ฮูเอ่อร์ตูได้ยินเช่นนั้นก็แค่นเสียง รู้สึกว่าตงฟางเจ๋อกำลังกล่าวประโยคนั้นกับเขา
สามปีก่อน แคว้นติ้งเกิดปัญหาทั้งภายในและภายนอก เดิมทีหยางเซียวหมายจะยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ แต่กลับมีอุปสรรคที่แคว้นเปี้ยนและแคว้นติ้งอยู่ไกลกันเกินไป ซ้ำยังมีแคว้นเฉิง รวมถึงแคว้นหวั่นและเมืองเหลียวเฉิงคั่นอยู่ตรงกลาง กองทัพเปี้ยนเดินทางอ้อมหลายพันลี้ มีเวลาไม่มากพอ กอปรกับต้องคอยระวังหยางจิ้น เผื่อเขายังคงแค้นซูหลีและฉวยโอกาสยามนางเดือดร้อน ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ตงฟางเจ๋อได้โอกาสแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ไป ตอนนั้นหยางเซียวได้ยินมาว่าซูหลีถูกสถานการณ์บังคับให้ตอบรับคำสู่ขอ เขาเดือดดาลพังข้าวของบนโต๊ะ แต่กลับจนใจทำอะไรไม่ได้
ซูหลีก้มหน้าแย้มยิ้มเล็กน้อย ไม่ตอบรับหรือปฏิเสธแต่อย่างใด
คนในงานเลี้ยงกลัวว่าบรรยากาศจะกร่อย จึงรีบลุกขึ้นเพื่อดื่มสุราคารวะ ตงฟางเจ๋อยกถ้วยสุราดื่มร่วมกับเหล่าขุนนาง เสียงพูดคุยกันอย่างเบิกบานดังไปทั่วตำหนักอีกครั้ง ทูตจากแคว้นต่างๆ ครั้นเห็นว่าบรรยากาศเริ่มดี ก็เริ่มผลัดกันก้าวออกมาพูดประจบประแจง
“สามปีก่อน กระหม่อมเคยเดินทางผ่านสถานที่แห่งนี้ ยามนั้นที่นี่ยังเป็นเพียงเมืองเล็กๆ ติดขอบชายแดนที่ไม่มีชื่อเสียง…ผู้คนบางตา บ้านเรือนธรรมดา ยามนี้กำแพงวังสูงตระหง่าน เจริญรุ่งเรืองไม่มีที่เปรียบ…”
สิบกว่าปีมานี้ สามแคว้นใหญ่ต่างขยายอาณาเขตของตนเอง ยึดครองแคว้นอื่นมากมาย เหลือเพียงแคว้นเล็กๆ ที่พื้นที่ค่อนข้างห่างไกล ต่างยอมอยู่ใต้อาณัติและส่งเครื่องบรรณาการและของขวัญมาให้ทุกปี จึงอยู่รอดปลอดภัยมาได้จนถึงตอนนี้
ประโยคเมื่อครู่มาจากปากของทูตจากแคว้นเฉินซึ่งตั้งอยู่นอกเขตชายแดนใต้ กล่าวด้วยน้ำเสียงเลื่อมใสจากใจ
ทูตจากแคว้นเหลียง ซึ่งอยู่นอกเขตชายแดนตะวันออกของแคว้นเฉิง และอยู่ติดกับทะเลไม่ยอมน้อยหน้า แย้มยิ้มแล้วรับคำต่อทันที “แม้เป็นเมืองเล็กๆ ติดขอบชายแดน แต่ฮ่องเต้แคว้นเฉิงทรงพระปรีชาสามารถ เมืองที่อยู่ติดชายแดนเช่นนี้หากไม่ใช่เมืองแห่งการค้า ก็เป็นเมืองเก่าที่เคยรุ่งเรืองในอดีต การดึงผู้คนมารวมกันมิใช่เรื่องยาก สถานที่แห่งนี้ยังเป็นจุดคาบเกี่ยวของทั้งสองแคว้นอีกด้วย สองฮ่องเต้แต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ ย้ายเมืองหลวงมายังสถานที่แห่งนี้ ไม่เพียงเมืองหลวงติดกัน พระราชวังยังอยู่ใกล้กันอีกด้วย ทั้งสะดวกต่อการจัดพิธีอภิเษกสมรสเพื่อเชื่อมสัมพันธ์ แล้วยังไม่เป็นอุปสรรคในการสะสางราชกิจอีกด้วย ความคิดอันยอดเยี่ยมเช่นนี้ หากมิใช่ความรักที่มีต่อกันอย่างลึกซึ้ง ก็คงเป็นไปได้ยาก!”
“ใช่แล้วพ่ะย่ะค่ะ! ยามนี้สองแคว้นเปิดประตูการค้าขายอีกครั้ง ใกล้ชิดกันฉันครอบครัว ไปมาหาสู่กันอย่างอิสระ จะไม่รุ่งเรืองได้อย่างไรเล่าพ่ะย่ะค่ะ?!”
ซูหลีนั่งฟังเงียบๆ ตั้งแต่ต้น ใบหน้ายังคงประดับไว้ด้วยรอยยิ้มอันเหมาะสม แต่กลับไม่ร่วมวงสนทนา จู่ๆ นางก็รู้สึกคันที่หลังมือ ครั้นก้มมอง ก็พบว่าตงฟางเจ๋อยังคงกุมมือนางอยู่ตลอด ปลายนิ้วลูบสัมผัสเบาๆ อย่างอ่อนโยน
สายตานางสะดุดเล็กน้อย ซูหลีดึงมือออกเบาๆ แล้วเอื้อมไปหยิบถ้วยสุราที่อยู่ข้างกาย อมยิ้มแล้วกล่าวว่า “สองเมืองหลวงรุ่งเรืองอย่างวันนี้ได้ ล้วนเป็นเพราะความทุ่มเทของท่าน! ข้าสมควรดื่มคารวะท่านสักถ้วย!”
ครั้นเห็นนางมองมา สายตาของตงฟางเจ๋อแปรเปลี่ยนเป็นลึกล้ำ เขารับถ้วยสุราไปแล้วดื่มจนหมด สายตาจับจ้องมองใบหน้านาง รอยยิ้มที่หางตางดงามดั่งฤดูใบไม้ผลิ ขับเน้นให้ดวงหน้าหล่อเหลาของเขายิ่งน่าดึงดูด
สายตาของซูหลียังคงไม่เปลี่ยนไป แต่กลับไม่อาจห้ามหัวใจที่กำลังสั่นไหว ผ่านมาหลายปีแล้ว นางก็ยังคงไม่อาจต้านทานสายตาอันอบอุ่นของเขาได้ นางรีบหลบสายตา หยิบกาสุราขึ้นแล้วรินให้เขาเต็มถ้วยอีกครั้ง
ตงฟางเจ๋ออดขยับตัวเข้าใกล้นางไม่ได้ เขากระซิบข้างหูนางเบาๆ “เจ้าคิดจะมอมข้าหรือ?”
ลมหายใจอันคุ้นเคยเคล้าด้วยกลิ่นหอมของสุรารดพวงแก้มนางเบาๆ ทำให้จิตใจนางล่องลอย ซูหลีถอยห่างโดยสัญชาตญาณ เพียงแย้มยิ้มเล็กน้อยแล้วมองตาเขา ไม่พูดอะไร
ในสายตาของเหล่าขุนนางและทูตจากแคว้นต่างๆ รู้สึกเพียงสองคนรักกันหวานชื่นอย่างไม่มีที่เปรียบ
ทูตจากแคว้นเฉินก้าวออกมากล่าวเยินยอ “ฮ่องเต้แคว้นเฉิงทรงพระปรีชาสามารถมากจริงๆ ฮ่องเต้แคว้นติ้งเองก็ไม่ด้อยไปกว่ากันเลย ในอดีต อดีตองค์รัชทายาทแคว้นติ้งทรงจากไปตั้งแต่ยังเยาว์วัย อดีตฮ่องเต้สวรรคตเพราะตรอมพระทัย ไพร่ฟ้าเศร้าโศกกันถ้วนหน้า ต่างจมอยู่ในห้วงแห่งความเศร้า…ชนเผ่าหมาป่าฉวยโอกาสรุกรานเข้ามาปล้น ฆ่า และเผาทำลายเมือง โหดเหี้ยมไร้ความปรานี บุรุษใต้ฟ้าล้วนคิดว่าแคว้นติ้งคงมิอาจรอดพ้นจากความโชคร้ายนี้ไปได้! นึกไม่ถึง ในยามคับขันองค์หญิงกลับลุกขึ้นมาเป็นเสาหลักให้บ้านเมืองอย่างกล้าหาญ พลิกสถานการณ์ให้รอดพ้นจากวิกฤติไปได้…พระองค์กล้าหาญชาญชัยถึงเพียงนี้ บุรุษเช่นพวกกระหม่อมยังต้องละอายใจ!”
“ใช่แล้วพ่ะย่ะค่ะ ฮ่องเต้หญิงทรงพระปรีชายิ่งนัก!”
เอ่ยถึงเรื่องนี้ ทุกคนต่างอุทานด้วยความชื่นชมกันอย่างถ้วนหน้า สายตาที่มองซูหลีมีแววเลื่อมใสเพิ่มขึ้นมาหลายส่วน ทว่ากลุ่มคนที่ซาบซึ้งมากที่สุด ก็คือเหล่าขุนนางแคว้นติ้ง
ปีนั้น องค์รัชทายาทหลางฉ่างตายอย่างน่าอนาถ ฮ่องเต้แคว้นติ้งรู้ข่าวก็สวรรคตทันที ฮั่วเสี่ยวหมานพระชายาในองค์รัชทายาทเองก็แท้งบุตร สายเลือดในราชวงศ์ติ้งร่อยหรอ ไม่มีผู้ใดสามารถสืบทอดบัลลังก์ได้ ฉางผิวโหวฮั่วถิงชวนออกหน้าคุมสถานการณ์ แต่สุดท้ายเขาก็ไม่ใช่สมาชิกในราชวงศ์ ยากจะกุมใจคน ทหารรักษาการณ์ชายแดนแยกตัวเป็นอิสระไม่ยอมฟังคำสั่ง ปัญหาภายในเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง จิตใจผู้คนไม่สงบสุข
ชนเผ่าหมาป่าที่เพ่งเล็งมาแต่แรกจึงฉวยโอกาสรุกรานเข้ามา ทหารม้าสองแสนนายของชนเผ่าหมาป่าเดินทัพตรงเข้ามา ปล้น ฆ่า เผาทำลายเมืองต่างๆ ของแคว้นติ้ง บ้านเมืองแทบนองไปด้วยสงครามเลือด
องค์หญิงฉางเล่อแห่งแคว้นติ้งได้รับคำสั่งในยามคับขัน ก้าวเท้าเข้าสู่ท้องพระโรง สะสางราชกิจของบิดาและพี่ชายที่ค้างคา พลางปลอบขวัญประชาชน แล้วยังต้องคอยดูแลความรู้สึกของซั่งกวนฮองเฮากับฮั่วเสี่ยวหมานอีก ขณะเดียวก็ต้องวางกลยุทธ์รับมือศัตรูไปด้วย…ภาระหน้าที่ทั้งหมดล้วนอยู่บนบ่านาง แม้หลับฝันนางก็ยังไม่กล้าร้องไห้ออกมา
ในประวัติศาสตร์แคว้นติ้งไม่เคยมีสตรีว่าราชการมาก่อน ยิ่งไปกว่านั้นนางเป็นองค์หญิงที่เพิ่งกลับมาอยู่กับฮ่องเต้แคว้นติ้งได้ไม่นาน ฮั่วถิงชวนไม่เป็นมิตรกับนาง เหล่าขุนนางในราชสำนักไม่มีความเชื่อมั่นในตัวนาง ถึงแม้มีซั่งกวนฮองเฮาคอยหนุนหลัง แต่นางก็ยังต้องพยายามอย่างหนักในราชสำนักอยู่ดี แผนการที่วางไว้ไม่อาจดำเนินการได้ ฮั่วถิงชวนกระทำการทุกอย่างโดยพลการไม่ยอมฟังคำสั่ง รวบรวมทหารหนึ่งแสนนายเดินหน้ารับศึก หลังรบแพ้ก็สละชีวิตเพื่อชาติ
สถานการณ์ทางทหารของแคว้นติ้งตกอยู่ในภาวะฉุกเฉินอีกครั้ง ครั้นเห็นบ้านเมืองที่บิดาและพี่ชายรักยิ่งกว่าชีวิตลุกท่วมไปด้วยไฟสงคราม ซูหลีหมดทางเลือก ได้แต่ตอบรับคำสู่ขอของตงฟางเจ๋อท่ามกลางการคุกเข่าอ้อนวอนของเหล่าขุนนาง ใช้พิธีอภิเษกสมรสปลอบขวัญราษฎร ทำให้สถานการณ์ในราชสำนักมั่นคง และรีบสั่งให้แม่ทัพหนุ่มเสิ่นเจี้ยนอันที่หลางฉ่างเคยไว้วางใจที่สุดยามยังมีชีวิตกลับเมืองหลวง นำกำลังทหารไปรบกับชนเผ่าหมาป่าด้วยกลยุทธ์อันชาญฉลาดเป็นเวลาหนึ่งเดือน กระทั่งชนเผ่าหมาป่าหมดความอดทน สุดท้ายก็ร่วมมือกับกองทัพหนุนของแคว้นเฉิงที่นำทัพโดยตงฟางเจ๋อ โจมตีทหารม้าของชนเผ่าหมาป่าจนแตกพ่าย แก้ไขวิกฤตครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่ก่อตั้งแคว้นติ้งมาจนสำเร็จในที่สุด
ครั้นผ่านเหตุการณ์นี้มาได้ ขุนนางทุกผู้ในราชสำนักล้วนยอมจำนนและภักดี อัครเสนาบดีลู่เจี่ยนไป๋นำเหล่าขุนนางบุ๋นบู๊มาคุกเข่าขอร้องให้ซูหลีสืบทอดบัลลังก์ สานต่อปณิธานของบิดาและพี่ชาย ทำให้แคว้นติ้งเจริญรุ่งเรืองสืบไป
หลังจากการทำงานหนักสามปี ลดหย่อนภาษีของประชาชนและฟื้นฟูบ้านเมือง ในที่สุดแคว้นติ้งก็สามารถพลิกฟื้นกลับมาได้ ทว่าไม่มีผู้ใดลืมความกลัวที่เกิดขึ้นจากเหตุการณ์ในครั้งนั้นได้
ซูหลีถอนหายใจ กล่าวว่า “ปีนั้นที่สามารถโจมตีชนเผ่าหมาป่าจนล่าถอยได้ เป็นผลงานของแม่ทัพเสิ่น ฮ่องเต้แคว้นเฉิงเองก็ช่วยเหลือไม่น้อย มิใช่ผลงานของข้าแต่เพียงผู้เดียว”
ตงฟางเจ๋อได้ยินก็ยิ้ม แล้วกล่าวว่า “เจ้ากับข้าเป็นสามีภรรยาก็เหมือนคนคนเดียวกัน แคว้นเฉิงและแคว้นติ้งเสมือนหนึ่งเดียวกัน จะเรียกว่าช่วยเหลือได้เช่นไร? กลับเป็นแม่ทัพเสิ่น กล้าหาญชาญชัย นับเป็นขุนพลยอดเยี่ยมหาตัวจับยากยิ่งนัก”
คำชมเช่นนี้ หากเป็นขุนนางคนอื่นจะต้องปลื้มปีติอย่างแน่นอน แต่เสิ่นเจี้ยนอันกลับกล่าวด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ “ฮ่องเต้แคว้นเฉิงตรัสชมเกินไปแล้ว ปกป้องประเทศชาติ เป็นหน้าที่ของขุนนางอยู่แล้วพ่ะย่ะค่ะ!” จากนั้นเขาก็ก้มหน้าดื่มสุรา แสดงให้เห็นว่าไม่อยากสนทนาต่อ
แม่ทัพแคว้นเฉิงเห็นเช่นนั้น ก็พลันไม่พอใจ ขุนนางแคว้นเฉิงคนหนึ่งแค่นเสียง “จะเกี่ยงกันไปเกี่ยงกันมาไปไย! หากมิใช่เพราะฮ่องเต้แคว้นเฉิงทรงนำทัพไปช่วยเหลือด้วยตนเอง อาศัยเขาคนเดียวมีหรือจะเอาชนะได้? เหอะ!”
เสิ่นเจี้ยนอันเงยหน้า จ้องมองคนผู้นั้นด้วยสายตาเย็นชา คนผู้นั้นเย็นวาบไปทั้งตัว สะดุ้งเล็กน้อย ซูหลีกระแอมเบาๆ ทั้งสองจึงก้มหน้า ดื่มสุราเงียบๆ ต่อไป
ยามนี้เอง ของว่างจานหนึ่งถูกนำมาวางบนโต๊ะ ขนาดเท่าฝ่ามือทารก รูปร่างคล้ายดอกไม้ สีสันสดใส เบ่งบานอยู่ในจานหยกสีขาว ดูประณีตงดงามน่าดึงดูด
ซูเซียงหรูเอ่ยด้วยความประหลาดใจ “นี่ของคือของว่างอะไรหรือ? ไม่เคยพบเคยเห็น”
ข้ารับใช้ที่นำอาหารมาถวายยังไม่ทันตอบ ทูตจากแคว้นเฉินรีบลุกขึ้นกล่าวว่า “สิ่งนี้ก็คือสุ่ยจิงหลีเกา ใช้ผลหลีเย็นแช่น้ำแข็ง จิ้มกินกับผลไม้กวนสูตรลับ รสชาติหวานสดชื่น เป็นอาหารพิเศษประจำแคว้นเฉินของเรา แล้วก็เป็นของว่างที่ฮ่องเต้แคว้นเราจะต้องกินในงานเลี้ยงฉลองคืนส่งท้ายปีเก่าทุกปี”
ฮั่วเสี่ยวหมานหัวเราะหยัน “เหตุใดเดี๋ยวนี้แคว้นเฉินจึงแร้นแค้นถึงเพียงนี้? แม้แต่อาหารบนโต๊ะของฮ่องเต้ก็ยังนำมาเป็นเครื่องราชบรรณาการ!”
ทูตจากแคว้นเฉินไม่รู้จักฮั่วเสี่ยวหมาน แต่เห็นที่นั่งของนางอยู่เหนือเหล่าขุนนาง ซึ่งเป็นที่นั่งของสมาชิกราชวงศ์ติ้งอันสูงเกียรติ อีกทั้งยังเยาว์วัยเช่นนี้ ก็คงจะมีแต่ภรรยาของหลางฉ่างหรือฮ่องเต้เหรินเต๋อ ผู้ที่ฮ่องเต้หญิงทรงแต่งตั้งตำแหน่งให้ย้อนหลัง
“ฮั่วฮองเฮาโปรดระงับโทสะ ของว่างจานนี้อาจดูธรรมดา แต่กลับมีชื่ออันเป็นมงคลยิ่งนัก” เขารีบอธิบาย โดยชี้ไปที่ผลไม้กวนสีส้มอมเหลือง แล้วกล่าวว่า “ผลไม้กวนนี้มีนามว่า ‘ลมฝนสมบูรณ์’ ของว่างจานนี้มีชื่อว่า ‘บ้านเมืองสงบสุข’ เป็นของขวัญที่ฮ่องเต้เราใช้สำหรับอวยพรงานแต่งเชื่อมสัมพันธ์แคว้นเฉิงและแคว้นติ้ง”
ความหมายแฝงเช่นนี้ ยังมีผู้ใดกล้าบอกว่าเครื่องราชบรรณาการชิ้นนี้ไม่คู่ควรอีก?
ฮั่วเสี่ยวหมานแค่นเสียงอย่างดูแคลน ก้มหน้าดื่มสุรา ไม่พูดอะไรอีก
ตงฟางเจ๋อปรบมือหัวเราะเสียงดัง “ชื่อมงคลดังคาด เด็กๆ มอบสุรา”
“ขอบพระทัยฮ่องเต้แคว้นเฉิงพ่ะย่ะค่ะ!”
เพราะเป็นเครื่องราชบรรณาการ ไม่นานก็ถูกแบ่งไปยังโต๊ะของเหล่าขุนนางแคว้นเฉิง ห้องเครื่องของฝ่ายแคว้นติ้งเองก็กำลังนำของว่างชนิดเดียวกันมาถวายเช่นกัน แต่ไม่รู้เพราะเหตุใด เครื่องราชบรรณาการของฝั่งนี้มีเพียง ‘บ้านเมืองสงบสุข’ กลับไม่มี ‘ลมฝนสมบูรณ์’
ฮั่วเสี่ยวหมานกล่าวอย่างไม่พอใจ “ดูท่าคำอวยพรของแคว้นเฉินมีไว้สำหรับแคว้นเฉิงเท่านั้น ครั้นมาถึงแคว้นติ้งของเรา ก็กลายเป็นคำสาปแช่งอันเลวร้าย ข้าใคร่ขอถาม หากไม่มี ‘ลมฝนสมบูรณ์’ แล้ว ‘บ้านเมืองสงบสุข’ จะมาจากที่ใดกัน?”
เสียงฮือฮาพลันดังไปทั่ว เหล่าขุนนางแคว้นติ้งมองหน้ากันด้วยความไม่พอใจ ทูตจากแคว้นเฉินตื่นกลัว รีบก้าวออกไปค้อมศีรษะให้ซูหลี “ฮ่องเต้หญิงโปรดระงับโทสะ! กระหม่อมมิได้หมายความเช่นนั้นเด็ดขาด จะต้องมีเรื่องผิดพลาดเกิดขึ้นอย่างแน่นอน…”
ซูหลียกมือเป็นเชิงบอกให้เขาไม่ต้องร้อนรน จากนั้นก็หันไปส่งสายตาให้หวั่นซิน
หวั่นซินรีบสั่งให้คนไปตามคนดูแลห้องเครื่องมาทันที ครั้นสอบถาม ก็พบว่าในกล่องของขวัญที่ส่งไปยังห้องเครื่องฝ่ายแคว้นติ้งไม่มีผลไม้กวนสูตรลับ และตำหนักพิธีการของแคว้นติ้งก็ได้รับสุ่ยจิงหลีเกาเพียงกล่องเดียวเท่านั้น
เสียงวิพากษ์วิจารณ์พลันดังเซ็งแซ่ เหล่าขุนนางแคว้นติ้งเดือดดาลอย่างยิ่ง ต่างหันไปตั้งคำถามทูตจากแคว้นเฉินว่าทำเช่นนี้มีเจตนาใด?
ทูตจากแคว้นเฉินแตกตื่นลนลาน ได้แต่พร่ำบอกว่าเป็นไปไม่ได้
ซูหลีสั่งคนให้นำใบรายการของขวัญมา หลังอ่านจบ ก็ไม่พูดอะไร เพียงส่งให้ตงฟางเจ๋ออ่านต่อ
———————————–