ตอนที่ 568

Alchemy Emperor of the Divine Dao

นิกายพันศพล่าถอย

ดาบของหลิงฮันพุ่งออกไปราวกับมังกรที่แท้จริงที่คืนชีพกลับมา ปราณดาบของเขากลายเป็นกรงเล็บและพุ่งเข้าใส่ทหารซากศพทั้งห้า

‘ตูม’ ปราณดาบเข้าปะทะกับร่างของทหารซากศพทั้งห้าทำให้พวกมันก็ปลิวกระเด็นราวกับขนนก และเมื่อพวกมันร่วงหล่นลงพื้น ทุกคนสามารถมองเห็นได้ว่าทั่วทั้งร่างของพวกมันปรากฏรอยแตกร้าวไปจนถึงกระดูก

‘อะไรกัน!’

ทุกคนตกตะลึง มีใครไม่รู้บ้างว่าร่างของทหารซากศพนั้นแข็งแรงและทนทานขนาดไหน แต่ถึงอย่างนั้นพวกมันกลับถูกทำให้แตกร้าวด้วยการโจมตีของหลิงฮัน

แม้ปราณดาบของหลิงฮันจะถูกใช้ออกโดยอาวุธวิญญาณระดับหก แต่นั่นก็ยังไม่เพียงพอที่จะสร้างรอยแตกร้าวให้กับทหารซากศพเหล่านั้น!

“เขา… ราวกับกลายเป็นหนึ่งเดียวกับปราณดาบ!” ใครบางคนพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ

มันไม่ใช่รัศมีดาบ แต่มันก็ทรงกว่ากว่าปราณดาบ… ด้วยการที่มันยังไม่ควบแน่นเป็นรัศมีดาบ ทำให้จำนวนปราณดาบของหลิงฮันยังเพิ่มจำนวนต่อไปได้อีก

อัจฉริยะ! พรสวรรค์ระดับสัตว์ประหลาด!

แค่มองดูจากซวนหยวนจื่อกวงก็สามารถเรียนรู้ได้แล้ว? พระเจ้า! มีคนที่น่ากลัวแบบนี้อยู่ในโลกด้วยรึไง?

“บัดซบ!” เที๋ยนซิวหนิงคำราม ร่างกายของปลดปล่อยปราณซากศพออกมาเพื่อถ่ายเทพลังให้กับทหารซากศพทั้งห้า ทันใดนั้นรอยแตกร้าวบนร่างของพวกมันก็เริ่มฟื้นฟูด้วยความเร็วสูง

นี่คือจุดเด่นและข้อได้เปรียบของทหารซากศพ ตราบใดที่พวกมันได้รับปราณซากศพอย่างไร้ที่สิ้นสุด พวกมันก็เกือบจะเรียกได้ว่าเป็นอมตะ ไม่เช่นนั้นแล้วทำไมอัจฉริยะที่แข็งแกร่งอย่างซวนหยวนจื่อกวงที่อัดแน่นปราณดาบทั้งยี่สิบสองเล่มได้ถึงยังไม่สามารถโค่นล้มจูเทียนเก้อได้เสียที?

แม้จะเป็นความจริงที่จูเทียนเก้อแข็งแกร่ง แต่อีกส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะทหารซากศพที่ไม่รู้จักความตาย

“สังหารมันให้ข้า!” เที๋ยนซิวหนิงสั่งการทหารซากศพให้โจมตีหลิงฮันอีกครั้ง

หลิงฮันพึมพำ “การอัดแน่นปราณดาบทำได้ไม่ยาก แต่ถ้าจะผสานรูปแบบอักขระกระดูกเข้าไปด้วยคงไม่ใช่เรื่องง่าย” เขาต้องการผสานรูปแบบอักขระกระดูกที่สลักอยู่บนหัวกะโหลกของสัตว์อสูรจากดินแดนศักดิ์สิทธิ์ที่พบในเขตแดนลี้ลับเข้ากับปปราณดาบของเขา หากทำให้ พลังทำลายของปราณดาบจะเพิ่มขึ้นมหาศาล

หลิงฮันยังคงใช้ทหารซากศพทั้งห้าเป็นตัวช่วยขัดเกลาปราณดาบ ปราณดาบของเขาโจมตีออกไปอย่างรุนแรงจนทำให้ร่างของทหารซากศพเกิดบาดแผล แม้เพลงดาบสกัดแปดลมหายใจจะเน้นไปที่การป้องกัน แต่พลังที่เกิดจากการอัดแน่นปราณดาบนั้นน่าสะพรึงกลัวเกินไป

เที๋ยนซิวหนิงไม่มีโอกาสเข้าร่วมการต่อสู้ มันใช้เวลาทั้งหมดไปกับการปลดปล่อยปราณซากศพไปฟื้นฟูทหารซากศพ เพราะเมื่อใดที่ทหารซากศพเหล่านี้พ่ายแพ้ นั่นก็คือจุดจบของมัน

ถึงแม้มันจะเป็นศิษย์ระดับสูงของนิกายพันศพ แต่การปลดปล่อยปราณซากศพถี่แบบนี้ก็ทำให้มันเหนื่อยจนรู้สึกกดดันเช่นกัน

ไม่รู้ว่าหลิงฮันฟาดฟันปราณดาบมากี่ครั้งแล้ว แต่เมื่อใดที่หลิงฮันโจมตีออกมา เที๋ยนซิวหนิงก็จะพบว่าทหารซากศพของมันล้มลงไปนอนกับพื้น หลิงฮันจ้องมองไปยังเที๋ยนซิวหนิงและพูด “ทำไมเจ้าถึงไม่เข้ามาสู้เสียที… โอ้ ทำไมร่างกายของเจ้าถึงดูแห้งเหือดเหมือนคนใกล้ตายเช่นนั้นล่ะ?”

ก่อนหน้านี้เที๋ยนซิวหนิงมีร่างกายที่สูงกำยำ รอบกายของมันปลดปล่อยกลิ่นอายอันทรงพลังออกมา แต่ตอนนี้ล่ะ? ร่างของมันกลายเป็นชายหนุ่มร่างผอมจนผิวหนังติดกระดูก ราวมันว่ามันเป็นขอทานที่อดอาหารมาหลายเดือน

“เจ้า! เจ้ายังจะพูดจาดูหมิ่นข้าอยู่อีก!” ร่างของเที๋ยนซิวหนิงสั่นไหว มันต้องคอยฟื้นฟูร่างของทหารซากศพอยู่ตลอดเวลา ทำให้ปราณซากศพและแก่นวิญญาณซากศพภายในร่างของมันกำลังแห้งเหือด

เที๋ยนซิวหนิงกระโดดล่าถอยกลับไปยังกลุ่มของตนเอง การประลองครั้งนี้แน่นอนว่ามันเป็นฝ่ายแพ้

“คนต่อไป!” หลิงฮันพูดอย่างไม่แยแส

ไป๋หยวนจ้องมองหลิงฮันอย่างนิ่งเงียบ

มันรู้ว่าเมืองหมื่นสมบัติแห่งภูมิภาคกลางนั้นเต็มไปด้วยอัจฉริยะ ดังนั้นมันจึงนำลูกศิษย์ระดับสูงของนิกายสิบคนมาเหยียบย่ำรุ่นเยาว์อัจฉริยะเหล่านั้น

แต่ตอนนี้จูเทียนเก้อกำลังปะทะกับซวนหยวนจื่อกวงอยู่… ส่วนลูกศิษย์คนอื่นๆนั้นพ่ายแพ้หมดแล้ว ไม่ใช่แค่แพ้ต่อคนคนเดียว แต่แพ้ให้กับคู่ต่อสู้สามคนติดต่อกัน ครั้งแรกคือเด็กสาว ครั้งที่สองคือหญิงสาว และครั้งที่สามก็คือชายหนุ่มผู้นี้

ช่างโชคร้ายอะไรเช่นนี้ ยุคสมัยนี้มีอัจฉริยะโผล่ขึ้นมามากมายเกินไป

“เจ้าไม่ต้องสู้กับศิษย์คนอื่นแล้ว ข้าจะนับว่าเจ้าชนะทั้งเก้าคนไปเลย ตอนนี้เจ้าจงรอให้ศิษย์อันดับสามสู้เสร็จก่อน แล้วเจ้าค่อยประลองกับเขา” ไป๋หยวนพูดอย่างหมดหนทาง

หลิงฮันยิ้มไปทางซวนหยวนจื่อกวง “กวงกวงน้อย ถ้าเจ้าสู้ไม่ไหว ทำไมไม่ยกให้เป็นหน้าที่ข้าล่ะ?”

“บัดซบ!” ซวนหยวนจื่อกวงคำราม แววตาของเขาส่องประกายพร้อมกับร่างกายที่ปลดปล่อยเพลิงสีม่วงออกมา กลิ่นอายของเขากลายเป็นน่าสะพรึงกลัวยิ่งขึ้น

“มันคือพลังแห่งสายเลือด?” หลิงฮันพึมพำ ซวนหยวนจื่อกวงในตอนนี้แข็งแกร่งเป็นอย่างมาก กลิ่นอายที่เขาปลดปล่อยออกมาราวกับไม่ใช่ระดับบุปผาผลิบานแต่เป็นตัวอ่อนวิญญาณ

“ภายในสามกระบวนท่า เจ้าจะต้องราบคาบ!” ซวนหยวนจื่อกวงตะโกนลั่น หมัดของเขาราวกับเป็นค้อนขนาดใหญ่

ทหารซากศพทั้งห้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของซวนหยวนจื่อกวงแม้แต่น้อย หมัดของเขากระหน่ำโจมตีใส่พวกมันจนไม่เปิดโอกาสให้ฟื้นฟูร่างกาย

ใบหน้าของจูเทียนเก้อบิดเบี้ยงและรีบล่าถอยกลับไปยังกลุ่มของนิกายพันศพ มันไม่กล้าสู้กับซวนหยวนจื่อกวงต่อ

ไม่นับว่าแปลกอะไร พลังต่อสู้ที่เกือบจะทัดเทียมกับระดับตัวอ่อนวิญญาณนั้นไม่ใช่สิ่งที่มันสามารถต่อกรได้ จึงไม่แปลกที่จูเทียนเก้อจะละทิ้งการต่อสู้

จูเทียนเก้อพ่ายแพ้

ในตอนนี้ลูกศิษย์ของนิกายพันศพทุกคนพ่ายแพ้หมดแล้ว พวกมันทุกคนล้วนแต่รู้สึกอับอายขายหน้า ก่อนหน้านี้พวกมันปรากฏตัวออกมาดั่งผู้ชนะ แต่ตอนนี้กลับถูกหักหน้าจนโงหัวไม่ขึ้น

ไป๋หยวนถอนหายใจ ศิษย์อันดับหนึ่งและสองไม่ได้มาที่นี่ด้วย ดูเหมือนมันคงจะต้องยอมกลืนความพ่ายแพ้แพ้ครั้งนี้ลงไป

“ฮันหลิง เจ้ากล้าสู้กับข้ารึไม่?” แววตาของซวนหยวนจื่อกวงจดจ้องไปยังหลิงฮัน

หลิงฮันชำเลืองมองและพูด “ถ้าเจ้าอยากจะสู้ คนอื่นก็ต้องยอมสู้กับเจ้างั้นรึ? ช่างไร้สาระอะไรอย่างนี้!

“ฮ่าๆๆ แม้ข้าจะเกลียดเจ้า แต่ข้าก็ขอยอมรับว่าเจ้าเป็นคนที่มีความกล้าไม่เบา!” ซวนหยวนจื่อกวงกำหมัดและโคจรปราณให้เป็นรูปร่างพยัคฆ์เพลิงขนาดใหญ่ “ข้าจะแสดงให้เจ้าเห็นเองว่าพลังที่แท้จริงของการอัดแน่นปราณที่เจ้าขโมยไปมันเป็นอย่างไร!”

หลังจากกระตุ้นใช้งานพลังแห่งสายเลือด พลังต่อสู้ของซวนหยวนจื่อกวงก็เพิ่มสูงขึ้นจนอยู่เหนือระดับบุปผาผลิบาน ด้วยพยัคฆ์เพลิงที่เกิดจากการอัดแน่นปราณหมัดทั้งยี่สิบสองนี้ แม้แต่จอมยุทธระดับตัวอ่อนวิญญาณขั้นต้นก็สามารถถูกสังหารได้

หลิงฮันไม่คิดจะปะทะซึ่งๆหน้าโดยตรง ระดับพลังบ่มเพาะของเขาในตอนนี้ยังเสียเปรียบซวนหยวนจื่อกวงอยู่หลายขั้น

หลิงฮันใช้งานย่างก้าวเทพธิดาปีศาจเพื่อหลบหลีก เมื่อใดที่พลังสายเลือดของอีกฝ่ายแห้งเหือด เขาจะลงมือโต้ตอบทันที