“คุณกำลังทำอะไร?” หลินจือยกมือขึ้นหันโทรศัพท์เทาเท่ออก จากนั้นนั่งตัวตรงกระซิบถามเทาเท่
เทาเท่ไม่ได้ปิดบังความตั้งใจของเขา ดวงตาสีดำเข้มจ้องเธอแล้วพูดว่า “เมื่อกี้ผมแค่รู้สึกว่าตอนคุณนอนดูสวยดี เลยถ่ายเอาไว้”
เทาเท่พูดความจริง แต่หลินจือกลับขนลุกไปทั้งตัว
เธอชินกับคำพูดหวานซึ้งของเทาเท่
เมื่อก่อนในใจของหลินจือ เทาเท่มักจะเย็นชาและไม่ถนัดในการพูด ไม่เพียงแค่พูดไม่เก่งเท่านั้น แต่ยังไม่สามารถพูดจานุ่มนวล พวกพูดหวานๆอะไรพวกนี้ได้ยิ่งไปไม่ได้เข้าไปใหญ่
เธอรู้สึกอึดอัดไปทั้งตัว บ่นเขาด้วยเสียงอู้อี้ “คุณรีบลบออกเถอะ คุณกำลังละเมิดสิทธิส่วนบุคคลของฉัน!”
พอหลินจือคิดว่าภาพนอนหลับของเธอถูกเก็บไว้ในโทรศัพท์ของเทาเท่ ก็รู้สึกไม่ดีนัก เขาไม่ยอมหยุดแม้เพียงชั่วครู่เลยจริงๆ
เมื่อเผชิญหน้ากับข้อกล่าวหาของเธอ เทาเท่เพียงหรี่ตาลึกพูดอย่างเกียจคร้านว่า “ถ้าผมจำไม่ผิด คุณก็เคยโพสต์ภาพด้านหลังของผมบนเวยป๋อโดยที่ไม่ได้รับความยินยอมจากผม”
หลินจือถูกเขาแบล็กเมล์จนพูดไม่ออก เธอไม่คิดว่าเขาจะสามารถเอาเรื่องนั้นมาแบล็กเมล์เธอได้
ขณะเธอไม่รู้ว่าจะพูดอะไร เขาก็เลิกคิ้วขึ้นบ่นด้วยความไม่พอใจ “ผมแค่เก็บไว้ชื่นชมเอง แต่คุณปล่อยให้คนบนอินเทอร์เน็ตทั้งหมดชื่นชมรูปร่างของผม”
หลินจือทั้งรู้สึกอับอายและถูกกระทำ เธอไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเทาเท่ในด้านการต่อปากต่อคำ
เมื่อไม่มีความมั่นใจที่จะให้เขาลบภาพ เธอจึงไม่มีทางเลือกนอกจากแขวะเขาว่า “เทาเท่ ทำไมฉันไม่เคยรู้เลยว่าคุณเจ้าคิดเจ้าแค้นขนาดนี้”
คราวนี้เทาเท่พูดไม่ออก ใครเจ้าคิดเจ้าแค้นกัน เขาแค่ไม่อยากลบรูปเอง ถึงได้เลยยกเอาเรื่องการกระทำของเธอมาแบล็กเมล์เธอ ไม่คิดเลยว่าเธอจะหมายหัวว่าเขาเป็นคนเจ้าคิดเจ้าแค้น
เมื่อคิดถึงคำพูดที่อบอุ่นของเธอที่พูดกับโนอาห์ เทาเท่ก็อดไม่ได้ที่จะพูดว่า “ตอนนี้คุณเห็นผมก็รู้สึกขัดตาไปเสียหมด ทุกคำที่ผมพูด ทุกสิ่งที่ผมทำ ล้วนผิดทั้งหมด”
หลินจือมองเขาอย่างไม่เชื่อในสายตา คำพูดของเขาฟังดูเหมือนไม่ได้คับข้องใจและเศร้าโศกธรรมดา
เขาแอบถ่ายรูปเธอ แต่กลับคับข้องใจ?
ไม่อยากจะสนใจเขาแล้ว หลินจือยังคงนอนหลับบนที่นั่งต่อ แต่คราวนี้เอาเสื้อคลุมออกแล้วคลุมใบหน้าไว้ ดูสิว่าคราวนี้เขาจะถ่ายอะไรได้อีก
เทาเท่รู้สึกโกรธจนตลกกับพฤติกรรมของเธอ เธอก็ไม่ได้ดูทำตัวเด็กๆธรรมดา
หลังจากลงจากเครื่องบินรับกระเป๋าเดินทางแล้ว หลินจือก็ลากกระเป๋าเดินทางตัวเองเดินออกไปอย่างรวดเร็ว
นานิเคยเตือนไว้ก่อนหน้านี้ ออกบ้านครั้งนี้เธอจึงเตรียมอุปกรณ์ให้ตัวเองมากมาย แว่นกันแดด หน้ากาก และยังมีหมวกชาวประมงปีกกว้าง จึงไม่มีใครจำเธอได้
เหตุผลที่หลินจือเดินเร็วมาก ก็เพื่อพยายามสลัดเทาเท่ที่อยู่ข้างหลัง
เธอไม่อยากโต้ตอบกับเทาเท่ในที่สาธารณะ แต่ไม่ว่าเธอจะเดินเร็วแค่ไหน ชายข้างหลังเธอมักจะก้าวขายาวเดินช้าๆรักษาระยะห่างที่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากเธอ
เมื่อเห็นว่าเธอกำลังจะรีบออกจากห้องโถงของสนามบิน ชายหนุ่มก็เอ่ยเสียงทุ้มขึ้นข้างๆว่า “นั่งรถผมกลับไปด้วยกัน?”
พวกเขาทั้งสองคนเป็นเพื่อนบ้านกัน เขามีคนขับรถมารับจึงเหมาะที่จะพาเธอกลับด้วยกัน
หลินจือไม่หันหน้ากลับ “ไม่ล่ะ ประธานเจเทาวน์มารับฉันแล้ว”
เทาเท่ “…”
อารมณ์ของเขาไม่ได้รู้สึกแย่ธรรมดา ตอนอยู่เปกก้าก็มีโนอาห์ เพิ่งจะถึงที่เจเทาวน์ก็ขัดขวางเขาอีกแล้ว
เธอทุ่มเทกับงานขนาดนั้นเลยเหรอ? พอลงเครื่องปุ๊บก็ตรงไปสตูดิโอเลยไม่ได้พักผ่อน?
เขาพูดต่อโดยไม่ลังเล “ผมจะไปดูด้วย”
เขาเป็นคนลงทุนละครเรื่องนี้ ดังนั้นหากจะไปก็เป็นเรื่องที่เข้าใจได้
หลินจือกลับปวดหัวมาก “ประธานเทาเท่ เรื่องเล็กน้อยแค่นี้คุณไม่ต้องไปด้วยตัวเอง”
แม้ว่าเจเทาวน์จะรับหน้าที่เป็นผู้กำกับเป็นครั้งแรก แต่เขามีประสบการณ์ในการถ่ายมาหลายปีในฐานะนักแสดงในกองถ่าย และฟังน้ำเสียงของเจเทาวน์ทางโทรศัพท์แล้ว เรื่องก็ไม่ได้แก้ไขยาก ไม่จำเป็นต้องให้เรื่องถึงขั้นที่จะรบกวนผู้ลงทุนละครผู้อยู่เบื้องหลัง
เทาเท่จงใจที่จะตามเธอจนถึงขั้นไม่ยอมให้ห่างตัวแม้เพียงนิดเดียว
“ไม่เป็นไร แค่ไปดูสักหน่อยก็พอ” เทาเท่ไม่ปฏิเสธง่ายๆ
ขณะที่ทั้งสองคุยกันก็ออกจากห้องโถงของสนามบินแล้ว รถของเจเทาวน์ก็ขับถึงพอดี
หลังจากลดกระจกรถลงเห็นเทาเท่ เจเทาวน์ก็ประหลาดใจ “ประธานเทาเท่?”
เจเทาวน์ไม่รู้ว่าเทาเท่จะปรากฏตัวพร้อมกับหลินจือ เขารู้ว่าหลินจือไปเปกก้า และรู้ว่าเทาเท่เดินทางไปทำงานนิวซีแลนด์ แต่ไม่รู้ว่าเทาเท่ไปเปกก้าแล้วกลับมาพร้อมหลินจือเมื่อไร
เทาเท่ถือกระเป๋าเดินทางของเขาและหลินจือด้วยมือข้างเดียว แล้วยัดเข้าไปในท้ายรถของเจเทาวน์อย่างง่ายดาย จากนั้นถึงจะพูดกับเจเทาวน์ว่า “ได้ยินหลินจือบอกว่าฉากเกิดปัญหาเล็กน้อย ผมจะไปดูด้วย”
เดิมทีเจเทาวน์อยากจะบอกว่าเขาไม่จำเป็นต้องไปด้วยตัวเอง แต่เมื่อเห็นหลินจือขมวดคิ้วอย่างพูดไม่ออก เขาก็ไม่ได้พูดอะไรอีก หลินจือจะต้องปฏิเสธไม่ให้เทาเท่ไปด้วยแล้วแน่นอน เห็นได้ชัดว่ามันไม่ได้ผล
เจเทาวน์ก็เดาแผนของเทาเท่ออก ซึ่งคงไม่มีอะไรมากไปกว่าการอยากตามหลินจือเท่านั้น กล่าวอีกได้อีกแบบหนึ่งคือ ไม่อยากให้หลินจือกับเขาอยู่ด้วยกันตามลำพังเท่านั้น
ดังนั้นเขาจึงไม่พูดอะไร เปิดประตูรถแล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า “งั้นไปด้วยกันเถอะ”
เทาเท่และหลินจือขึ้นรถ เจเทาวน์ขับรถพาทั้งสองตรงไปที่สตูดิโอ เทาเท่โทรหาคนขับรถตัวเองว่าให้ไปที่สตูดิโอด้วย เพราะเดี๋ยวยังต้องไปส่งเขากับหลินจือกลับบ้าน
หลังจากรถออกไม่นานหลินจือและเจเทาวน์ก็เริ่มพูดคุยถึงปัญหาของบท เทาเท่เอนอิงเบาะหลังอย่างเกียจคร้าน เหลือบมองหลินจือที่กำลังคุยกับเจเทาวน์อย่างกระตือรือร้นเป็นครั้งคราว
เนื่องจากมีส่วนเกี่ยวข้องกับการแก้ไขบางอย่าง พอหลินจือคิดโครงเรื่องใหม่หรือบทที่น่าตื่นเต้น รอยยิ้มก็จะผุดขึ้นบนใบหน้าอย่างสบายๆราวกับดอกไม้ที่สดใส
เทาเท่เห็นแล้วก็รู้สึกขัดตา แล้วนึกถึงภาพที่เธอนั่งอยู่กับโนอาห์ในร้านกาแฟด้วยกันทั้งเช้า ในใจคิดว่าเธอไม่ได้พูดเป็นคนพูดน้อย แต่เธอแค่พูดน้อยเวลาอยู่ต่อหน้าเขาเท่านั้น เพราะมีความเห็นไม่ตรงกับเขา
เขาไม่ชอบละครบทประพันธ์ ที่ก้าวเข้ามามีส่วนร่วมในอุตสาหกรรมภาพยนตร์และโทรทัศน์เพียงเพราะสนใจผลประโยชน์มหาศาลจากอุตสาหกรรมนี้ และเขามักจะรับผิดชอบเฉพาะการลงทุน ส่วนในด้านการวางแผนเนื้อหาที่เป็นรูปธรรมของละครแต่ละเรื่องนั้น ล้วนเป็นหน้าที่ของลูกน้องเขา
ดังนั้นแค่คิดก็รู้แล้วว่าเขากับหลินจือจะมีความคิดเห็นที่ตรงกันได้อย่างไร เขาจบจากคณะเศรษฐศาสตร์และการเงิน ส่วนเธอจบคณะอักษรศาสตร์
เมื่อมองย้อนกลับไป ตอนที่เขากับเธออยู่ด้วยกัน พวกเราคุยอะไรกันนะ?
เหมือนไม่ค่อยได้คุยกัน พออยู่ด้วยกันก็ทำมากกว่าคุย
เมื่อนึกถึงภาพเหล่านั้น เทาเท่ก็ร้อนจนอดไม่ได้ที่จะดึงเนกไทให้อากาศถ่ายเท ปีที่เธอหย่าแล้วไปต่างประเทศไม่ได้มาปรากฏตัวต่อหน้าเขา เขาไม่ได้รู้สึกว่าชีวิตตัวเองในบางมุมขาดอะไรไป เขารู้สึกสบายใจมีความสุขทุกวัน
ตั้งแต่เธอกลับประเทศและทั้งสองได้พบกัน เขาก็มักจะคิดถึงเรื่องนั้นเสมอ
เขาเบนสายตามองออกไปนอกหน้าต่างกัดฟันแน่น หากยังเป็นแบบนี้ต่อไป สักวันหนึ่งเขาจะมีปัญหาไม่ช้าก็เร็ว