เทศกาลส่งท้ายปีเก่าที่มีขึ้นปีละหนของปีนี้คึกคักกว่าทุกปี เพราะแคว้นเฉิง แคว้นติ้งแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ และย้ายเมืองหลวงของทั้งสองแคว้นไปยังเขตชายแดนอย่างเป็นทางการ พร้อมตั้งชื่อเมืองใหม่ว่า ‘เมืองซวงตู’ ยามอาทิตย์อัสดงมาเยือน ผู้คนหลายพันครัวเรือนในเมือง ต่างพากันติดชุนเหลียน[1] ห้อยโคมสีแดง บรรยากาศเต็มไปด้วยความชื่นมื่นรื่นเริง ยามนี้ ด้านหน้าหอคอยนอกวังหลวง ดอกไม้ไฟบานสะพรั่งกลางท้องฟ้าอันมืดมิด หัวสิงโตและหัวมังกรถูกเชิดไปตามเสียงตีกลอง บรรยากาศครึกครื้นเป็นพิเศษ บนถนนพลุกพล่านไปด้วยผู้คนมากมาย ต่างมาร่วมงานเฉลิมฉลองอันยิ่งใหญ่ตระการตาของสองแคว้น ซึ่งพบเห็นได้ยาก
ย้ายเมืองหลวงได้สามเดือน เมืองหลวงใหม่แห่งนี้ยังคงให้ความรู้สึกไม่คุ้นเคย
ซูหลียืนอยู่บนหอคอยสูง ซึ่งตั้งอยู่ทางทิศใต้ของตำหนักชิ่งอวิ๋น ประกายไฟสดใสงดงามนอกเมืองยังคงเบ่งบาน ดุจฝนดาวตกที่พาดผ่านผืนฟ้ายามราตรี ส่องสว่างให้เห็นพระราชวังอันงดงามตระการตาที่อยู่เบื้องล่าง สายตาของนางราบเรียบไม่บ่งบอกอารมณ์ มีเพียงความอ้างว้างอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
“ฝ่าบาท” เสียงขานเรียกอย่างระมัดระวังของเฟิงซุ่นดังมาจากข้างหลัง “ตำหนักชิ่งอวิ๋นส่งคนมาเชิญอีกครั้งแล้ว งานเลี้ยงใกล้จะเริ่มแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
หลังจากที่นางขึ้นครองราชย์ นางก็แต่งตั้งให้ขันทีหนุ่มคนสนิทของหลางฉ่างเป็นหัวหน้าขันที โดยไม่ได้ตั้งใจ นัยน์ตาอ่อนโยนสง่างามดุจหยกล้ำค่าคู่นั้นก็ผุดขึ้นมาในสมองอีกครั้ง ซูหลีอดไม่ได้ที่จะตกอยู่ในภวังค์ความคิด เดิมมือที่จับกำแพงหอคอยเบาๆ ข้อนิ้วกลับซีดขาวเล็กน้อยโดยไม่รู้ตัว
เวลาเป็นสิ่งโหดร้าย มันยังคงเดินหน้าต่อไปอย่างรวดเร็ว ไม่มีวันหยุดเพื่อผู้ใด เวลานั้นมีหัวใจ มันเป็นพยานในทุกเรื่องที่เคยเกิดขึ้นอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง
สามปีแล้ว ตั้งแต่เสด็จพี่จากโลกใบนี้ไป ราชวงศ์ติ้งเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ พริบตาเดียวก็ผ่านไปหนึ่งพันกว่าคืนวันแล้ว
ครั้นไร้เสียงตอบรับ เฟิงซุ่นจึงหันไปมองหวั่นซินอย่างขอความช่วยเหลือ หวั่นซินถอนหายใจเบาๆ โบกมือบอกให้เฟิงซุ่นถอยออกไปก่อน
ผ่านไปครู่หนึ่ง นางจึงค่อยเอ่ยเตือนเสียงเบา “ฝ่าบาท นี่ก็สายมากแล้ว ถึงเวลาต้องไปแล้วเพคะ”
ซูหลีนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ในที่สุดก็ละสายตากลับมา และสาวเท้าลงจากหอคอยอย่างแช่มช้า
แม้จากที่ไกลๆ ก็ยังได้ยินเสียงคึกคักและวุ่นวายดังมาจากทางตำหนักชิ่งอวิ๋น เมื่อเสียงขานร้องว่า “ฮ่องเต้แคว้นติ้งเสด็จ” ดังขึ้น ทุกอย่างรอบกายพลันเงียบสงบ
เบื้องล่างบันไดสู่บัลลังก์ ขุนนางบุ๋นบู๊ของสองแคว้น รวมถึงทูตจากแคว้นต่างๆ ล้วนลุกขึ้นจากที่นั่ง แล้วยืนต้อนรับด้วยกิริยาสำรวม
เหนือบันไดสู่บัลลังก์ ฮ่องเต้หนุ่มรูปงามไร้ที่ติแห่งแคว้นเฉิง สวมอาภรณ์สีดำลายมังกร นั่งรอเงียบๆ อยู่บนบัลลังก์มังกร รอคอยสตรีที่เพิ่งปรากฏตัวในวินาทีสุดท้ายก่อนงานเลี้ยงจะเริ่ม
ท่ามกลางข้ารับใช้ในวังที่รายล้อมมากมาย ซูหลีย่างกรายขึ้นไปเบื้องบนด้วยท่วงท่าอันสง่างาม ดวงตางดงาม ใบหน้ามีสง่าราศี เส้นผมถูกรวบขึ้นสูงและครอบไว้ด้วยมงกุฎไหมหยกสีทองลายมังกร ขับเน้นให้ดวงหน้าที่เดิมก็ดูหนักแน่นอยู่แล้วยิ่งดูน่าเกรงขามขึ้นไปอีก
ตงฟางเจ๋อแย้มยิ้มเล็กน้อย ลุกขึ้นต้อนรับ เอื้อมมือไปให้นาง เหมือนทุกครั้งที่พบกัน
ซูหลีมองมือเขา แล้วมองไล่ขึ้นไปที่ใบหน้าหล่อเหลา ดวงตาดำขลับเปล่งประกายคู่นั้น ลึกล้ำน่าดึงดูดยิ่งกว่าแต่ก่อนมาก ราวกับว่าร่องรอยที่กาลเวลาเหลือไว้ให้เขา มีแต่จะเพิ่มเสน่ห์ให้เขาอย่างไม่มีที่สิ้นสุด มิน่าเล่าจนถึงป่านนี้ก็ยังมีสตรีมากมาย ที่ยังคงลุ่มหลงไม่ยอมเปลี่ยนใจ เฝ้าขอพรให้ได้แต่งเข้าพระราชวังเฉิง
“ขอโทษที ให้ท่านรอเสียนาน” รอยยิ้มจางๆ พาดผ่านกลีบปากงามของซูหลี ไม่มากหรือน้อยไป ไร้ข้อตำหนิ กระทั่งเรียกได้ว่าสมบูรณ์แบบเลยก็ว่าได้ มือของนางขยับไปยกชายอาภรณ์มังกรอย่างแนบเนียน ก่อนจะเยื้องย่างขึ้นไปบนบัลลังก์
ตงฟางเจ๋อจ้องมองดวงหน้านางแน่นิ่ง ยิ้มแล้วกล่าวว่า “มาก็ดีแล้ว” เขากลับไม่ได้ดึงมือกลับเพราะท่าทีห่างเหินของนาง แต่เอื้อมมือไปจับนิ้วมืออันบอบบางและเย็นเฉียบเล็กน้อยของนนางที่อยู่ใต้แขนเสื้อกว้าง แล้วกำไว้ในฝ่ามือแน่น
รอยยิ้มบนใบหน้าซูหลียังคงไม่จางไป นางเพียงชะงักไปเล็กน้อย สุดท้ายก็ปล่อยให้เขาจูงมือ แล้วเดินมาถึงบัลลังก์มังกรอันเป็นสัญลักษณ์ของอำนาจสูงสุด
สองฮ่องเต้หมุนกายยืนเคียงไหล่ เหล่าขุนนางค้อมกาย
“ขอฮ่องเต้หญิงทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นปี หมื่นๆ ปี!”
“ขอฮ่องเต้แคว้นเฉิงทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นปี หมื่นๆ ปี!”
ตำหนักจัดเลี้ยงที่บรรจุคนได้มากถึงพันคนแบ่งออกเป็นส่วนใน ส่วนกลาง และส่วนนอก เสียงสรรเสริญดังก้องอยู่ในทั้งสามส่วนของตำหนัก เหมือนเสียงระฆังที่เนิ่นนานก็ยังไม่หยุด ดังกึกก้องไปจนถึงขอบฟ้า
บางทีรสชาติของอำนาจ ก็น่าดึงดูดมากจริงๆ ซูหลีจ้องมองเบื้องล่างด้วยสายตาสงบนิ่ง ในโลกใบนี้ เดิมทีอำนาจชายเป็นใหญ่ มองดูเงาร่างที่ค้อมต่ำมากมายเบื้องล่าง มีผู้ใดบ้างที่ไม่ใช่ขุนนางใหญ่ตำแหน่งสูง? คนเหล่านั้นที่ไม่เคยเห็นนางอยู่ในสายตา ยามนี้กำลังคุกเข่าก้มหัวให้นาง ไม่กล้าแม้แต่เงยหน้าขึ้นด้วยซ้ำ
ซูเซียงหรูยืนอยู่เบื้องหน้าเหล่าขุนนางแห่งแคว้นเฉิง ลึกๆ ในใจเต็มไปด้วยความรู้สึกมากมายบอกไม่ถูก ผ่านไปหลายปี ในที่สุดซูหลีก็ยอมแต่งงานกับตงฟางเจ๋อตามที่เขาต้องการ ทว่ายามนี้ ซูหลีเป็นถึงฮ่องเต้หญิงแห่งแคว้นติ้ง มิใช่บุตรีแห่งสกุลซูอีกต่อไปแล้ว! ช่วงชีวิตสิบหกปีในจวนอัครเสนาบดี แค่นางไม่ถือโทษโกรธแค้น ก็ถือเป็นบุญคุณอันใหญ่หลวงแล้ว
ซูหลีเอ่ยเสียงขรึม เสียงใสทรงพลังดังไปทั่วตำหนัก “ลุกขึ้นเถิด วันนี้เป็นงานเลี้ยงส่งท้ายปีเก่า ขุนนางที่รักทุกท่านไม่จำเป็นต้องมากพิธี คณะทูตเดินทางมาจากแดนไกล รีบนั่งเร็วเข้าเถิด”
เซียงซูหรูขอบพระทัยพร้อมกับเหล่าขุนนาง ยามลุกขึ้นอดไม่ได้ที่จะเงยหน้ามองนางแวบหนึ่ง ครั้นไม่มีปานแดงสะดุดตาเช่นในอดีต ดวงหน้านั้นก็งดงามล่มเมืองไร้ผู้ใดเปรียบ นางนั่งข้างตงฟางเจ๋อ ราศีของประมุขแห่งแคว้นกลับไม่ได้ด้อยไปกว่ากันเลยแม้แต่น้อย
ซูหลีกวาดมองที่นั่งของคณะทูตเล็กน้อย ฮูเอ่อร์ตูกลับนั่งอยู่ด้วย เดาว่าหยางเซียวยังคงปล่อยวางไม่ได้ จึงส่งฮูเอ่อร์ตูมาเป็นตัวแทน
ครั้นนึกถึงหยางเซียว ซูหลีก็ลอบถอนหายใจ ได้ยินเพียงตงฟางเจ๋อกล่าว “แม่ทัพฮูเอ่อร์ตู ไม่ได้พบกันหลายปี ฮ่องเต้แคว้นเปี้ยนสบายดีหรือไม่?”
ฮูเอ่อร์ตูเงยหน้า มองดูคู่สวรรค์สร้างที่นั่งผึ่งผายอยู่บนบัลลังก์มังกร ครั้นนึกถึงฮ่องเต้ของตนเองที่ยังคงอ้างว้างไร้คู่ครอง อารมณ์ก็พลันมัวหมอง เขาตอบเสียงแข็ง “ไม่ดีพ่ะย่ะค่ะ!”
ซูหลีประหลาดใจ เอ่ยถามด้วยความห่วงใยทันที “ฮ่องเต้แคว้นเปี้ยนมีเรื่องใดงั้นหรือ?”
ฮูเอ่อร์ตูชำเลืองมองตงฟางเจ๋อเล็กน้อย แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงไม่สบอารมณ์ “ฮ่องเต้ของกระหม่อมคะนึงหาฝ่าบาท ยามนี้ยังไม่ยอมแต่งฮองเฮา ย่อมไม่สบายอยู่แล้วพ่ะย่ะค่ะ!”
ทุกคนต่างพากันสูดปาก ต่อหน้าฮ่องเต้แคว้นเฉิง ฮูเอ่อร์ตูผู้นี้กลับไม่เกรงกลัวแม้แต่น้อย ใจกล้าเกินไปแล้ว ทว่า สี่ปีก่อน งานอภิเษกสมรสของหยางเซียวฮ่องเต้แคว้นเปี้ยนต้องล่มเพราะฮ่องเต้แคว้นเฉิง รวมถึงเจ้าสาวหายตัวไป สุดท้ายกลายเป็นเรื่องตลกไปทั่วแผ่นดิน ในฐานะขุนนางใหญ่ของแคว้นเปี้ยน เขาจะฝังใจกับเรื่องนี้ก็ไม่แปลก
ตงฟางเจ๋อยังคงแย้มยิ้ม กระดกคิ้วเล็กน้อยแล้วกล่าวว่า “ข้านึกว่าเขาจะเป็นคนฉลาด ความคิดที่เป็นไปไม่ได้ ยึดติดไปก็เปล่าประโยชน์ ท่านแม่ทัพไม่สู้เกลี้ยกล่อมให้ฮ่องเต้แคว้นเปี้ยนตัดใจ แล้วหันไปใส่ใจเรื่องบ้านเมืองจะดีกว่า”
ฮูเอ่อร์ตูกลับกล่าวว่า “ฮ่องเต้ของกระหม่อมตรัสแล้ว บางทีฮ่องเต้หญิงอาจเปลี่ยนพระทัยในสักวันก็ยังไม่อาจรู้ได้!”
ทุกคนได้ยินประโยคนี้ก็ยิ่งตกใจ ที่แท้แม่ทัพของหยางเซียวผู้นี้ ไม่ได้มาร่วมฉลองยินดี แต่คงมาหาเรื่องมากกว่ากระมัง!
ตงฟางเจ๋อทำหน้าเคร่งขรึม ซูหลีสัมผัสได้ว่ากลิ่นอายของบุรุษข้างกายพลันเย็นเยียบลง ฉะนั้นจึงยิ้มแล้วกล่าวว่า “ไม่เจอกันหลายปี ท่านแม่ทัพฮูเอ่อร์ตูก็รู้จักพูดเล่นเป็นแล้ว!”
ฮูเอ่อร์ตูมองนางด้วยสายตาสับสน ถึงแม้สามปีก่อนตงฟางเจ๋อจะทำให้หลางฉ่างตาย ยามนี้นางก็ยังรักคนผู้นี้ จิตใจพลันหดหู่ เขาไม่พูดอะไรอีก เพียงกระดกสุราไม่หยุด
เฟิงซุ่นเรียกนางกำนัลให้ยกสำรับอาหารเข้ามา อาหารเลิศรสจานหนึ่งถูกยกเข้ามาวางบนโต๊ะ สองแคว้นร่วมฉลองคืนส่งท้ายปีเก่าด้วยกันเป็นครั้งแรก ทั้งสุราและอาหารล้วนถูกคัดสรรมาเป็นอย่างดี ยามปกติล้วนหากินได้ยาก ระดับความหรูหรา ทำให้เหล่าทูตจากต่างแคว้นล้วนอุทานด้วยความตกใจ
โจวหลี่ตบมือส่งสัญญาณสองที เสียงพิณก็ถูกบรรเลงขึ้นทันที เหล่าสตรีที่มีหน้าที่ร่ายรำกรีดกรายเยื้องย่างขึ้นมาบนเวทีตามท่วงทำนองดนตรี
ไม่นานบรรยากาศก็ผ่อนคลายขึ้นมาก
ซูหลีมองเหล่าขุนนางด้านล่าง ท่ามกลางเหล่าขุนนางนับร้อยของแคว้นเฉิงยังคงไม่เห็นเงาร่างของเสด็จพ่อหลีเฟิ่งเซียน ได้ยินว่าตอนย้ายเมืองหลวง หลีเฟิ่งเซียนเป็นฝ่ายเสนอตัวขอเฝ้ารักษาการณ์เมืองหลวงเก่า และสะสางเรื่องราวต่างๆ อยู่ข้างหลัง
ยามนี้ที่นั่งด้านหน้าของฝั่งขุนนางแคว้นเฉิงมีอัครเสนาบดีซูเซียงหรู และผู้บัญชาการทหารเหลียงสือชู ที่นั่งหันหน้าเข้าหาอัครเสนาบดีลู่เจี่ยนไป๋ และขุนพลศักดาพยัคฆ์เสิ่นเจี้ยนอันที่อยู่ไกลๆ ซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยเองก็มาร่วมฉลองในฐานะขุนนางหญิงเช่นกัน ส่วนฮั่วเสี่ยวหมาน…นึกไม่ถึงว่านางจะมาด้วย
ซูหลีกระดกคิ้วเล็กน้อย ตั้งแต่ที่เสด็จพี่จากไป ฮั่วเสี่ยวหมานรู้ข่าวก็โศกเศร้าและได้รับความกระทบกระเทือนทางจิตใจอย่างรุนแรง เป็นเหตุให้เสียเด็กในครรภ์ไป นิสัยเปลี่ยนไปมาก ในสามปีที่ผ่านมาน้อยครั้งมากที่นางจะก้าวออกจากตำหนักบรรทม ยิ่งไม่เคยเข้าร่วมงานเฉลิมฉลองใดเลย ครั้งล่าสุดที่นางปรากฏตัวต่อหน้าผู้คน คือตอนที่นางคัดค้านการแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ของทั้งสองแคว้น วันนี้สองแคว้นจัดพิธีเฉลิมฉลอง นึกไม่ถึงว่านางก็มาด้วย เป็นเรื่องที่เหนือความคาดหมายมากจริงๆ
ซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยที่นั่งอยู่ในงานเลี้ยงมองมาด้วยสายตาเป็นห่วง ซูหลีพยักหน้าเบาๆ ส่งสายตาบอกนางให้วางใจ ถึงแม้ฮั่วเสี่ยวหมานจะมาร่วมงานด้วย ก็ทำได้เพียงนั่งดูเงียบๆ เท่านั้น
“ได้ยินมานานว่าฝ่าบาททั้งสองพระองค์เป็นคู่ที่สมกันดั่งกิ่งทองใบหยก วันนี้มีวาสนาได้มายลโฉมด้วยตนเอง จึงได้รู้ว่าสมดังคำร่ำลือจริงๆ อีกทั้งยังเห็นทั้งสองพระองค์รักใคร่กลมเกลียว มิได้มีเรื่องผิดใจกันเช่นที่ข่าวลือว่าไว้ ถือเป็นบุญของไพร่ฟ้าจริงๆ พ่ะย่ะค่ะ” ทูตจากแคว้นเซี่ย แคว้นซึ่งตั้งอยู่นอกที่ราบภาคกลาง ติดอยู่กับทะเลสาบอันแห้งแล้งได้กล่าวขึ้นเช่นนั้น ฟังดูกลับไม่เหมือนประจบประแจง เหมือนกำลังหยั่งเชิงเสียมากกว่า
สายตาของซูหลีไหวระริก คล้ายประหลาดใจเล็กน้อย “อ้อ? มีข่าวลือเช่นนี้ด้วยหรือ? ข้ากลับไม่เคยได้ยิน!” พูดไป นางก็ยิ้มแล้วหันไปมองหน้าตงฟางเจ๋อ
สายตาของตงฟางเจ๋อสั่นระริก กุมมือนาง ผิวกายที่อยู่ในฝ่ามือกว้างเรียบลื่นเนียนนุ่มดุจหยก สัมผัสอันคุ้นเคยยังคงเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง พาให้หัวใจรู้สึกสงบได้ในทันที เขาจ้องมองนางด้วยสายตาอ่อนโยน หัวเราะเสียงเบา แล้วกล่าวว่า “เป็นข้าเองที่ประพฤติตัวเลินเล่อ ทำให้ผู้อื่นรู้สึกเช่นนั้นได้ ต่อไปข้าจะหาเวลาว่างมาอยู่กับเจ้าให้มากขึ้น”
ซูหลีหลุดยิ้ม “ท่านอยากให้ข้ากลายเป็นคนบาปของแคว้นเฉิงหรือ?” จากนั้นนางก็ถอนหายใจเบาๆ คล้ายจนใจสุดแสน “ท่านกับข้าล้วนเป็นประมุขแห่งแคว้น เมืองหลวงของสองแคว้นเพิ่งย้ายมาได้ไม่นาน มีราชกิจมากมายรอให้สะสาง บางครั้งไม่พบหน้ากันนานถึงครึ่งเดือน ก็ไม่แปลกที่คนอื่นจะเข้าใจผิด…แต่ก็ช่างเถิด ท่านกับข้ามีฐานะเช่นนี้ มิอาจอยู่เคียงข้างกันตลอดเวลาเช่นสามีภรรยาคู่อื่นได้อยู่แล้ว อยู่ด้วยกันอย่างนี้ก็ไม่ง่ายแล้ว จะต้องการมากไปกว่านี้ได้อย่างไรเล่า?”
สายตาของตงฟางเจ๋อหมองลงเล็กน้อย มือที่กุมมือนางแน่นขึ้นอย่างไม่รู้ตัว เขายิ้มแล้วเอ่ยอย่างไม่เห็นด้วย “ทุกเรื่องย่อมอยู่ที่คน ถึงแม้มีราชกิจติดพัน แต่ยามนี้เมืองหลวงย้ายมารวมเป็นหนึ่งเดียวแล้ว เจ้ากับข้าอย่างไรก็ต้องอยู่ด้วยกันไปจนแก่เฒ่า จะปล่อยให้ชาวโลกคิดว่าการแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ครั้งนี้เป็นเพียงเปลือกนอกได้เช่นไร?”
————————————