ตอนที่ 234 คุณดีที่สุดเลย

กับดักรักในรอยแค้น

เผยหนานเจวี๋ยได้ยินน้ำเสียงห่วงใยของฉู่อีอี ทิ้งสายตาที่เย็นชา คำตอบแผ่วเบาเล็ดลอดออกมาจากไรฟัน “เปล่า”

 

 

           ฉู่อีอีรู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยทางสีหน้าของเผยหนานเจวี๋ย ในใจถอนหายใจโล่งอก

 

 

           นึกถึงอารมณ์ของเผยหนานเจวี๋ยเมื่อครู่ จากนั้นก็จำไว้ในใจ

 

 

           บังเอิญรถเหยียบก้อนหินเข้าแล้วเด้งขึ้นอย่างแรง

 

 

           ฉู่อีอีอาศัยโอกาสนี้เสแสร้งทำเป็นอ่อนแอ วางสองมือลงบนหน้าอกของเผยหนานเจวี๋ย “โอ๊ย!”

 

 

           “อีอีคุณไม่เป็นไรนะ” เผยหนานเจวี๋ยก้มหน้าจับฉู่อีอีไว้ ดูแลเธออย่างระมัดระวัง

 

 

           “ไม่เป็นไร” ความห่วงใยของเผยหนานเจวี๋ยทำให้ฉู่อีอีอบอุ่นใจ เงยหน้าขึ้นช้าๆ ทั้งสองคนสบตากัน

 

 

           ฉู่อีอียกมือขึ้นโอบคอของเผยหนานเจววี๋ย ริมฝีปากแดงดุจผลเชอร์รี่อ้าเอ่ยเบาๆ ใช้น้ำเสียงที่ละเอียดอ่อนจนแทบจะมีหยดน้ำร่วงลงมา ตัดพ้อกับเผยหนานเจวี๋ยเล็กน้อย

 

 

           “หนานเจวี๋ย วันนี้แม่อาจจะถูกพี่สาวทำให้โมโห เสียมารยาทไปหน่อย คุณอย่าไปใส่ใจได้หรือเปล่า…”

 

 

           “อืม ไม่เป็นไร” เผยหนานเจวี๋ยลูบหัวของฉู่อีอีเบาๆ กล่าวปลอบโยน

 

 

           ได้ยินประโยคนี้ ฉู่อีอีราวกับว่าได้แก้ไขปัญหาที่ยุ่งยากได้แล้ว แอบถอนหายใจอยู่ในใจ

 

 

           จากนั้นมุมปากก็ยกยิ้ม กอดเผยหนานเจวี๋ยแน่น “หนานเจวี๋ย คุณดีที่สุดเลย”

 

 

           วันเวลาดั่งสายน้ำ แต่ละวันผ่านไปอย่างเรียบง่ายไม่หวือหวา

 

 

           ฉู่เจียเสวียนก็ใช้ชีวิตในแต่ละวันอย่างเรียบง่ายเช่นกัน แต่ว่าเวลาเดินไปข้างหน้าในแต่ละวันๆ เข้าใกล้วันนั้นเข้าไปทุกที…

 

 

           เมื่อคิดถึงตรงนี้ ในใจของฉู่เจียเสวียนมีความเจ็บปวดที่อธิบายไม่ถูก

 

 

           บัตรเชิญสีแดงสดใบนั้นยังคงนอนเงียบๆ ในลิ้นชักด้านล่าง

 

 

           อดีตปรากฏขึ้นมาตรงหน้าอย่างชัดเจน

 

 

           ฉู่เจียเสวียนถอนหายใจ หยิบบัตรเชิญใบนั้นออกมา

 

 

           ภาพของคนสองคนที่โอบกอดกันปรากฏสู่สายตาของฉู่เจียเสวียน ที่แท้คิดว่าตัวเองเตรียมใจมาดีแล้ว แต่ว่าก็ยังเอาชนะความรู้สึกที่ถูกความจริงโจมตีไม่ได้

 

 

           พี่น้องที่รักใคร่กลมเกลียว คนรักที่ร่วมเรียงเคียงหมอน อะไรกันแน่ที่ทำให้ตอนจบกลายเป็นแบบนี้ บางทีนี่คงเป็นชีวิตล่ะมั้ง

 

 

           “ฉันอยู่อย่างสับสนมาหนึ่งปี เยื้องย่างอยู่บนถนนขรุขระ รอยยิ้มที่เคยสดใส ตอนนี้กลับว่างเปล่า” เสียงเพลงของเริ่นหรานดังอยู่ในหูของฉู่เจียเสวียนอย่างสบายๆ

 

 

           เพลง ‘ว่างเปล่า’ นี้กระทบใจของฉู่เจียเสวียนโดยตรง แม้ว่าเธอจะลืมไปแล้วว่าเมื่อเช้าเธอตั้งเพลงนี้เป็นเสียงเรียกเข้าของโทรศัพท์มือถือ

 

 

           จนกระทั่งเสียงของโทรศัพท์มือถือดังขึ้นเธอจึงดึงสติกลับมา ‘กงจวิ้นฉือ’ ตัวอักษรใหญ่สามตัวกะพริบอยู่บนหน้าจอโทรศัพท์

 

 

           ฉู่เจียเสวียนเพิ่งจะหยิบมือถือขึ้นมากำลังจะรับ แต่หน้าจอกลับมืดลงแล้ว

 

 

           ไม่รู้จริงๆ ว่าเธอกำลังคิดอะไรอีกแน่ ฉู่เจียเสวียนเหนื่อยหน่ายกับตัวเอง ส่ายหัวไล่ภาพที่อยู่ในหัวทั้งหมดออกไป

 

 

           ฉู่เจียเสวียนหามือถือครู่หนึ่งแล้วโทรกลับ

 

 

           “ตู๊ด…” เสียงรอสายในโทรศัพท์เพิ่งจะดังขึ้น จากนั้นก็ได้ยินเสียงที่คุ้นเคยแล้ว

 

 

           “ทำอะไรอยู่เหรอ” น้ำเสียงที่อบอุ่นไม่เหมือนใครทำให้ฉู่อีอีอึ้งไป

 

 

           “เปล่า แค่ใจลอยนิดหน่อยเลยไม่ได้รับสาย” ฉู่เจียเสวียนอธิบาย

 

 

           เมื่อปลายสายได้ยินเช่นนี้กลับหัวเราะ “ทำไมเหรอไม่เจอกันไม่กี่วันก็รู้สึกว่าสติปัญญาลดลงขนาดนี้เลยเหรอ?”

 

 

           ฉู่เจียเสวียนเขินหน้าแดง และไม่รู้ว่าต้องตอบอย่างไร

 

 

           “เอาเถอะๆ ไม่แกล้งคุณแล้ว เวลานี้คุณไม่น่าจะมีงานแล้วสินะ อีกแป๊บผมก็น่าจะถึงชั้นล่างของบริษัทคุณแล้ว จะเลี้ยงข้าวคุณ” กงจวิ้นฉือขับรถอย่างรวดเร็วอยู่บนทางด่วน