สีหน้าของตงฟางเจ๋อแปรเปลี่ยนเป็นเคร่งเครียด หันมองสตรีข้างกายโดยสัญชาตญาณ ยามนี้สีหน้านางราบเรียบ รอยยิ้มบนกลีบปากบางจางหายไปแล้ว นิ้วมือที่ซ่อนอยู่ใต้แขนเสื้อสั่นเทาเล็กน้อย มีแค่เขาซึ่งอยู่ใกล้นาง ที่มองเห็นได้อย่างชัดเจน
แม้ผ่านมานานแล้ว แต่ทุกครั้งที่หวนนึกถึงเหตุการณ์อันโหดร้ายนั่น หัวใจของเขา ก็ยังราวกับจมดิ่งสู่ก้นเหว
เหลียงสือชูกล่าว “ดูท่าชาวติ้งยังคงฝังใจกับการสวรรคตของฮ่องเต้เหรินเต๋อ และโยนความผิดทุกอย่างให้กับฮ่องเต้แคว้นเฉิง เช่นนั้นข้ากลับสงสัยยิ่งนัก เหตุใดพวกท่านจึงยอมแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์?”
ฮั่วเสี่ยวหมานลุกขึ้นหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง แล้วกล่าวว่า “ทำไมเล่า? ท่านกลัวว่าหากวันใดฮ่องเต้หญิงให้กำเนิดโอรสมังกร จะสังหารตงฟางเจ๋อ และกุมอำนาจไว้ในมือหรือ?”
วาจาประโยคนี้ดุจน้ำเย็นที่ราดเข้าไปในน้ำมันเดือดจัด เหล่าขุนนางแคว้นเฉิงตะลึงพรึงเพริดถ้วนหน้า
ใต้หล้าล้วนรู้ดี ฮ่องเต้แคว้นเฉิงรักมั่นต่อฮ่องเต้แคว้นติ้ง เขาทิ้งวังหลังให้ร้างเปล่าเพื่อนางมาหลายปี ไม่ยอมรับสนมเพิ่ม เสี่ยงชีวิตจนได้รับพิษเย็นก็เพื่อนางเช่นกัน…ชาวโลกต่างกล่าวว่าเขาเจ้าแผนการ มีความสามารถรอบด้าน แต่เพื่อซูหลีแล้ว เขากลับยอมเสี่ยงชีวิตครั้งแล้วครั้งเล่า
หากผู้อื่นต้องการชีวิตเขาเกรงว่าคงจะเป็นไปได้ยาก แต่หากเป็นฮ่องเต้หญิงแห่งแคว้นติ้ง…ไม่อาจคาดเดาว่าจะเกิดอะไรขึ้น
แม้มีความเป็นไปได้เพียงหนึ่งในหมื่น แต่นั่นก็มากพอที่จะทำให้ผู้คนอกสั่นขวัญหายแล้ว สายตาที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัวและสงสัย ต่างทอดมองขึ้นมาเบื้องบน ราวกับฮ่องเต้หญิงที่น่าเคารพยำเกรงเมื่อครู่ ได้กลายเป็นศัตรูตัวฉกาจไปแล้วในยามนี้
ซูหลีถอนหายใจหนักหน่วง “พี่สะใภ้ ท่านเมาแล้ว!”
ฮั่วเสี่ยวหมานยกสุราดื่มจนหมดแก้ว หรี่ตากวาดมองทุกคน ท่าทางดูเมามายดังคาด นางพึมพำ “งั้นหรือ? มิน่าเล่าถึงได้เวียนหัวนัก”
ทุกคนมองหน้ากัน
เหลียงสือชูยังคงกล่าวอย่างไม่พอใจ “ฤทธิ์สุราทำให้คนพูดความจริง! ดูท่าฮั่วฮองเฮาเผลอกล่าวความในใจออกมา พวกท่านชาวติ้งไม่เพียงยังคับแค้นใจ แต่ยังคิดหาทางแก้แค้นอีกด้วย!”
“เหลวไหว ให้กำเนิดทายาทกับศัตรู นับเป็นการแก้แค้นด้วยงั้นหรือ?” ฮั่วเสี่ยวหมานหัวเราะเย้ยหยัน ซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยเห็นสีหน้านางไม่ปกติ หัวใจพลันเต้นรัว กลัวว่านางจะเอ่ยวาจาร้ายแรงยิ่งกว่าออกมา จึงรีบเดินเข้าไปห้ามปราม “เสี่ยวหมาน วันนี้เจ้าดื่มมากไปแล้ว ข้าจะพาเจ้ากลับไปพักที่ตำหนักก่อน” เอ่ยจบก็จะพยุงนางเดินออกไป แต่ฮั่วเสี่ยวหมานกลับผลักนางออกอย่างแรง
ซูหลีรีบหันไปส่งสายตาให้หวั่นซิน หวั่นซินหมายจะเดินเข้าไปช่วย นึกไม่ถึงฮั่วเสี่ยวหมานกลับอาละวาดเพราะฤทธิ์สุรา นางพลิกโต๊ะอาหารตรงหน้าจนคว่ำ ภาชนะถ้วยชามต่างๆ บนโต๊ะพุ่งตรงไปทางเหลียงซือชู
เหลียงสือชูนึกไม่ถึงว่านางจะทำเช่นนี้ รีบสะบัดแขนเสื้อขึ้นปัดป้อง และเบี่ยงตัวหลบไปอีกด้าน เขาเป็นนักรบ แม้จะตอบสนองในทันที แต่ชายเสื้อก็ยังถูกคราบน้ำมันกระเด็นติดอยู่ดี ทว่าเสียงเซิ่งที่อยู่ข้างเขากลับโชคร้ายยิ่งกว่า ขุนนางพลเรือนไม่มีวรยุทธ์ เขาหลบไม่ทัน ถูกอาหารและสุราสาดใส่เต็มตัว ร้ายดีอย่างไรก็เป็นถึงเสนาบดีขั้นสอง เวียนว่ายอยู่ในราชสำนักมานานหลายปี เคยตกอยู่ในสภาพน่าอนาถเช่นนี้ที่ไหนกัน? ชั่วขณะหนึ่งทำได้เพียงเดือดดาลจนพูดอะไรไม่ออก
ฮั่วเสี่ยวหมานยืนซวนเซ ปากยังคงกล่าวต่อไป “แก้แค้น? ท่านรู้หรือไม่ว่าอะไรเรียกว่าการแก้แค้นที่แท้จริง? ก็เหมือนกับข้าอย่างไรเล่า ที่ต้องสูญเสียคนรักและลูกในท้องไป อ้างว้างเปล่าเปลี่ยนทุกคืนวัน เจ็บปวดเจียนตาย…สวามีข้าจากไปตั้งแต่ยังหนุ่ม ไม่ว่าผ่านไปนานกี่ปี บนโลกใบนี้ก็จะไม่มีทายาทของเขาหลงเหลืออยู่อีกแล้ว…นี่ต่างหากล่ะคือการแก้แค้นอันเลือดเย็นที่สุด! ท่านเข้าใจหรือไม่?!” ลมหายใจของนางติดขัด ความเคียดแค้นในดวงตาดุจมีดอันคมปลาบ จ้องตรงมายังตงฟางเจ๋อและซูหลี
ซูหลีตัวแข็งทื่อ กำหมัดแน่น แม้จะไม่พอใจอีกแค่ไหน ก็ถูกวาจาระบายความแค้นประโยคนี้เสียดแทงหัวใจจนไม่เหลือคำตำหนิใดอีก
ฮั่วเสี่ยวหมานเชื่อว่าตงฟางเจ๋อคือคนร้ายที่ฆ่าหลางฉ่าง โทษนางที่ไม่แก้แค้นให้หลางฉ่าง แล้วยังแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์กับตงฟางเจ๋ออีก ด้วยเหตุนี้ฮั่วเสี่ยวหมานตำหนิและทำให้นางลำบากใจหลายต่อหลายครั้ง แต่นางก็ไม่เคยถือสาหาความ เพราะเข้าใจในความคับแค้นและความอยุติธรรมที่ฮั่วเสี่ยวหมานได้รับ
ทว่าผ่านไปสามปีแล้ว นางทุ่มเทแรงกายแรงใจจนสามารถฟื้นฟูให้แคว้นติ้งกลับมารุ่งเรืองดังเช่นในอดีต ฮั่วเสี่ยวหมานก็ยังไม่ยอมเข้าใจนาง
เหล่าขุนนางหน้าเปลี่ยนสี ขุนนางแคว้นเฉิงหลายคนลุกขึ้นด้วยความไม่พอใจ หมายจะอาละวาด ตงฟางเจ๋อกลับกล่าวด้วยสีหน้าราบเรียบ “ฮั่วฮองเฮาเมามายแล้วดังคาด!”
“ยังไม่รีบประคองออกไปอีก!” ซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยสูดหายใจแล้วรีบตวาดออกคำสั่ง นางกำนัลแคว้นติ้งหลายคนรีบเข้ามาประคอง กึ่งประคองกึ่งลากฮั่วเสี่ยวหมานที่กิริยาคำพูดไม่สำรวมออกจากงานเลี้ยงไป ซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยหันกลับมามองซูหลีอย่างจนใจ ซูหลีพยักหน้าเล็กน้อย นางจึงรีบตามไปทันที
“ฝ่าบาท!” เรื่องใหญ่ถึงระดับแว่นแคว้น เหล่าขุนนางแคว้นเฉิงจะยอมปล่อยไปง่ายๆ ได้เช่นไร ต่างพากันกล่าวด้วยอารมณ์อันพลุ่งพล่าน “ฮั่วฮองเฮาแสร้งเมาสุราทำตัวเสียกิริยา! ผู้บัญชาการทหารเหลียงเป็นถึงผู้บัญชาการขั้นหนึ่งของแคว้นเรา ใต้เท้าเสียงก็เป็นถึงเสนาบดีขั้นสอง ในงานเลี้ยงใหญ่ระดับแคว้น ทั้งยังต่อหน้าพระพักตร์ กลับถูกคนสาดสุราอาหารใส่เช่นนี้…ถือเป็นการลบหลู่เกียรติของแคว้นเฉิงเราพ่ะย่ะค่ะ!” ขุนนางส่วนใหญ่ต่างลุกจากที่นั่ง แสดงความไม่พอใจต่อพฤติกรรมของฮั่วเสี่ยวหมานอย่างถ้วนหน้า
สายตาของตงฟางเจ๋อเคร่งขรึม เงียบงันไม่พูดอะไร
เหลียงสือชูกล่าวว่า “พวกกระหม่อมถูกหมิ่นเกียรติเล็กน้อยนั้นไม่เป็นไร เพียงแต่…ฮั่วฮองเฮาไม่เห็นฝ่าบาทอยู่ในสายตาเช่นนี้ ซ้ำยังเอ่ยวาจาเลวร้าย สาปแช่งราชวงศ์เฉิงเราให้ไร้ซึ่งทายาท จิตใจโหดเหี้ยมยิ่งนักพ่ะย่ะค่ะ”
“ใช่แล้วพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท!” เสียงเซิ่งสะบัดคราบสุราอาหารบนตัวออกอย่างหมดสภาพ ก้าวออกมาคุกเข่า แล้วกล่าวเสียงดังด้วยความเดือดดาล “ฮั่วฮองเฮาอาศัยอยู่ในวัง น้อยครั้งนักที่จะก้าวออกจากตำหนัก กลับมีจิตใจชั่วร้ายเช่นนี้ ถือเป็นเรื่องน่ากลัวยิ่งพ่ะย่ะค่ะ หากมิใช่ฮั่วฮองเฮาแต่เพียงผู้เดียวที่คิดอย่างนี้ เช่นนั้น…ความปลอดภัยของฝ่าบาทถือเป็นเรื่องน่าเป็นห่วงที่สุดนะพ่ะย่ะค่ะ! ฝ่าบาท…”
เขาเงยหน้ามองซูหลี คล้ายมีความหมายแฝง ส่งผลให้เหล่าขุนนางแคว้นติ้งโกรธขึ้ง เดิมจากเรื่องของขวัญบรรณาการ แคว้นเฉิงเป็นฝ่ายมีความผิดก่อน ต่อมาก็มีเรื่องทะเลาะกันแย่งที่ดินนอกเมือง เปิดโปงความทะเยอทะยานในใจของขุนนางแคว้นเฉิงบางคน เหล่าขุนนางแคว้นติ้งจึงตกตะลึงพรึงเพริด ยามนี้กลับเป็นฝ่ายถูกด่าทออีก…
เหล่าขุนนางแคว้นติ้งทั้งตกใจทั้งขึ้งเคียด ก้าวออกมาด้วยความเดือดดาล กล่าวตำหนิเสียงเกรี้ยว “ช่างน่าขำยิ่งนัก ปีนั้นองค์รัชทายาทแคว้นเราตายด้วยน้ำมือฮ่องเต้แคว้นเฉิงนั้นเป็นเรื่องจริง การแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์พวกท่านก็เป็นฝ่ายเสนอก่อน ยามนี้งานอภิเษกสมรสผ่านไปแล้ว หญิงงามอยู่ในอ้อมแขน แล้วยังหมายจะฮุบบ้านเมืองเราไปอีก…จิตใจทะเยอทะยานมักมาก ได้คืบจะเอาศอกถึงเพียงนี้ ยามนี้กลับหันมาตำหนิว่าแคว้นติ้งเรามีเจตนาร้าย มีอย่างที่ไหนกัน!”
“ท่านว่าใครทะเยอทะยาน?! เห็นชัดว่าเป็นพวกท่านที่แสร้งตกลงแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ และรอโอกาสแก้แค้น! ฝ่าบาท!” ขุนนางแคว้นเฉิงผู้หนึ่งพลันหันมาหาตงฟางเจ๋อ คุกเข่าโขกศีรษะ แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงเจ็บปวด “ชาวติ้งฝังใจเรื่องการสิ้นพระชนม์ขององค์รัชทายาทหลาง แค้นใจในตัวพระองค์ ทำให้พวกกระหม่อมยากจะวางใจ! เพื่อความรุ่งเรืองร้อยปีของแคว้นเฉิงเรา กระหม่อมขอบังอาจขอร้องให้ฝ่าบาทแต่งตั้งฮองเฮาพระองค์ใหม่ และรับสนมเพิ่ม เพื่อปลอบขวัญปวงชนพ่ะย่ะค่ะ!”
ที่แท้ก็เพื่อเรื่องนี้เอง ซูหลีหลุบตา ซ่อนแววเย้ยหยันในดวงตา
ตงฟางเจ๋อมองเหล่าขุนนางที่คุกเข่าอยู่เบื้องล่างเงียบๆ ยังคงไม่ยอมเอ่ยวาจาใด
ขุนนางอาวุโสของแคว้นติ้งผู้หนึ่งกล่าวด้วยน้ำเสียงเกรี้ยวโกรธ “เป็นพวกท่านต่างหากที่คิดฉวยโอกาส ตอนแรกก็สู่ขอฮ่องเต้หญิงของเราก่อน จากนั้นก็หมายจะยึดครองแคว้นติ้งเรา ยามนี้กลับย้อนมาตำหนิพวกเรา!”
เสิ่นเจี้ยนอันเอ่ยเสียงเข้ม “การแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ของทั้งสองพระองค์ สองฝ่ายฐานะเท่าเทียม หากฮ่องเต้ของพวกท่านจะแต่งตั้งสนม เช่นนั้นฮ่องเต้หญิงของพวกเราเองก็ต้องคงต้องรับสวามีเพิ่ม เพื่อคานอำนาจให้สมดุลต่อไปหรือไม่?”
เหลียงสือชูรีบคัดค้านทันที “นับแต่โบราณบุรุษมีหลายเมีย ถือเป็นเรื่องสมเหตุสมผล มีอย่างที่ไหนสตรีหลายผัว!”
เสิ่นเจี้ยนอันแค่นยิ้ม กล่าวว่า “ฮ่องเต้หญิงของเรา หาใช่ผู้ที่สตรีทั่วไปจะเทียบได้ไม่!”
ฮูเอ่อร์ตูพลันลุกขึ้นยืน แล้วเอ่ยเสียงดัง “ฝ่าบาท พระองค์ตั้งใจจะรับสวามีเพิ่มเมื่อใดพ่ะย่ะค่ะ พรุ่งนี้กระหม่อมจะรีบเดินทางกลับ เพื่อทูลข่าวดีให้ฮ่องเต้ของกระหม่อมทราบโดยเร็ว!”
———————————