ตอนที่ 235 ไม่ใช่เพื่อนธรรมดาแน่

กับดักรักในรอยแค้น

ฉู่เจียเสวียนมองผ่านหน้าต่างออกไปนอกออฟฟิศ กลุ่มคนสองสามคนกำลังเก็บของ เตรียมตัวจะออกไป

 

 

           ในเวลานี้เธอยกมือขึ้นดูนาฬิกา เข็มชั่วโมงเกือบจะถึงเลขหกแล้วจึงรู้สึกร้อนรน

 

 

           “งั้นฉันเก็บของก่อน คุณถึงแล้วค่อยบอกฉันอีกที” จากนั้นก็วางสายไป

 

 

           ไม่นานฉู่เจียเสวียนก็เก็บของเรียบร้อยและรอคอย มองดูการจราจรขวักไขว่นอกหน้าต่างบานใหญ่ที่ยาวจรดพื้น

 

 

           แสงพลบค่ำปกคลุมเมืองแห่งนี้อย่างละมุนละไล ไฟยามค่ำคืนเริ่มส่องแสง ทำให้ฉู่เจียเสวียนรู้สึกผ่อนคลายทั้งกายและใจ ความรู้สึกตึงเครียดในวันธรรมดานั้นหายไปโดยสิ้นเชิง

 

 

           “ติ๊งต่อง” โทรศัพท์มือถือมีเสียงแจ้งเตือนดังขึ้น

 

 

           “ถึงข้างล่างแล้ว” มันคือข้อความที่กงจวิ้นฉือส่งมา

 

 

           ฉู่เจียเสวียนหยิบกระเป๋าขึ้นมา เตรียมจะลงไปข้างล่าง

 

 

           แต่ว่าเมื่อเธอเดินไปถึงลิฟท์ก็ลังเลเล็กน้อย หันหลังกลับเข้าไปในออฟฟิศ หยิบบัตรเชิญแต่งงานออกมาจากลิ้นชักชั้นล่าง ยัดเข้าไปในกระเป๋า

 

 

           “ปล่อยให้คุณรอนานแลย เมื่อกี้ลืมของ ก็เลยกลับไปเอา” หลังจากขึ้นรถ ฉู่เจียเสวียนอธิบายกับ

 

 

กงจวิ้นฉือ

 

 

           “ทำไมขี้ลืมจังเหมือนกับเด็กๆ เลย” กงจวิ้นฉือยิ้มหยอกฉู่เจียเสวียน และเอามือลูบผมของเธอ “อยู่กับผมไม่ต้องระวังขนาดนั้นก็ได้”

 

 

           กงจวิ้นฉือเหยียบคันเร่งและออกไปจากบริษัทของฉู่เจียเสวียนแล้ว

 

 

           “ทำไมจู่ๆ ถึงอยากเลี้ยงข้าวฉันล่ะ?” ฉู่เจียเสวียนมองดูทิวทัศน์ที่ “วิ่งถอยหลัง” นอกหน้าต่างรถ เอ่ยถาม

 

 

           “บอกตั้งนานแล้วว่าจะพาคุณไปกินร้านพิเศษร้านนั้น แต่ทำไมก่อนหน้านี้คุณถึงยุ่งขนาดนั้นล่ะ ปลีกตัวออกมาไม่ได้เลย”

 

 

           ฉู่เจียเสวียนครุ่นคิด ก่อนหน้านี้เธอยุ่งอยู่กับแผนงานหลายอย่างจริงๆ และไม่ได้มีอารมณ์ขนาดนั้น

 

 

           “ก่อนหน้านี้งานเยอะไปหน่อย แหะๆ” ฉู่เจียเสวียนหัวเราะเชิงขอโทษ

 

 

           “นี่เป็นโอกาสที่ผมคว้ามาไม่ได้ง่ายๆ นะ ก็ต้องปล่อยไปไม่ได้อยู่แล้ว” กงจวิ้นฉือพูดกึ่งหยอกเย้า เมื่อพูดจบทั้งสองคนก็หัวเราะแล้ว

 

 

           กงจวิ้นฉือขับรถเร็วมาก หลุดออกมาจากเขตทำงานที่แออัดวุ่นวาย เหมือนสิงโตที่วิ่งไปในทุ่งหญ้าอย่างบ้าคลั่งโดยไม่ต้องเกรงกลัวใคร

 

 

           แสงไฟค่อยๆ ปรากฏขึ้นในความมืด ความเร็วรถก็ค่อยๆ ลดลง

 

 

           ขับต่อมาอีกไม่นานก็มาหยุดอยู่หน้าร้านที่ดูเรียบง่ายร้านหนึ่ง

 

 

           “ถึงแล้ว ลงรถเถอะ” กงจวิ้นฉือปลดเข็มขัดนิรภัยพลางพูดกับฉู่เจียเสวียน

 

 

           หลังจากฉู่เจียเสวียนลงจากรถ มองไปที่ร้านแล้วก็มองกงจวิ้นฉืออีกรอบ เห็นรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ของเขา อดไม่ได้ที่จะงุนงงเล็กน้อย

 

 

           แต่ยังไม่ทันรอให้ฉู่เจียเสวียนเอ่ยปาก กงจวิ้นฉือกลับพูดขึ้นก่อน “ไป เข้าไปดูก่อนเถอะ”

 

 

           “ได้” ฉู่เจียเสวียนเดินตามหลังกงจวิ้นฉือเข้าไปแล้ว

 

 

           มองจากภายนอก ร้านนี้เป็นร้านเล็กๆ ที่ไม่โดดเด่นอะไร แต่เมื่อหลังจากเข้าไปแล้ว จึงพบว่ามีโลกอีกใบหนึ่งอยู่ข้างใน

 

 

           การตกแต่งสวยงามต่างจากร้านอื่นๆ และก็ไม่ได้เหมือนร้านอาหารตะวันตกประเภทที่สวยหรูโอ่อ่า แต่ให้ความรู้สึกสดชื่นของธรรมชาติ

 

 

           “จวิ้นฉือ มาแล้วเหรอ?” ผู้ชายวัยกลางคนคนหนึ่งทักทายกงจวิ้นฉืออย่างกะตือรือร้น

 

 

           “อือ พาเพื่อนมากินข้าวน่ะ” ท่าทางกงจวิ้นฉือจะสนิทกับเถ้าแก่มากทีเดียว

 

 

           ในเวลานี้เถ้าแก่จึงเห็นฉู่เจียเสวียนที่อยู่ด้านหลังกงจวิ้นฉือ รอยยิ้มซุกซนผุดขึ้นบนใบหน้า “ดูท่าทางแล้วคนนี้ไม่ใช่เพื่อนธรรมดาแน่”

 

 

           ฉู่เจียเสวียนได้ยินถึงตรงนี้แล้ว อดไม่ได้ที่จะรู้สึกเขินอาย กลัวว่าเถ้าแก่จะคิดไปไกล

 

 

           แต่ไม่ทันรอให้ฉู่เจียเสวียนพูด กงจวิ้นฉือก็แย่งพูดก่อน “งั้นวันนี้ต้องเสิร์ฟอาหารที่อร่อยทุกอย่างให้ผมนะ”

 

 

           จากนั้นก็พาฉู่เจียเสวียนเดินไปที่ห้องส่วนตัว และเถ้าแก่ส่งสายตาประมาณว่า “ผมรู้นะ” ให้ทั้งสองคนตลอดเวลา