งสี่ออกมาพร้อมกัน และล้อมเยี่ยจิ่งหานไว้ทั้งสี่ด้าน

เนื่องจากเยี่ยจิ่งหานอยู่ในกระท่อมเล็ก ๆ ผู้อาวุโสสูงจึงเกรงว่าเยี่ยจิ่งหานจะถลันออกไปฆ่าผู้บริสุทธิ์ ดังนั้นจึงปิดประตูกระท่อม

กู้ชูหน่วนอยากจะออกไป แต่นางต้องควบคุมค่ายกลสองมิติไว้ มิเช่นนั้นค่ายกลของที่นี่จะถูกทำลาย ยากที่จะมั่นคงปลอดภัย และสถานการณ์จะวุ่นวายอีกครั้ง

นางมองไม่เห็นการต่อสู้ด้านใน และได้ยินเพียงเสียงปะทะที่ดังสนั่น รวมทั้งแผ่นดินที่สั่นสะเทือน

กระท่อมเล็ก ๆ ไม่สามารถรับแรงกระแทกจากพวกเขาได้ และมันก็พังทลายลง

กู้ชูหน่วนกระวนกระวายใจ ไม่เพียงแต่กังวลว่าเหล่าผู้อาวุโสสูงจะทำร้ายเยี่ยจิ่งหาน แต่กังวลว่าเยี่ยจิ่งหานก็จะทำร้ายเหล่าผู้อาวุโสสูงด้วยเช่นกัน

นางจึงทำได้เพียงภาวนาให้ผู้อาวุโสสูงทั้งสี่สามารถยับยั้งเยี่ยจิ่งหานได้

คนที่ใกล้ชิดสนิทสนมต้องฆ่าฟันกันเอง เพราะคำสาปโลหิตสำแดงฤทธิ์ ไม่ว่าพวกเขาจะฆ่าฟันกันอย่างดุเดือด หรือร่างกายถูกกัดกร่อนจากภายในสู่ภายนอก หัวใจของกู้ชูหน่วนก็เหมือนถูกมีดกรีด

หรือว่าต้องให้ท่านพี่เฉินเฟยและไป๋จิ่นสังเวยชีวิตจริง ๆ ?

ไม่……

นางไม่มีทางทำเช่นนั้นอย่างเด็ดขาด

“ปัง……”

“อัก……”

ประตูถูกเปิดออก ผู้อาวุโสเก้ากระเด็นออกมา และลอยออกมาเหมือนว่าวที่เชือกขาด เขาล้มลงอย่างอ่อนแรง สุดท้ายก็กระอักเลือดออกมา และไม่มีคำสั่งเสียใด ๆ เส้นเอ็นขาดสะบั้นและตายในทันที

“ผู้อาวุโสเก้า……”

ผู้อาวุโสไป๋เฉ่าตกตะลึงและตะโกนด้วยความโศกเศร้า

เมื่อผู้อาวุโสเก้าล้มลง ผู้อาวุโสสูง ผู้อาวุโสรอง และผู้อาวุโสหกก็พากันกระเด็นออกมาทีละคน แต่ละคนก็ได้รับบาดเจ็บ และนานกว่าที่จะลุกขึ้นมาได้

ในทางกลับกัน เยี่ยจิ่งหานยิ่งโจมตีก็ยิ่งรุนแรงมากขึ้น และบ้าคลั่งมากขึ้นเรื่อย ๆ

เขาไม่สนใจว่าเหล่าผู้อาวุโสทั้งหลายจะยังสามารถต่อสู้ได้อีกหรือไม่ นัยน์ตาที่กระหายเลือด ไม่มีอะไรนอกจากต้องการจะฆ่าเท่านั้น

“นายท่าน ท่านจะฆ่าคนต่อไปอีกไม่ได้แล้ว ท่านรีบได้สติเสียทีเถิด”

เจี้ยงเสวี่ยก็ไม่รู้ว่าตัวเองจะได้รับบาดเจ็บสาหัสและตายหรือไม่ และเขาก็เกือบจะคลานไปหาเยี่ยจิ่งหาน

ไป๋เฉารีบดึงเขาไว้อย่างแรง “เจ้าหนุ่ม เจ้าไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วหรือ?ไม่เห็นหรือว่าเขาเสียสติไปแล้ว?”

“จะทำอย่างไรดี……ท่านช่วยนายท่านของข้าด้วย”

“เจ้าคิดว่าข้าไม่อยากทำเช่นนั้นหรือ?”

เมื่อเห็นเยี่ยจิ่งหาน ไป๋เฉ่าก็โกรธขึ้นมา

เขาเพิ่งจะสูญเสียหลานสาวไป และต้องสูญเสียผู้อาวุโสเก้าและคนอื่น ๆ ที่โตมาด้วยกันตั้งแต่เด็ก ในใจของเขาดังไฟสุม

เยี่ยจิ่งหานดูเหมือนอสูรร้าย เขายกก้อนหินขึ้นอย่างโหดเหี้ยม และโยนไปที่ผู้อาวุโสสูงและคนอื่น ๆ

เมื่อผู้คนเห็นเช่นนั้นก็อ้าปากค้างด้วยความตกใจ

เนื่องจากเยี่ยจิ่งหานอยู่ใกล้กับผู้อาวุโสสูงและคนอื่น ๆ มาก พวกเขาจึงต้องการจะช่วย แต่ก็สายเกินไป และทำได้เพียงมองดูโศกนาฏกรรมที่เกิดขึ้น

ผู้อาวุโสสูงและคนอื่น ๆ พยายามที่จะปีนขึ้นมา แต่ก็ปีนขึ้นมาได้เพียงครึ่งทางก็ล้มลงกับพื้น

ก่อนหน้านี้พวกเขาถูกเผ่าเพลิงฟ้าทำร้ายจนได้รับบาดเจ็บสาหัส และต่อมาเนื่องจากคำสาปโลหิต พวกเขาจึงสูญเสียกำลังภายในไปจนหมด

และเดิมทีพวกเขาก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเยี่ยจิ่งหาน

เมื่อนึกถึงฝีมือของเยี่ยจิ่งหาน เหล่าผู้อาวุโสสูงก็รู้สึกหวั่นใจ

แม้ว่าพวกเขาจะมีวรยุทธขั้นสูงสุด แต่ก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเยี่ยจิ่งหาน

ความตายอยู่ตรงหน้าพวกเขา

คำสาปโลหิตของเผ่าหยกยังไม่ได้รับการลบล้าง พวกเขาไม่เต็มใจ แต่ก็หมดหนทาง

“เยี่ยจิ่งหาน……”

กู้ชูหน่วนแทบอยากจะละทิ้งค่ายกลสองมิติ และรีบไปยับยั้งเขา

นางตะโกนจนสุดเสียง

นัยน์ตาที่กระหายเลือดของเยี่ยจิ่งหานเลิ่กลั่ก และปรากฏนัยน์ตาสีดำขึ้นมาแวบหนึ่ง แต่ไม่นานก็ถูกแทนที่ด้วยสีเลือด

ในช่วงเวลาคับขัน เสียงฉินก็ดังขึ้น

เสียงฉินเนิบช้า ราวกับสะอื้นไห้และโศกเศร้า บางทีก็เหมือนแสงเทียนในห้องหอ บ่าวสาวที่ถูกบังคับให้พรากจากกัน บางทีก็เหมือนตาน้ำกลางหุบเขา บริสุทธิ์อ่อนโยน ไหลรินอย่างช้า ๆ เป็นเสียงน้ำไหลที่น่ารื่นรมย์

เมื่อได้ยินเสียงฉิน การเคลื่อนไหวของเยี่ยจิ่งหานก็เชื่องช้าลง และดูเหมือนว่าผู้คนเคลิบเคลิ้ม

เมื่อผู้อาวุโสสูงและคนอื่น ๆ เห็นเช่นนี้ ก็ถอยห่างออกไปจากเยี่ยจิ่งหานอย่างยากลำบาก และในเวลาเดียวกันก็โบกมือให้คนตั้งค่ากล ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม จะปล่อยให้ปีศาจร้ายตัวนี้ออกไปไม่ได้ มิเช่นนั้นคืนนี้เผ่าหยกจะต้องนองเลือดอย่างแน่นอน

กู้ชูหน่วนสูดหายใจเข้ายาว ๆ และให้ฮวาฉี่หลัวมาควบคุมค่ายกลสองมิติแทนนาง

ฮวาฉี่หลัวกล่าวว่า “ท่านพี่หน่วน……ข้า……ข้าทำไม่เป็น หากเกิดอะไรขึ้นจะทำอย่างไร ให้ท่านพี่ไป๋จิ่นมาจะดีกว่า……เอ๊ะ ท่านพี่ไป๋จิ่นและพวกนางหายไปไหนแล้ว?เมื่อครู่ยังอยู่ที่นี่อยู่เลย?”

เดิมทีกู้ชูหน่วนจิตใจจดจ่ออยู่กับเยี่ยจิ่งหาน เมื่อได้ยินที่ฮวาฉี่หลัวกล่าว นางก็กวาดสายตามองไปรอบ ๆ แต่ก็ไม่เห็นไป๋จิ่นและผู้ส่งสารศักดิ์สิทธิ์อีกสองคนของเผ่าน้ำแข็ง

เผ่าหยกเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นเช่นนี้ ไป๋จิ่นไม่มีทางจากไปอย่างแน่นอน หรือว่านางจะไปช่วยผู้คนของเผ่าหยกอยู่ที่อื่น

นางยังไม่ทันได้คิดอย่างละเอียดถี่ถ้วน ใครบางคนในฝูงชนก็กรีดร้องอย่างน่าเวทนา เสียงกรีดร้องกลบเสียงฉิน และดึงสติของเยี่ยจิ่งหานกลับมา

สิ่งแรกที่เยี่ยจิ่งหานทำเมื่อเขาได้สติกลับมา คือการทุบฉินหิมะของเหวินเส่าอี๋จนหักเป็นสองท่อน

เหวินเส่าอี๋รีบหยิบฉินหิมะขึ้นมา เพราะฉินหิมะนี้ เป็นสิ่งที่ท่านแม่ของเขาทิ้งไว้ให้เขาก่อนที่จะเสียชีวิต

เป็นสิ่งเดียวที่ท่านแม่ของเขาทิ้งไว้ และหลายปีที่ผ่านมาเขาก็รักษามันไว้อย่างดีมาโดยตลอด

เยี่ยจิ่งหานจับมือขวาของเขา เสียงดังก๊อก มือขวาของเขาถูกหักในทันที

“อ้า……”

เหวินเส้าอี๋ส่งเสียงร้องด้วยความเจ็บปวด

“เยี่ยจิ่งหาน ท่านหยุดเดี๋ยวนี้”

กู้ชูหน่วนวิ่งมาอย่างเร็ว แต่ตรงหน้าก็ยังมีผู้คนที่เสียสติ และวิ่งมาขวางทางนางไว้

กู้ชูหน่วนถูกบีบบังคับจนหมดหนทาง จึงทำได้เพียงชักดาบออกมา แล้วกวัดแกว่งไปที่พวกเขาจนกระเด็นออกไป

ในกระท่อมเล็ก ๆ หลังจากที่เยี่ยจิ่งหานหักมือขวาของเหวินเส่าอี๋แล้ว เยี่ยจิ่งหานก็ซัดฝ่ามือใส่เขาจนกระเด็นไปในอากาศ

วรยุทธแข็งแกร่งมาก และทำให้เหวินเส่าอี๋สูญเสียวรยุทธไปอย่างสิ้นเชิง

“ปัง……”

การที่กระเด็นออกไป บางทีอาจเป็นเพราะเหวินเส่าอี๋ยังคงมีความหวังที่จะมีชีวิตรอด

แต่โซ่ตรวนที่เท้าของเขาบังคับให้เขาต้องกลับมาและล้มลงอีกครั้ง

ล้มลงที่เท้าของเยี่ยจิ่งหาน

เยี่ยจิ่งหานไม่ได้จะปล่อยเขาไปด้วยเหตุนี้ และค่อย ๆ เดินเข้าไปหาเขา จากนั้นก็ยกเท้าขึ้นมาจะถีบเขา

“ฉ่า…..”

ไป๋เฉ่าคว้าขาขวาของเหวินเส่าอี๋ และขยับไปด้านข้าง เพื่อหลีกเลี่ยงการเตะของเยี่ยจิ่งหาน

เหวินเส่าอี๋รู้สึกเย็นวาบที่หลัง

และหวังว่าเยี่ยจิ่งหานจะไม่เตะแรงมากนัก เขากล่าวด้วยเสียงแหบแห้งว่า “ขอบ……ขอบคุณ”

“หึ หากไม่ใช่เพราะหลานสาวของข้า ข้าก็คงไม่ช่วยเจ้า เจ้าปลดโซ่ตรวนออกก่อนเถอะ”

ไป๋เฉ่าโยนกุญแจให้เหวินเส่าอี๋ และปล่อยให้เขาปลดโซ่ตรวนด้วยตัวเอง

เหวินเส่าอี๋ที่ได้รับบาดเจ็บสาหัส ช่างน่าสงสาร มือขวาของเขาพิการ ความเจ็บปวดนั้นเจ็บปวดมากจนเขาไม่มีเรี่ยวแรงที่จะปลดโซ่ตรวนที่เท้าของเขาออก

เมื่อผู้อาวุโสไป๋เฉ่าเห็นเช่นนั้นก็ทั้งโกรธทั้งกังวล

เขารู้ว่าตัวเองไม่สามารถเอาชนะเยี่ยจิ่งหานได้ ดังนั้นเขาจึงปกป้องเหวินเส่าอี๋

จนกระทั่งผู้อาวุโสสูงและคนอื่น ๆ รวมตัวกัน และตั้งใจว่าจะใช้ค่ายกลเพื่อควบคุมเยี่ยจิ่งหาน เขาจึงไปช่วยเหวินเส่าอี๋ปลดโซ่ตรวนที่เท้าออก

“เจ้าหนุ่ม ข้าจะบอกเจ้าให้ว่าหลังจากที่ข้าช่วยปลดโซ่ตรวนให้ท่านแล้ว เจ้าอย่าคิดที่จะหลบหนี เพราะไม่ว่าจะหนีอย่างไร เจ้าก็ไม่มีทางที่จะหนีออกไปจากเผ่าหยกได้”

“ข้าจะไม่หนี ท่านไม่ต้องกังวล”

“แกรก ๆ” โซ่ตรวนที่เท้าของเขาถูกปลดออก

ค่ายกลของผู้อาวุโสสูงและคนอื่น ๆ ถูกทำลาย

ทุกคนอ้าปากค้างอีกครั้ง และถอนหายใจด้วยความโล่งอก

ทำไมค่ายกลถึงพังทลายลงอย่างรวดเร็ว……

วรยุทธของเยี่ยจิ่งหานผิดเพี้ยนไปมากแค่ไหนกัน?

บทที่ 696

บทที่ 698