ตอนที่ 513 - มุ่งหน้าสู่รอยแยก

โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ【之全能大師 】

Ep.513 – มุ่งหน้าสู่รอยแยก 

 

 

 

 

 

อบิลิตี้ของฉินเฟิง ถูกปลดปล่อยออกมาอีกครั้ง 

 

 

 

 

 

อบิลิตี้สีดำห่อหุ่มร่างไร้วิญญาณของคิงคองวัชระเอาไว้ ทันใดนั้นศพคิงคอง พลันกลายเป็นสีเทาหม่น ไม่สดใหม่เหมือนเพิ่งตายไปอย่างกะทันหัน 

 

 

 

 

 

“จงตื่นขึ้น” 

 

 

 

 

 

คิงคองวัชระที่ตายไปแล้ว เบิกตาโพลงทันใด เพียงแต่ว่าบัดนี้คู่ดวงตาของมันเป็นสีดำสนิท มันผุดลุกขึ้น ฉินเฟิงกระโดดตาม หยั่งเท้าลงบนไหล่ของคิงคองวัชระ 

 

 

 

 

 

“ก๊าซซซซ!” 

 

 

 

 

 

แม่จะเห็นสหายที่เพิ่งล้มลงผุดลุกขึ้นมา แต่คิงคองวัชระตัวสุดท้ายก็ยังตระหนักดี ว่าสหายของมันตายไปแล้ว นี่แสดงชัดถึงภูมิปัญญาที่ไม่ต่ำตมของพวกมัน 

 

 

 

 

 

เปล่งเสียงร้องคำรามเกรี้ยวกราด คิงคองวัชระสองตัวรีดเร้นพละกำลัง ปะทะเข้าใส่กัน 

 

 

 

 

 

ซางฮันและคนอื่นๆไม่คาดคิดว่าจะเกิดสถานการณ์เช่นนี้ การต่อสู้อันรุนแรงระหว่างสัตว์ยักษ์ทั้งสอง ทำให้พวกเธอต้องถอยฉากออกมา เพื่อป้องกันอุบัติเหตุคาดไม่ถึง 

 

 

 

 

 

คิงคองวัชระตัวที่ถูกควบคุมโดยฉินเฟิง ถูกอีกฝ่ายคว้าจับแขน จิกเล็บลงไปอย่างโหดเหี้ยม ภายใต้พละกำลังมหาศาล เนื้อเน่าเสียนับไม่ถ้วน เริ่มหลุดลอกออกมา 

 

 

 

 

 

นี่คือข้อเสียของควบคุวมศพสิ่งมีชีวิต พวกมันแม้ไม่หวั่นเกรงความตาย แต่ก็ต้องแลกมากับเนื้อและหนังที่ผุพัง หากถูกโจมตีไปนานๆ คงหลงเหลือเพียงกระดูกที่ยากจะทำลาย 

 

 

 

 

 

อย่างไรก็ตาม นั่นถือว่าเพียงพอแล้ว! 

 

 

 

 

 

ฉินเฟิงบนไหล่ศพคิงคอง อยู่ห่างจากฝ่ายตรงข้ามไม่ถึงสิบเมตร นั่นหมายความว่า หากเขาคิดโจมตี ศัตรูย่อมมิอาจหลบเลี่ยง! 

 

 

 

 

 

“ลำแสงแห่งความมืด!” 

 

 

 

 

 

เส้นแสงสีดำตกลงบนตัวของคิงคองวัชระ 

 

 

 

 

 

แม้จะกล่าวว่าเส้นแสง แต่มันหนากว่าหนึ่งเมตร และหลังจากกระทบลงบนกายศัตรู มันจะกลายเป็นรังสีทะมึน ปกคลุมรอบตัวทันที และรังสีนี้มีอานุภาพลดทอนพละกำลัง ทำให้ความแข็งแกร่งของคิงคองวัชระถดถอยลงอย่างรวดเร็ว เมื่ออยู่ภายใต้การโจมตีจากหุ่นเชิดแห่งความตายของฉินเฟิง ยิ่งนานก็ยิ่งสู้ไม่ไหว ชักฝีเท้าถอยก้าวแล้วก้าวเล่า 

 

 

 

 

 

รังสีแสงสีดำปล่อยปล่อยออกจากมือของฉินเฟิงอย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกัน อีกมือที่กุมมีด พลันสาดแสงไสวทันใด 

 

 

 

 

 

“มีดเปลวเพลิง!” 

 

 

 

 

 

ไม่จำเป็นต้องการกระบวนท่าวรยุทธที่ทรงพลังใดๆอีกต่อไป ฉินเฟิงใช้ออกด้วยท่าโจมตีเบื้องต้น ยืดขยายเปลวเพลิงที่ลุกไหม้บนใบมีด เจาะทะลุเข้าไปยังหัวใจของคิงคองวัชระทันที 

 

 

 

 

 

ลำแสงสีแดงม่วงปลดปล่อยอุณหภูมิอันน่าหวาดกลัว 

 

 

 

 

 

ตามมาติดๆด้วยกลิ่นหอมหวลของเนื้อย่าง  

 

 

 

 

 

“โฮ—” 

 

 

 

 

 

คิงคองวัชระกรีดร้องน่าอเนจอนาถ ช่วงเวลานี้ความรู้สึกโกรธเกรี้ยวของมันเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นตื่นตกใจ ตัวมันแม้พบว่าเลเวลศัตรูจะอ่อนด้อยกว่าตน– 

 

 

 

 

 

–แต่ประเด็นก็คือ อีกฝ่ายกลับสามารถทำให้มันได้รับบาดเจ็บได้! 

 

 

 

 

 

บังเกิดความตื่นตระหนกสะท้อนในแววตาของคิงคองวัชระ มันยอมละทิ้งแขนของศพหุ่นเชิด มันหันหลัง ฉีกตัวพุ่งหลบหนีไป 

 

 

 

 

 

ขณะนั้นเอง ผู้ใช้อบิลิตี้ธาตุไม้ก็เริ่มลงมืออีกครั้ง 

 

 

 

 

 

“เทคนิคเถาวัลย์!” 

 

 

 

 

 

เพียงเสี้ยววินาที เถาวัลย์เส้นหนากว่าหนึ่งเมตรพลันผุดขึ้นจากพื้นดิน เคลื่อนไหวราวกับมีชีวิต รัดพันสองขา และเริ่มลุกลามขึ้นรอบตัวของคิงคองวัชระ  

 

 

 

 

 

คิงคองคำรามเกรี้ยวกราด รีดเร้นพละกำลัง กระชากเถาวัลย์ขาดจากกัน ปลดปล่อยตนเป็นอิสระทันที 

 

 

 

 

 

อย่างไรก็ตาม ด้วยเวลาไม่กี่วินาทีที่มันเสียไป ศพหุ่นเชิดก็สามารถเข้าประชิดตัวได้อีกครั้ง 

 

 

 

 

 

มันอ้าสองแขนคว้ากอดคิงคองวัชระทันใด ขณะเดียวกัน ฉินเฟิงวาดมือออกไป เปลวเพลิงอันน่าสะพรึงปรากฏออกมา 

 

 

 

 

 

“เทคนิคมังกรไฟ!” 

 

 

 

 

 

“โฮกกกก ” 

 

 

 

 

 

มังกรไฟคำราม อ้าปากโฉบงับลงตรงตำแหน่งหัวใจของคิงคองวัชระ ในตำแหน่งเดียวกันกับเนื้อที่เคยถูกย่างจนสุกมาก่อน แปรเปลี่ยนมันกลายเป็นสีดำไหม้เกรียม ทั้งยังเจาะมุดหายเข้าไปในดูที่ถูกเปิดทิ้งไว้ กระทั่งหางมังกรก็มุดเข้าไปจนไม่อาจมองเห็น 

 

 

 

 

 

คิงคองวัชระ แน่นิ่งไม่ไหวติง ตรงหน้าอกของมัน ปรากฏหลุมใหญ่ขนาดหนึ่งเมตร ลึกพอที่จะเห็นกระดูกได้ หากสังเกตดีๆ จะพบว่าเนื้อภายในกลายเป็นสีถ่าน กระทั่งหัวใจก็ยังหายไป 

 

 

 

 

 

คิงคองวัชระตนสุดท้าย ตาย!! 

 

 

 

 

 

สภาพแวดล้อมกลับคืนสู่ความสงบ หลงเหลือเพียงเสียงสายลมเสียดสีกับใบของต้นไม้ใหญ่ และเสียงไกลๆของสัตว์ร้ายที่กำลังหลบหนีอย่างร้อนรน แต่สำหรับผู้ใช้พลัง การต่อสู้ในครั้งนี้ได้จบลงแล้ว 

 

 

 

 

 

ฉินเฟิงวาดมืออีกครั้ง อบิลิตี้สีดำปกคลุมลงบนศพของคิงคองวัชระตัวสุดท้าย เนื้อหนังของมันเริ่มผุพัง ถูกแปรเปลี่ยนศพหุ่นเชิดอีกตัว 

 

 

 

 

 

“ถึงคิงคองวัชระสองตัวนี้จะเป็นเลเวล B แต่ก็แค่ระดับสามัญเท่านั้น วัตถุดิบของมันมีค่าไม่มากนัก ฉะนั้นผมขอเปลี่ยนมันเป็นหุ่นเชิด เวลาลึกเข้าไปในถ้ำ จะได้ปลอดภัยกว่าเดิม” 

 

 

 

 

 

ฉินเฟิงอธิบายให้คนอื่นๆฟัง 

 

 

 

 

 

แต่นั่นก็จริง ใครเล่าจะไปสนใจเรื่องนั้น 

 

 

 

 

 

เพราะวัตถุดิบสัตว์ร้ายสามัญสองตัว อย่างดีที่สุดราคาคงอยู่ที่ประมาณ 20 ล้าน 

 

 

 

 

 

เมื่อแลกกับการได้สัตว์ร้ายเลเวล B มาเป็นพวก มองอย่างไรก็คุ้มค่า! 

 

 

 

 

 

ผู้ใช้พลังเลเวล B รอบๆ มีเพียงคนเดียวที่ได้ไปสำรวจหุบเหวตอนเหนือช่วงเวลาเดียวกันกับฉินเฟิง ดังนั้นเขาทราบบันทึกการต่อสู้ของฉินเฟิงดี แต่ไม่เคยเห็นฉินเฟิงสู้มาก่อน ตอนนี้ เมื่องเห็นฉากตรงหน้า เขาพอจะเข้าใจถึงที่มาของแต้มสงครามมหาศาลของฉินเฟิงขึ้นมาบ้างแล้ว 

 

 

 

 

 

“คุณเป็นคนสังหารสัตว์ร้ายทั้งสองตัวนี้ ดังนั้นสามารถทำอะไรกับมันก็ได้ตามต้องการ ยังไงก็ตาม ถ้ามีหุ่นเชิดอย่างพวกมันสองตัวร่วมเดินทางไปด้วย คงรู้สึกปลอดภัยกว่าเดิมมากจริงๆ” ซางฮันกล่าว บอกตามตรงว่าเธอเองก็ค่อนข้างประหลาดใจกับกลยุทธ์นี้ 

 

 

 

 

 

เพราะท้ายที่สุดแล้ว ร่างกายของมนุษย์ มีขนาดเล็กเกินไป 

 

 

 

 

 

พอซางฮันเอ่ยปาก ผู้ใช้พลังคนอื่นๆถึงค่อยตอบสนอง 

 

 

 

 

 

“ผู้การฉินเป็นที่รู้จักกันดีในที่ประชุม เขาไม่เพียงเป็นผู้ใช้อบิลิตี้เท่านั้น แต่ยังเป็นผู้ใช้วรยุทธโบราณอีกด้วย” 

 

 

 

 

 

“ใช่ ยิ่งไปกว่านั้นผู้การฉินยังเป็นผู้ใช้อบิลิตี้สองประสาน การดำรงอยู่เช่นนี้ ถือว่าหาได้ยากยิ่ง” 

 

 

 

 

 

“วีรบุรุษมักถือกำเนิดจากรุ่นเยาว์!” 

 

 

 

 

 

คนพวกนี้ ปกติแล้วมักไม่ค่อยเอ่ยชมผู้ใช้พลังที่ระดับต่ำกว่า ทั้งยังเลือกอยู่ห่างๆด้วยซ้ำ 

 

 

 

 

 

แต่ฉินเฟิงคงต้องยอมรับว่าเป็นข้อมยกเว้น เพราะแม้ฉินเฟิงจะมีระดับต่ำกว่า แต่ในด้านกำลังรบ เมื่อเทียบกับพวกเขาแล้ว มันน่าหวาดกลัวยิ่งกว่าจริงๆ 

 

 

 

 

 

ฉินเฟิงในเวลานี้ ทุกคนรู้สึกประทับใจในตัวเขาไม่น้อย 

 

 

 

 

 

แน่นอน เหตุผลหลักๆก็เพราะเขาช่วยให้การสำรวจในครั้งนี้ ลดความกดดันลงได้มาก 

 

 

 

 

 

มีพันธมิตรที่แข็งแกร่ง ความกดดันย่อมลดทอนลงเป็นเงาตามตัว 

 

 

 

 

 

“หยุดพูดกันสักที แล้วมุ่งหน้าต่อเถอะ” ซางฮันออกคำสั่ง คนอื่นๆหยุดเยินยอฉินเฟิง และรีบมุ่งเข้าไปในถ้ำ 

 

 

 

 

 

ฉินเฟิงบอกให้ทุกคนขึ้นไปยืนบนไหล่หุ่นเชิด ฉินเฟิงกับไป๋หลียืนอยู่ข้างเดียวกัน อีกข้างเป็นซางฮัน ส่วนเลเวล B ที่เหลือ แยกกันยืนบนไหล่ศพอีกตัว 

 

 

 

 

 

ร่างกายของคิงคองวัชระมีขนาดใหญ่โตมาก เลยเป็นธรรมดาที่พวกมันจะรวดเร็ว วิธีนี้ช่วยลดเวลาเดินทางให้ทุกคนได้มากนัก ทั้งยังช่วยประหยัดกำลังภายใน และพละกำลังได้อย่างดีเยี่ยม 

 

 

 

 

 

ไม่นาน ทุกคนก็เข้ามาในถ้ำมืด 

 

 

 

 

 

สำหรับฉินเฟิง การมองเห็นในที่นี้ไม่แตกต่างจากภายนอก ไป๋หลีคงไม่ต้องกล่าวถึง ส่วนที่เหลืออีกห้าคน ล้วนเป็นผู้ใช้พลังระดับ B ขึ้นไปทั้งสิ้น ดังนั้นย่อมเคยรับประทานสมุนไพรวิญญาณบางอย่าง ที่ช่วยในการมองเห็นที่มืดมาก่อนแล้ว 

 

 

 

 

 

ด้วยเหตุนี้ ต่อให้ทั้งเจ็ดไม่มีอุปกรณ์ช่วยส่องแสง ก็ไม่เป็นปัญหาใดๆ อย่างไรก็ตาม เมื่อเข้ามาที่นี่ ลมหายใจของทุกคนกลับเชื่องช้าลง เพราะต้องการป้องการไม่ให้สัตว์ร้ายโผล่ออกมาอย่างกะทันหัน 

 

 

 

 

 

ฉินเฟิงในเวลานี้ เริ่มสำรวจสภาพแวดล้อมโดยรอบ 

 

 

 

 

 

ตามผนังถ้ำเรียบลื่น ราวกับเป็นเนื้อชิ้นเดียวกัน ไร้ซึ่งร่องรอยเชื่อมติดกัน จากที่ฉินเฟิงคาดเดา น่าจะเป็นเพราะรอยแยกมิติที่เกิดขึ้น ส่งผลให้หินในภูเขาลูกนี้ ถูกกลืนกินโดยมิติจนหมดสิ้น 

 

 

 

 

 

ที่มันยังไม่พังทลายลง คงเป็นเพราะยังมีดินแข็งที่อัดแน่น ไม่ก็ชั้นหินข้างบนที่ยังเกาะตัวกันได้ดี ขณะที่สองหุ่นเชิดเคลื่อนที่ไปรอบๆ เศษหินน้อยๆก็ร่วงตกลง 

 

 

 

 

 

ผนังแม้ราบเรียบ แต่บนพื้นขุรขระ ยิ่งเดินคล้ายยิ่งจมลง ทั้งยังมีเศษหินเศษกรวดกระจัดกระจาย 

 

 

 

 

 

หลังจากเข้ามา ทั้งหมดก็พบกับรอยแยกมิติกว่า 3 จุด 

 

 

 

 

 

มือปืนเลเวล B หยิบอุปกรณ์สแกนออกมา และกล่าว “คิงคองวัชระสองตัวหลุดออกมาจากรอยแยกมิติตรงกลาง” 

 

 

 

 

 

“ไปตรวจสอบกัน” ซางฮันสั่งการ 

 

 

 

 

 

ฉินเฟิงมิได้ปริปากพูดแต่อย่างใด สั่งการในจิตใจให้หุ่นเชิดของเขามุ่งหน้าเข้าไป 

 

 

 

 

 

แต่ในเวลานั้นเอง เสียงหอนของสัตว์ร้ายพลันสะท้อนเข้ามาในหูของทุกคน