ภาคใต้ฟ้ากว้างใหญ่ บทที่ 3 แต่งตั้งสนมหรือแต่งตั้งสวามี (3)

กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ

ตงฟางเจ๋อรับไปอ่านด้วยสีหน้าประหลาดใจ ไม่นานสายตาก็พลันขรึมลงหลายส่วน เขาขานเรียก “เสียงเซิ่ง!”

เสียงเซิ่ง เสนาบดีกรมพิธีการสั่นสะท้านไปทั้งตัว รีบก้าวออกมาแล้วรับคำ “พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท”

ตงฟางเจ๋อกล่าวด้วยสีหน้าไม่พอใจ “เหตุใดในรายการของขวัญของแคว้นติ้งจึงบันทึกเอาไว้ว่า ‘ตำหนักอุดรส่งคืน’? เป็นผู้ใดรับเครื่องราชบรรณาการของแคว้นติ้งไป?”

ตั้งแต่เกิดเรื่อง เสียงเซิ่งก็ใคร่ครวญว่าควรตอบเช่นไรดี ยามนี้ครั้นฮ่องเต้แคว้นเฉิงถาม จึงรีบตอบตามความจริง “ทูลฝ่าบาท กระหม่อมเองก็เพิ่งทราบว่าแคว้นเฉินส่งเครื่องราชบรรณาการมาสองชุดหลังจากนับเครื่องราชบรรณาการชุดที่สองเสร็จพ่ะย่ะค่ะ…หลังจากถาม จึงรู้ว่าตำหนักฉงหลี่รับผิดไปหนึ่งชุด…กระหม่อมคาดเดาว่าเป็นเพราะทูตจากแคว้นเฉินเข้าใจผิดว่าตำหนักฉงหลี่ซึ่งอยู่ติดกับตำหนักทางทิศใต้เป็นตำหนักพิธีการของแคว้นติ้ง กอปรกับมิได้บอกชัดเจนว่าจะมอบของขวัญให้แคว้นติ้งด้วย ฉะนั้นจึงทำให้เกิดความเข้าใจผิด…หลังทราบเรื่อง กระหม่อมก็รีบส่งกลับคืนไปที่ตำหนักทางทิศใต้ทันทีพ่ะย่ะค่ะ…”

“อะไรนะ ตำหนักฉงหลี่…ก็เป็นตำหนักพิธีการของแคว้นเฉิงด้วยงั้นหรือ?” ทูตจากแคว้นเฉินตกตะลึง

“ถูกต้องแล้ว! ตำหนักชิ่งอวิ๋นทิศเหนือติดกับพระราชวังเฉิง ทิศใต้ติดกับพระราชวังติ้ง สร้างขึ้นเพื่อจัดงานเลี้ยงหรือกิจกรรมขนาดใหญ่ระดับแคว้น พื้นที่กว้างใหญ่ มีอาคารหลายหลัง โดยมีอาคารสามส่วนที่เรายืนอยู่ในตอนนี้เป็นจุดศูนย์กลาง ตำหนักพิธีการทั้งหมดทางทิศเหนือเรียกรวมกันว่าตำหนักอุดร ล้วนเป็นของแคว้นเฉิง ตำหนักพิธีการฉงหลี่ย่อมรวมอยู่ในนั้นด้วย” ซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยลุกขึ้นอย่างแช่มช้า แล้วตอบด้วยน้ำเสียงดังก้องกังวาน

ทูตจากแคว้นเฉินได้ยินก็หน้าซีด พูดอะไรไม่ออกสักคำ ไม่อยากเชื่อว่าตนเองจะทำผิดพลาดใหญ่หลวงถึงเพียงนี้ กลับส่งของขวัญสองชุดไปให้แคว้นเฉิงทั้งหมด!

ตงฟางเจ๋อขมวดคิ้ว แล้วถามต่อว่า “ในเมื่อส่งคืนแล้ว เหตุใดแคว้นติ้งไม่เคยได้รับผลไม้กวนสูตรลับเล่า?”

เสียงเซิ่งรีบกล่าว “ทูลฝ่าบาท…กระหม่อมเองก็เห็นสุ่ยจิงหลีเกาเพียงกล่องเดียวพ่ะย่ะค่ะ ไม่เห็นผลไม้กวนสูตรลับเลย…”

“เป็นไปไม่ได้!” ทูตจากแคว้นเฉินรีบอธิบาย “กล่องเงินที่บรรจุผลไม้กวนสูตรลับกับกล่องไม้ที่บรรจุสุ่ยจิงหลีเกาถูกส่งไปพร้อมกัน…ตอนนั้นมีคนนำทาง บอกว่าตำหนักฉงหลี่เป็นตำหนักพิธีการของแคว้นติ้ง…กระหม่อมมีความผิดจริงที่ไม่ได้ตรวจสอบให้ดี แต่ครานี้เดินทางมาร่วมอวยพรตามรับสั่งของฮ่องเต้ แม้มีความกล้าล้นฟ้า ก็ไม่มีทางกระทำพฤติกรรมเลือกที่รักมักที่ชังเช่นนี้แน่นอนพ่ะย่ะค่ะ…ขอทั้งสองพระองค์โปรดทรงพิจารณาอย่างปราดเปรื่องด้วยพ่ะย่ะค่ะ!”

ทุกคนพยักหน้าอย่างเห็นด้วย แคว้นเฉินเป็นแคว้นเล็ก ฮ่องเต้แห่งแคว้นเฉินเป็นคนรอบคอบ วางตัวเหมาะสม ถึงแม้เป็นแคว้นเล็กๆ ที่ตั้งอยู่อย่างโดดเดี่ยว แต่กลับอ้างตนเป็นผู้อยู่ใต้อาณัติและส่งเครื่องราชบรรณาการมาทุกปี อาศัยบารมีของแคว้นใหญ่อยู่รอดมาจนถึงปัจจุบัน แล้วจะกล้าหมิ่นเกียรติแคว้นติ้งในงานเฉลิมฉลองงานแต่งเชื่อมสัมพันธ์ระหว่างสองแคว้น ทุบหม้อข้าวตนเองเพื่ออะไรกัน?

ซูหลีถาม “คนนำทางคนนั้น ท่านทูตยังจำได้หรือไม่?”

ทูตจากแคว้นเฉินกล่าวด้วยความรู้สึกผิด “คนผู้นั้นสวมชุดเครื่องแบบขุนนางสีดำ หน้าตาธรรมดา ไม่มีจุดเด่นใดเลยพ่ะย่ะค่ะ”

ชุดเครื่องแบบขุนนางสีดำเป็นชุดของขุนนางฝ่ายแคว้นเฉิง ใบหน้าของซูหลียังคงราบเรียบ นางหันไปมองตงฟางเจ๋อเงียบๆ เห็นเพียงใบหน้าด้านข้างของอีกฝ่ายเรียบนิ่งคาดเดาอารมณ์ไม่ถูก

ตงฟางเจ๋อกวาดมองเบื้องล่างด้วยสายตาเคร่งขรึม แรงกดดันที่มองไม่เห็นทำให้เสียงเซิ่งตัวสั่นเล็กน้อย เขารีบคุกเข่าแล้วกล่าวว่า “กระหม่อมไม่ทราบเรื่องนี้ ฝ่าบาทโปรดระงับโทสะ! อีกประเดี๋ยวกระหม่อมจะกลับไปตามหาคนนำทางที่สะเพร่า จนทำให้ท่านทูตจากแคว้นเฉินเข้าใจผิดให้จงได้พ่ะย่ะค่ะ…”

“สะเพร่างั้นหรือ? พูดจาเสียน่าฟังเชียว!” เสิ่นเจี้ยนอันหัวเราะเบาๆ เห็นได้ชัดว่าไม่พอใจกับคำกล่าวอ้างนี้ เขาแสยะยิ้มเย็นชา กล่าวว่า “ตอนแรกก็ชี้นำให้ท่านทูตจากแคว้นเฉินเข้าใจผิดว่าตำหนักฉงหลี่เป็นตำหนักพิธีการของแคว้นติ้งเรา จากนั้นก็แสร้งทำเป็นรับของขวัญผิดพลาด สุดท้ายก็รีบคืนกล่องไม้ก่อนงานเลี้ยงจะเริ่ม แล้วลักลอบยึดกล่องเงินเอาไว้…แผนการแยบคายถึงเพียงนี้ ยังกล้าบอกว่าเป็นเรื่องบังเอิญอีกหรือ?”

“ท่าน ท่านหมายความว่าเช่นไรกัน?” เสียงเซิ่งที่เดิมก็ลนลานอยู่แล้ว ครั้นได้ยินคำกล่าวหาเช่นนี้ ก็พลันเบิกตาด้วยความตกใจระคนโกรธเกรี้ยว!

เสิ่นเจี้ยนอันเอ่ยเสียงเย็นชา “ผู้ที่ต้องการให้แคว้นติ้งของเราประสบกับเหตุการณ์ฟ้าฝนไม่สมบูรณ์ มิใช่แคว้นเฉิน แต่เป็นผู้อื่นมากกว่ากระมัง!”

“ท่าน…ท่านคิดว่าข้าตั้งใจงั้นหรือ?” ครั้นถูกกล่าวหาด้วยโทษอันใหญ่หลวง เสียงเซิ่งก็เดือดดาลสุดแสน ถึงขั้นลืมมารยาทยามอยู่ต่อหน้ากษัตริย์ ก้าวออกมาตั้งคำถามเสียงเกรี้ยว

เสิ่นเจี้ยนอันมองเขาอย่างสุขุมเยือกเย็น “หรือจะบอกว่าข้าให้ร้ายท่าน? ท่านกล้าพูดหรือไม่ว่าท่านไม่อยากให้แคว้นติ้งของเราเกิดความวุ่นวาย และฉวยโอกาสยึดรวม?”

เสียงเซิ่งได้ยินเช่นนั้นก็ตกตะลึง รีบหันไปมองซูหลีโดยสัญชาตญาณ แล้วปฏิเสธอย่างเด็ดเดี่ยว “แม่ทัพเสิ่น! ท่านอย่าพูดจาส่งเดช! ข้าไม่เคยเอ่ยวาจาเช่นนั้น!”

“งั้นหรือ?” สายตาของเสิ่นเจี้ยนอันคมปลาบดุจมีด ค่อยๆ ลุกขึ้นยืน จ้องหน้าเขาแล้วกล่าวว่า “ยามพลบค่ำของเมื่อวานที่นอกเมือง น้องชายภรรยาของท่านเอ่ยวาจาประโยคหนึ่ง ข้าได้ยินมากับหู!”

เสียงเซิ่งพลันสะดุ้ง เขาฝืนยิ้มเจื่อน แล้วกล่าวว่า “ที่แท้ท่านแม่ทัพก็ไม่พอใจเรื่องนั้นเองหรือ นั่นเป็นเพียงวาจาไร้สาระของเด็กหนุ่มสองคนที่ไม่รู้เรื่องรู้ราว ท่านแม่ทัพจะเก็บมาใส่ใจไปไยเล่า? ซ้ำยังเอาเรื่องนี้มากล่าวหาข้า ช่างไม่ยุติธรรม…”

“วาจาไร้สาระงั้นหรือ!” เขายังพูดไม่ทันจบประโยค เสิ่นเจี้ยนอันก็ตัดบทเขาด้วยเสียงหัวเราะเย็นชา ก่อนจะหันไปกล่าวกับซูหลี “ทูลฮ่องเต้หญิง เมื่อวานที่นอกเมือง เซียวต้าไน่น้องชายภรรยาของใต้เท้าเสียง มีปากเสียงกับรองแม่ทัพสวี่เรื่องที่ดินผืนหนึ่งซึ่งอยู่ระหว่างจุดเชื่อมต่อของสองเมืองหลวง เซียวต้าไน่กล่าววาจากำเริบเสิบสาน บอกว่าแคว้นติ้งเราจะต้องกลายเป็นของแคว้นเฉิงในอีกไม่นานอย่างแน่นอน!”

“อะไรนะ? เรื่องจริงงั้นหรือ?” เหล่าขุนนางแคว้นติ้งได้ยินก็หน้าเปลี่ยนสี ต่างพากันลุกขึ้นยืน แล้วกล่าวด้วยความเดือดดาล “แอบยึดของขวัญบรรณาการแล้วทำให้แคว้นติ้งเราขายหน้า ก็ถือว่าทำเกินไปแล้ว นึกไม่ถึงว่าจะถึงขั้นกล้าหมิ่นเกียรติของฮ่องเต้เรา หมายตาบ้านเมืองเรา? มีอย่างที่ไหนกัน!”

ครั้นวาจานี้หลุดออกไป ผู้คนแตกฮือด้วยความโกรธ เหตุการณ์วุ่นวายยากจะสงบ ความผิดถูกบ่งชี้ไปที่แคว้นเฉิง

อัครเสนาบดีลู่เจี่ยนไป๋มองหน้าซูหลีเล็กน้อย ก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงขรึมและแช่มช้า “เรื่องนี้กระหม่อมเองก็เคยได้ยินมาเช่นกันพ่ะย่ะค่ะ แต่ได้ยินมาว่าคนผู้นี้เป็นเพียงพ่อค้าเล็กๆ หากไม่มีมูล เกรงว่าคงไม่กล้าพูดออกมาส่งเดช”

ซูหลีขมวดคิ้วเล็กน้อย นางหันไปมองตงฟางเจ๋อ ทว่าไม่ได้พูดอะไร

สายตาของตงฟางเจ๋อแปรเปลี่ยนเป็นคมปลาบ หันไปจ้องเสียงเซิ่ง แล้วกล่าวเสียงแช่มช้า “มีเรื่องเช่นนี้จริงหรือ?”

คำถามนี้ทำเอาเสียงเซิ่งเข่าอ่อน เขารีบคุกเข่าร้องขอความเมตตา แตกตื่นลนลานจนแก้ตัวไม่ออกสักคำ

เหลียงสือชูก้าวออกมา แล้วกล่าวว่า “ฝ่าบาทโปรดระงับโทสะ วาจานี้กำเริบเสิบสานมากเกินไปจริงๆ ทว่า…นับแต่โบราณสตรีแต่งออกเรือนไปอยู่กับสามี ฮ่องเต้หญิงทรงอภิเษกสมรสกับฝ่าบาท หากข้างนอกจะมีคำข่าวลือซุบซิบบ้างก็ถือเป็นเรื่องปกติพ่ะย่ะค่ะ”

ซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยก้าวออกจากที่นั่งทันที นางคัดค้านเสียงเข้ม “ผู้บัญชาการทหารเหลียงพูดเช่นนั้นก็ไม่ถูก สตรีแต่งออกเรือนไปอยู่กับสามีนั้นเป็นธรรมเนียมของคนทั่วไป ระหว่างฮ่องเต้หญิงกับฮ่องเต้แคว้นเฉิงนั้นเป็นการแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ ฐานะเท่าเทียม จะนำไปเปรียบเทียบกันได้เช่นไร?”

เหลียงสือชูขมวดคิ้วกล่าวว่า “ข้าย่อมเข้าใจ แต่ชาวบ้านกลับไม่ได้เข้าใจเหตุผลนี้ ฉะนั้นหากจะเกิดความเข้าใจผิดกันก็เป็นเรื่องธรรมดา ยิ่งไปกว่านั้น ฝ่าบาททั้งสองพระองค์ร่วมปกครองแผ่นดินร่วมกัน ใกล้ชิดดุจครอบครัวเดียวกัน ต่อไปจะเป็นเช่นไร ผู้ใดเล่าจะรู้? พวกเราเป็นขุนนางมีหน้าที่เพียงทำตามพระบัญชา ไม่มีความจำเป็นต้องแตกคอกันเพราะเรื่องนี้ และแบ่งพรรคแบ่งพวกกันเช่นนี้!”

เสิ่นเจี้ยนอันเอ่ยด้วยสีหน้าไม่พอใจ “ฟังจากความหมายของผู้บัญชาการทหารเหลียง หมายความสองแคว้นควบรวมเป็นเรื่องที่ต้องเกิดขึ้นในสักวัน?”

เหลียงสือชูกล่าว “ข้าไม่ได้หมายความเช่นนั้น ข้าเพียงบอกว่าควรฟังรับสั่งของฝ่าบาท การทำตามพระประสงค์ของฮ่องเต้ทั้งสองพระองค์จึงจะเป็นหน้าที่อันพึงกระทำของขุนนางอย่างเรา”

เสิ่นเจี้ยนอันแค่นยิ้ม “เช่นนั้นก็หมายความว่า ที่เซียวต้าไน่เอ่ยวาจากำเริบเสิบสานเช่นนี้ เพราะฮ่องเต้แคว้นเฉิงมีพระประสงค์เช่นนี้แต่แรกแล้วงั้นหรือ?”

เซิ่งเสียงหน้าซีดเผือด รีบคัดค้านทันที “ท่านอย่าพูดจาให้ร้ายผู้อื่นส่งเดชนะ! หากฮ่องเต้เราคิดจะยึดครองแคว้นติ้งจริง จะปล่อยโอกาสดีๆ เช่นเมื่อสามปีก่อนไปทำไมกัน? ซ้ำยังนำทัพไปช่วยแคว้นติ้งรบกับชนเผ่าหมาป่า ช่วยพวกท่านให้ฟื้นฟูบ้านเมืองกลับมาได้อีกครั้ง มนุษย์เราไม่ควรลืมบุญคุณ ไม่รู้จักผิดชอบชั่วดี!”

“ลืมบุญคุณคน ไม่รู้ผิดชอบชั่วดี…” ราวกับได้ยินวาจาน่าขบขัน ฮั่วเสี่ยวหมานวางถ้วยสุราลง แหงนหน้าหัวเราะเสียงดังก้อง

เสียงหัวเราะของนางเล็กแหลม พาให้เสียงฮือฮาในตำหนักพลันเงียบกริบทันที

ทุกคนมองนางด้วยความตกตะลึง

ฮั่วเสี่ยวหมานเชิดหน้าเล็กน้อย แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงปวดใจอย่างชัดถ้อยชัดคำ “สามปีก่อน เป็นผู้ใดกันที่ทำให้สวามีข้าต้องตายอย่างน่าอนาถ เป็นเหตุให้ฮ่องเต้พระองค์ก่อนสวรรคต? สร้างสถานการณ์วุ่นวายในแคว้นติ้งเรา จากนั้นก็บีบบังคับให้ฉางเล่อแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ ต่อมาก็ออกตัวในฐานะผู้มีพระคุณนำทัพมาช่วยเหลือยามแคว้นเผชิญหน้ากับวิกฤต หลอกลวงชาวโลก…เรื่องเช่นนี้ก็นับว่าเป็นบุญคุณได้ด้วยหรือ?!”

———————————-