ภาคแคว้นติ้ง บทที่ 61 มอดดับจางหายดั่งขี้เถ้า

กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ

ราวกับย้อนกลับไปที่สวนหลีในอดีตอีกครั้ง เขาก่อกบฏไม่สำเร็จ ถูกล้อมไว้ในสวนดอกหลี ไร้หนทางให้ถอยหลัง ยามนี้ตัวตนถูกเปิดเผย ถูกล้อมไว้ในโรงเตี๊ยม ไร้เส้นทางหลบหนี

ซูหลีร้อนใจ คว้าแขนเขาแล้วกล่าว “ออกไปกับข้า ปล่อยวางความแค้น ข้ารับประกันความปลอดภัยของท่านเอง”

ตงฟางจั๋วมองหน้านางอย่างเหม่อลอย แล้วก็พลันหัวเราะ “ปลอดภัย? ไม่มียาต่อชีวิต แม้จะมียาหุยซินอีกมากมายแค่ไหนข้าก็ไม่มีวันปลอดภัยอยู่ดี”

ซูหลีปล่อยมือด้วยความตกตะลึง “ท่าน ท่านหมายถึง ยาที่มอบให้เสด็จพ่อเป็นยา…”

ตงฟางจั๋วมองนาง บนใบหน้ากลับปรากฏรอยยิ้มอบอุ่น “ใช่แล้ว เขาเป็นบิดาบังเกิดเกล้าของเจ้า ข้าจะทนดูเจ้าเสียคนในครอบครัวไปได้อย่างไร? ความเจ็บปวดเช่นนั้น…ข้าเจอมันมามากพอแล้ว”

ซูหลีตะลึงค้าง นึกมาตลอดว่าเขาเป็นคนฉวยโอกาส กลับนึกไม่ถึงว่านั่นเป็นยาที่ช่วยชีวิตเขาได้! เขาใช้ชีวิตของตนเอง แลกกับการได้อยู่ข้างกายนางเพียงช่วงเวลาสั้นๆ…หน้าอกของซูหลีกระเพื่อมขึ้นลง ลึกๆ ในใจเต็มไปด้วยความรู้สึกมากมาย นางถอยหลังหนึ่งก้าว เบือนหน้าไปทางอื่นโดยไม่รู้ตัว ชั่วขณะหนึ่ง นางไม่อาจเผชิญหน้ากับรอยยิ้มอันอ่อนโยนของเขา

เซิ่งฉินสำรวจสภาพแวดล้อมรอบๆ แล้วกล่าวเสียงเบาว่า “ฝ่าบาท โรงเตี๊ยมแห่งนี้ล้วนล้อมรอบไว้ด้วยกำแพงเหล็กแข็งแกร่ง ยากต่อการโจมตี พวกเราไม่รู้สถานการณ์ข้างใน…มิสู้ใช้ไฟโจมตี ทันทีที่ไฟลุก อย่างไรก็ต้องมีคนจากข้างในเปิดประตูแน่พ่ะย่ะค่ะ”

ตงฟางเจ๋อไม่พูดอะไร เขากวาดสำรวจโรงเตี๊ยมแห่งนี้ สุดท้ายก็หยุดจ้องที่เรือนใต้หลังคาซึ่งทำจากไม้เพียงหลังเดียวที่อยู่ตรงกลาง ประตูหน้าต่างของเรือนใต้หลังคาสามชั้นซึ่งสูงกว่าเรือนล้อมมังกรปิดสนิท ด้านในมืดมิดไร้แสงไฟ ข้างนอกกลับมีโคมแก้วแขวนไว้เต็มไปหมด หน้าประตูไฟส่องสว่าง ราวกับกำลังรอให้คนเปิดประตูบานนั้น เพื่อให้เห็นข้างในได้อย่างชัดเจน สายตาขรึมลงเล็กน้อย คล้ายสับสนลังเล

ซูหลีพยายามควบคุมหัวใจที่กำลังสั่นสะท้าน เอื้อมมือไปจับข้อมือตงฟางจั๋ว แล้วเอ่ยเสียงเบา “เชื่อข้า ข้าจะให้เจียงหยวนรักษาท่านให้หาย ตอนนี้ไปจากที่นี่ก่อน”

ตงฟางจั๋วส่ายหน้า นิ้วมือซีดขาวหมายจะสัมผัสหน้านาง แต่ก็ดึงมือกลับ เขามองนางด้วยสายตาอาลัยอาวรณ์ แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงโศกเศร้า “ตงฟางเจ๋อล้อมที่นี่ไว้หมดแล้ว ข้าหนีไม่รอดหรอก ข้ากับเขามีความแค้นแย่งชิงคนรัก ความแค้นสังหารมารดา เขาไม่มีทางปล่อยข้าไปง่ายๆ หรอก เจ้าไปเถิด แล้วก็…ลืมข้าเสีย…” เอ่ยถึงประโยคสุดท้าย น้ำเสียงของเขาแปรเปลี่ยนเป็นสะอื้น เขาหันหน้าไปทางอื่น ไม่กล้ามองหน้านางอีก

ซูหลีรีบกล่าว “บุญคุณความแค้นในอดีต ยากจะแยกแยะผิดถูก เขาเป็นฮ่องเต้แห่งแคว้นเฉิงแล้ว ท่านไม่อาจเปลี่ยนแปลงเรื่องนี้ได้ ตงฟางจั๋ว แทนที่จะยึดติดกับอดีต มิสู้ปล่อยวางความแค้น แล้วเริ่มต้นชีวิตใหม่เสียดีกว่า”

ตงฟางจั๋วหัวเราะอย่างเศร้ารันทด “เริ่มต้นใหม่? ข้ายังมีโอกาสนั้นอีกหรือ?”

ซูหลีถอนหายใจ “ตงฟางจั๋ว ข้าไม่อยากให้ท่านตาย ข้าอยากให้ท่านมีชีวิตที่ดี” เหตุการณ์ไฟไหม้ในสวนดอกหลีในวันนั้น เคยทำให้นางนอนไม่หลับนับครั้งไม่ถ้วน ยามนี้นางไม่อยากเผชิญกับโศกนาฏกรรมเช่นนั้นอีกแล้ว

ตงฟางจั๋วมองนางอย่างเหม่อลอย พูดอะไรไม่ออก

ซูหลีร้อนใจ “ยังมัวคิดอะไรอยู่อีก? หรือว่าท่านอยากตายอีกครั้ง? ข้าไม่อยากให้ท่านตาย เข้าใจหรือไม่?”

ตงฟางจั๋วกุมมือนาง สูดหายใจลึกๆ แล้วกล่าวว่า “ก็ได้ เช่นนั้นพวกเราไปกันเถิด”

ยามนี้ ตงฟางเจ๋อที่อยู่ข้างนอกหมดความอดทน ยกมือออกคำสั่ง “ยิงธนู”

ครั้นเขาออกคำสั่ง ลูกธนูที่พันผ้าชุบน้ำมันติดไฟถูกยิงไปยังเรือนล้อมมังกรเหมือนห่าฝน พุ่งปักเรือนใต้หลังคาที่ทำจากไม้และพื้นหินในลานสวน โคมไฟบนเรือนถูกยิงร่วงตกพื้นหลายดวง เปลวเพลิงลุกลามไปตามประตูหน้าต่างเก่าๆ อย่างรวดเร็ว

แขกที่อยู่ในห้องกรีดร้องด้วยความตกใจ ยกมือกุมหัววิ่งหนีกันจ้าละหวั่น เสียงหวีดร้องด้วยความหวาดกลัวดังทำลายความเงียบยามค่ำคืน

ซูหลีตกใจ รีบพุ่งตัวออกจากห้อง เห็นเพียงธนูไฟสาดเข้ามาในลานสวนดั่งห่าฝน เปลวเพลิงลุกท่วม เหล่าแขกที่มาเข้าพักกลัวว่าจะถูกขังไว้ในห้อง จึงรีบวิ่งออกไปข้างนอก แต่ก็กลัวจะถูกธนูเพลิงยิง จึงวิ่งหนีกระเจิดกระเจิงไปทั่วทิศ ชั่วขณะหนึ่ง เสียงกรีดร้องด้วยความหวาดกลัว เสียงวิ่งหนีดังระงมไปทั่วบริเวณ ในโรงเตี๊ยม โกลาหลวุ่นวายไปหมด แขกที่พักอยู่ชั้นหนึ่งรีบวิ่งมาเปิดประตูใหญ่ของโรงเตี๊ยม ทุกคนพากันวิ่งหนีออกมาข้างนอก

ตงฟางจั๋วตกตะลึงหน้าเปลี่ยนสี “รีบออกไปเร็ว!”

ตงฟางจั๋วดึงมือซูหลีวิ่งออกไปข้างนอก เรือนใต้หลังคาที่อยู่ตรงกลางเรือนมังกรล้อม ประตูไม้บนชั้นสามพลันเปิดออก เงาร่างคนผู้หนึ่งพลันปรากฏ อาภรณ์ขาวรัดเกล้าหยก ดวงหน้าหล่อเหลาไร้ที่เปรียบ คือหลางฉ่างที่ซูหลีเฝ้ารอมาตลอดนั่นเอง

ซูหลีตกใจ ชะงักฝีเท้าทันที นางตะโกนเสียงดัง “เสด็จพี่!”

ตงฟางเจ๋อที่อยู่ข้างนอกเห็นเช่นนั้นก็ตกตะลึง หน้าเปลี่ยนสีทันที เขาหันกลับไปตวาดออกคำสั่ง “หยุดเดี๋ยวนี้!”

ยังไม่ทันสิ้นเสียง ธนูเพลิงดอกหนึ่งก็พุ่งแหวกอากาศไปที่หลางฉ่าง เสียงระเบิดดังตู้ม เรือนใต้หลังคาชั้นสามระเบิดอย่างรุนแรง! เปลวไฟลุกท่วมฟ้า ละอองขี้เถ้าฟุ้งกระจาย ประตูหน้าต่างที่ทำจากหินแตกละเอียดร่วงกระทบพื้น องค์รัชทายาทสวมอาภรณ์สีขาวงามสง่า ร่างแหลกสลายในพริบตา

ซูหลีได้ยินเพียงเสียงระเบิดที่ดังก้องอยู่ในหัว สมองขาวโพลนไปหมด มีเสียงระเบิดจากทั่วทุกสารทิศ นางยืนแน่นิ่งไม่ไหวติงอยู่ที่เดิม

ตงฟางเจ๋อมองดูเรือนใต้หลังคาที่ถล่มลงมาในพริบตา คล้ายไม่อยากเชื่อทุกสิ่งที่ตนเองมองเห็น

ตงฟางจั๋วไม่มีเวลาคิดมาก เขาอุ้มซูหลีวิ่งไปที่หน้าต่างและกระโดดลงไป เสียงระเบิดดังก้องอยู่ข้างหู ซูหลีสั่นสะท้านไปทั้งตัว พริบตาเดียว ทั้งสองก็ล้มอยู่บนพื้น

ละอองฝุ่นลอยคละคลุ้งไปทั่ว อวัยวะภายในสะเทือนจนเหมือนสลับตำแหน่งกันไปหมด ซูหลีไออย่างหนัก นางรู้สึกเพียงตงฟางจั๋วกอดนางไว้แน่น ป้องกันนางจากแรงระเบิดรอบทิศ นางรีบผลักเขาออก แต่กลับไม่เป็นผล ได้แต่ร้องถามด้วยความร้อนรน “ตงฟางจั๋ว! ตงฟางจั๋ว! ท่านเป็นอย่างไรบ้าง?”

เขาเหมือนได้ยินเสียงของนางจึงคลายมือออก ซูหลีได้รับอิสระอีกครั้ง นางรีบคว้าตัวเขา เห็นเพียงใบหน้าเขาซีดเผือดไปทั้งดวง แต่เขากลับมองหน้านางด้วยรอยยิ้ม ไม่นาน เขากลับกระอักเลือดออกมาคำใหญ่!

ซูหลีตกใจ รีบกอดเขา มือนางสัมผัสแผ่นหลังเขา ของเหลวหนืดเปียกชุ่มเป็นวงกว้าง นางตกตะลึง ชะโงกหน้าไปดู พบว่าแผ่นหลังเขาเต็มไปด้วยบาดแผลเหวอะหวะ น่ากลัวจนไม่กล้ามอง

“ท่าน…” น้ำเสียงของนางแหบพร่า สั่นเทา พูดอะไรไม่ออก

เขายกมือขึ้นอย่างยากลำบาก อยากจะลูบหน้านาง สายตาเต็มไปด้วยความอ่อนโยนและทะนุถนอม ความรักความผูกพันในชาตินี้ของเขา ล้วนมอบให้นาง แต่กลับทำให้นางต้องพบเจอกับความเจ็บปวดอย่างไม่มีที่สิ้นสุด และใช้ชีวิตอีกครึ่งที่เหลืออย่างระหกระเหิน

ซูหลีกุมมือเขาด้วยมืออันสั่นเทา ได้แต่อ้าปาก แต่กลับไม่อาจเปล่งเสียง

เขากลับเหมือนดูออก ทั้งความเจ็บปวด ความโศกเศร้า ความจนใจ และความหวาดกลัวของนาง คิ้วเข้มที่ขมวดพลันคลายออก ร่างกายอ่อนแรง ล้มลงไปช้าๆ มืออันเย็นเฉียบหลุดออกจากฝ่ามือนาง สายตาที่แฝงไว้ด้วยรอยยิ้มกลับหยุดไว้ที่ใบหน้านางไปตลอดกาล

เสียงระเบิดจากรอบข้างดังขึ้นระลอกแล้วระลอกเล่า ผู้คนตะโกนด้วยความหวาดกลัวและวิ่งกระเจิดกระเจิงไปทั่วทิศ

ซูหลีเพียงเหม่อลอยอยู่กับที่ ราวกับสูญเสียความรู้สึกไปแล้ว

ทันใดนั้น ท่ามกลางเสียงระเบิด เศษหยกชิ้นหนึ่งกระเด็นมาตกข้างเท้านาง นางหันไปมองอย่างคนไร้วิญญาณ ในครรลองสายตาอันพร่าเลือน เศษหยกชิ้นนั้นดูคุ้นตายิ่งนัก นางหยิบขึ้นมาเพ่งมอง ลวดลายมังกรผานหลงบนนั้นดั่งมีดที่ทิ่มแทงหัวใจนาง ลมหายใจของนางสะดุด ความเจ็บปวดแผ่กระจายไปทั่วร่างกาย

หยกห้อยเอวมังกรผานหลงขององค์รัชทายาทแห่งแคว้นติ้ง หยกอยู่เจ้าของอยู่ หยกแตกสลาย…เจ้าของก็ตายจาก…

ซูหลีกำเศษหยกในมือแน่น นางค่อยๆ ลุกขึ้นยืน เศษหยกทิ่มแทงฝ่ามือบอบบาง หยดเลือดซึมออกจากซอกนิ้ว ไหลลงข้างเท้านาง นางค่อยๆ หันหน้าทอดมองไปยังบุรุษร่างสูงที่นั่งผึ่งผายอยู่บนหลังม้าอูจุย ท่ามกลางกองทัพทหารมากมาย

ตงฟางเจ๋อสะท้านไปทั้งตัว แทบทรงตัวนั่งไม่อยู่ เสียงสั่นสะเทือนหยุดลงแล้ว เศษฝุ่นละอองลอยฟุ้ง ท่ามกลางกองเพลิงที่สีเหมือนโลหิตสีแดง นางยืนอยู่ตรงนั้นด้วยร่างกายที่อาบเลือด สายตาไร้วิญญาณ ทอดมองมายังเขาอย่างเหม่อลอย สีหน้าของเขาตื่นตระหนก สายตาเจ็บปวดจนแทบแหลกสลาย

สายตาสองคู่สบประสาน ฝุ่นละอองและหมอกควันล้วนมอดดับจางหายไปกับตา เหลือเพียงความตื่นตะลึงและความสิ้นหวังในดวงตาของเขาและนาง…

บทส่งท้าย

ฮ่องเต้แคว้นเฉิงนำทหารล้อมโรงเตี๊ยมหงหลงในเมืองหลินซี บุกโจมตีเรือนใต้หลังคาสามชั้นด้วยธนูเพลิง เป็นเหตุให้เรือนระเบิด หลางฉ่างองค์รัชทายาทแคว้นติ้งร่างแหลกสลาย ข่าวไปถึงเมืองหลวงแคว้นติ้ง ฮั่วเสี่ยวหมานพระชายาในองค์รัชทายาทตรอมใจจนแท้งบุตร ฮ่องเต้แคว้นติ้งโรคเก่ากำเริบ สวรรคต ณ ตำหนักชิ่งอัน สายสัมพันธ์ระหว่างแคว้นเฉิงและติ้งสั่นคลอน

ชนเผ่าหมาป่าฉวยโอกาสรุกรานเข้ามา ทหารม้าสองแสนนายบุกประชิดเมือง สถานการณ์ทางทหารของแคว้นติ้งตกอยู่ในภาวะฉุกเฉิน เกิดศึกทั้งภายนอกและภายใน สถานการณ์เป็นตายเท่ากัน ท่ามกลางเหตุการณ์วุ่นวายองค์หญิงฉางเล่อได้รับคำสั่งให้เข้าท้องพระโรงว่าราชการแทน เพื่อกอบกู้สถานการณ์อย่างสุดกำลัง ฮ่องเต้แคว้นเฉิงเจ๋อส่งหนังสือสู่ขอเพื่อแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ ร่วมมือกับแคว้นติ้งเพื่อต่อกรกับชนเผ่าหมาป่า

หลังจากชนเผ่าหมาป่ารบพ่ายและหลบหนี ฉางเล่อขึ้นครองราชย์ กลายเป็นฮ่องเต้หญิงองค์แรกในประวัติศาสตร์ของแคว้นติ้ง นางทุ่มกำลังพัฒนาบ้านเมือง รักไพร่ฟ้าประชาชน ฟื้นฟูแคว้นติ้งให้กลับมาเจริญรุ่งเรืองได้ภายในสามปี

สามปีต่อมา ฮ่องเต้หญิงหลีและฮ่องเต้แคว้นเฉิงเจ๋ออภิเษกสมรสกันอย่างเป็นทางการ การแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์เสร็จสมบูรณ์ เป็นก้าวแรกแห่งความมั่นคงของสามแคว้นใหญ่

——————————————-