ภาคใต้ฟ้ากว้างใหญ่ บทที่ 5 รักถึงขั้นสิ้นหวัง (1)

กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ

ทุกคนมองหน้ากัน ทันใดนั้นทุกอย่างพลันเงียบกริบ

ซูหลีหลุดหัวเราะออกมาเล็กน้อย ฮูเอ่อร์ตูผู้นี้เดิมเป็นคนเถรตรงไม่ช่างเจรจา นึกไม่ถึงติดตามหยางเซียวหลายปี กลับรู้จักเลือกสรรคำพูดเพื่อกระตุ้นสถานการณ์ให้คึกคักขึ้นถึงขนาดนี้แล้ว

งานเลี้ยงเฉลิมฉลองระดับแคว้น เหล่าขุนนางโต้เถียงกันไม่ยอมหยุด จากความผิดพลาดเรื่องของขวัญบรรณาการจนถึงการแต่งตั้งสนมและสวามีของฮ่องเต้แคว้นเฉิงและฮ่องเต้แคว้นติ้ง! เขากับนาง เพียงนั่งสังเกตสถานการณ์เงียบๆ รอดูจุดประสงค์ที่แท้จริงของเหล่าขุนนางจากทั้งสองแคว้น

ซูหลีกล่าวด้วยน้ำเสียงเนิบช้า “ข้ารู้ การแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ ย้ายเมืองหลวงมาอยู่ด้วยกัน และเปิดการค้าขายให้เป็นอิสระ ยังมีระบบบางส่วนที่ยังไม่สมบูรณ์แบบ และมีช่องโหว่ ทำให้พวกท่านพบเจออุปสรรคอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง การโต้เถียงเมื่อวานที่พวกท่านกล่าวถึง เดิมเป็นเพียงเรื่องเล็กๆ ที่ดินผืนนั้นอยู่บนชายแดนของสองแคว้น ยังไม่มีการแบ่งแยกที่ชัดเจน ให้กรมพระคลังคลังของสองฝ่ายหารือและแก้ไขก็ได้แล้ว เหตุใดจึงต้องนำมาถกเถียงไม่เลิกรากันต่อหน้าเหล่าขุนนางในงานเฉลิมฉลองเช่นนี้ รังแต่จะทำให้เสียหน้ากันเปล่าๆ”

นางเลือกสรรคำพูด ผ่อนหนักให้เป็นเบา โดยรวบรัดว่าการโต้เถียงเรื่องที่ดินเป็นต้นเหตุของการขัดแย้งทั้งหมด

เสิ่นเจี้ยนอันเอ่ยอย่างไม่เห็นด้วย “กระหม่อมไม่คิดว่านั่นเป็นเรื่องเล็กพ่ะย่ะค่ะ เพราะมันเกี่ยวข้องกับความก้าวหน้าของบ้านเมืองเราในอนาคต…”

ซูหลียกมือปรามเขา แล้วกล่าวว่า “คำพูดไร้น้ำหนักของพ่อค้าธรรมดาคนหนึ่งไม่ควรค่าแก่การกล่าวถึง ฮ่องเต้แคว้นเฉิงเป็นคนเช่นไร ข้ารู้ดีที่สุด! ภายหน้า ข้าไม่อยากได้ยินข่าวลือเช่นนี้อีก ในฐานะประมุขแห่งแคว้น ข้าย่อมรู้ดีว่าควรปกครองแคว้นติ้งเช่นไรต่อไป!” ดวงตาของนางไหวระริก สะท้อนรังสีน่าเกรงขาม เหล่าขุนนางแคว้นติ้งต่างยำเกรง

เสิ่นเจี้ยนอันจำต้องหุบปาก และทำได้เพียงก้มหน้าอย่างสับสน

ดวงตาของตงฟางเจ๋อร้อนรุ่มดั่งคบเพลิง กล่าวเสียงเข้ม “เสียงเซิ่ง! เซียวต้าไน่มีความผิดฐานกล่าววาจากำเริบเสิบสาน เจ้าเองก็มีความผิดฐานปล่อยปละเละเลยผู้ใต้บังคับบัญชา เรื่องของขวัญบรรณาการยิ่งเป็นความสะเพร่าของกรมพิธีการ ในฐานะเสนาบดีกรมพิธีการเจ้ามีโทษที่ไม่อาจละเว้น เดิมทีสมควรถูกลงโทษอย่างหนัก แต่เห็นแก่ที่เจ้าเป็นขุนนางเก่าแก่สามยุคสมัย ข้าจะเมตตา อนุญาตให้เจ้าลาออก แล้วกลับไปใช้ชีวิตบั้นปลายที่บ้านเกิด!”

เสียงเซิ่งโขกศีรษะขอบคุณด้วยร่างกายอันสั่นเทา ก่อนจะค้อมกายเดินออกจากงานเลี้ยงไป

ตงฟางเจ๋อลุกขึ้นยืน สาวเท้าเดินลงจากพระที่นั่งอย่างแช่มช้า กวาดมองเหล่าขุนนางแคว้นเฉิงด้วยสายตาคมปลาบ “เมื่อครู่ท่านหญิงอวิ๋นฮุ่ยกล่าวได้ตรงใจข้าที่สุด การแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ของข้ากับฮ่องเต้แคว้นติ้ง มิใช่การแต่งงานทั่วไป มิอาจยึดหลักแต่งออกเรือนไปอยู่กับสามีได้ และข้าเองก็ไม่เคยมีความคิดจะยึดรวมสองแคว้นเข้าด้วยกัน! ภายหน้าหากมีผู้ใดกล้าวิจารณ์การปกครองแคว้นส่งเดช ทำลายการแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ของสองแคว้นอีก ล้วนมีความผิดฐานก่อกบฏ ข้าจะไม่มีวันเมตตาให้อีกเด็ดขาด!”

เหล่าขุนนางอกสั่นขวัญหาย เหลียงสือชูหมายจะเอ่ยค้าน แต่เพิ่งจะเงยหน้า ก็เผชิญหน้ากับสายตาดุดันของตงฟางเจ๋อ จึงทำได้เพียงก้มหน้ารับคำพร้อมกับขุนนางอื่นๆ “รับด้วยเกล้าพ่ะย่ะค่ะ!”

“ส่วนเรื่องฮั่วฮองเฮา…” ตงฟางเจ๋อหยุดพูดไปครู่หนึ่ง แล้วหันไปมองซูหลี

ซูหลีถอนหายใจเบาๆ แล้วกล่าวว่า “พี่สะใภ้ดื่มสุราจนเมามาย จึงเอ่ยวาจาและประพฤติตนไม่เหมาะสม เพราะนางคิดถึงเสด็จพี่มากเกินไป จึงได้เป็นเช่นนี้ หวังว่าท่านจะเห็นแก่หน้าเสด็จพี่…” ใบหน้านางเรียบเฉย ทว่าสายตากลับสะท้อนแววเศร้าโศก

ตงฟางเจ๋อพลันปวดใจ รับคำเสียงทุ้ม “ได้”

ซูหลีแย้มยิ้มเล็กน้อย นางลุกขึ้นแล้วเดินกรีดกรายไปยืนข้างตงฟางเจ๋อ กวาดมองเหล่าขุนนางแคว้นติ้ง แล้วเอ่ยเสียงขรึมว่า “ตลอดสามปีที่ข้าขึ้นครองราชย์ ข้าคะนึงหาเสด็จพี่ทุกคืนวัน เจ็บปวดจนยากจะทานทน การจากไปของเสด็จพี่ถูกสืบสวนอย่างชัดแจ้งแล้ว ว่าไม่เกี่ยวข้องกับฮ่องเต้แคว้นเฉิง แต่ฮ่องเต้แคว้นเฉิงถูกผู้อื่นหลอกใช้ ข้ามิใช่คนที่ไม่รู้จักแยกแยะผิดชอบชั่วดี ในเมื่อตอนนั้นไม่สืบสาวเอาความ ภายหน้าก็จะไม่มีวันทำเรื่องนี้ให้กลายเป็นเรื่องใหญ่เช่นกัน ยิ่งไม่มีทางคิดแก้แค้นอย่างแน่นอน! การแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์สองแคว้น ก็เพื่อร่วมพัฒนาบ้านเมืองไปด้วยกัน ในฐานะขุนนาง สมควรแบ่งเบาภาระของฮ่องเต้ มิใช่เจตนาสร้างข่าวลือสะเทือนขวัญ เพื่อก่อให้เกิดความขัดแย้ง! เหล่าขุนนางอันเป็นที่รักล้วนเข้าใจแล้วหรือไม่?”

บัดนี้ สองฮ่องเต้ล้วนแสดงเจตจำนงอย่างชัดเจน สีหน้าของเหล่าขุนนางแตกต่างกันไป ทว่าล้วนก้มหน้าต่ำ ลู่เจี่ยนไป๋คุกเข่าค้อมศีรษะเป็นคนแรก “กระหม่อมน้อมรับคำสั่งสอนของฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ”

ซูหลีเอ่ยเสียงราบเรียบ “นับตั้งแต่วันพรุ่งนี้เป็นต้นไป ให้หยุดงานเจ็ดวัน เข้าสู่เทศกาลตรุษจีนแล้ว เหล่าขุนนางอันเป็นที่รักควรอยู่พร้อมหน้ากับครอบครัว ข้าเหนื่อยแล้ว ขอตัวกลับตำหนักไปพักผ่อนก่อน”

เหล่าขุนนางรีบค้อมศีรษะ และกล่าวอย่างพร้อมเพรียง “น้อมส่งเสด็จฮ่องเต้หญิงพ่ะย่ะค่ะ!”

“ข้าไปส่งเจ้าเอง” ตงฟางเจ๋อเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน แขนยาวเอื้อมออกมาโอบเอวนางอย่างเป็นธรรมชาติ

ร่างอรชรชะงักไปเล็กน้อย ซูหลียิ้มบาง “ได้”

เขาประคองนางอย่างใกล้ชิดสนิทสนม เดินออกจากงานเลี้ยงไปอย่างแช่มช้า การโต้เถียงกันอย่างไม่หยุดหย่อนของเหล่าขุนนางในงานเลี้ยง คล้ายไม่ได้ส่งผลกระทบใดๆ ต่อเงาร่างของคู่รักที่กำลังค่อยๆ ห่างออกไปเลยแม้แต่น้อย

ในที่นั่งของฝั่งขุนนางแคว้นเฉิง ซูเซียงหรูที่นั่งสังเกตสถานการณ์อย่างเงียบๆ มาตั้งแต่ต้นพลันคลายคิ้วที่ขมวดเข้าหากันเล็กน้อย หันไปด้านหนึ่งก็เห็นเหลียงสือชูที่กำลังครุ่นคิดอย่างหนักใจ เขากระตุกยิ้มมุมปากเย้ยหยันเล็กน้อย ส่วนเหล่าคณะทูตจากแคว้นต่างๆ มีสีหน้าแตกต่างกันออกไป ล้วนจมอยู่ในห้วงความคิดของตนเอง

ครั้นเดินเลี้ยวเข้าไปในกำแพงวังด้านหนึ่ง ตำหนักชิ่งอวิ๋นที่สว่างไสวไปด้วยแสงไฟก็ถูกทิ้งไว้ข้างหลังอย่างสิ้นเชิง

“ไม่ต้องไปส่งข้าแล้วก็ได้” ซูหลีหันไปหาบุรุษข้างกาย แล้วเอ่ยเสียงเรียบ “เรื่องของขวัญบรรณาการ ไม่ใช่เรื่องบังเอิญแน่นอน ท่านคิดจะจัดการอย่างไร?”

เรือนร่างอรชรเคลื่อนออกจากฝ่ามือใหญ่ รอยยิ้มของตงฟางเจ๋อจางหายไป เขากล่าวด้วยน้ำเสียงทุ้มลึก “ในเมื่อเรื่องเกิดจากตำหนักอุดร ข้าก็จะส่งคนไปตรวจสอบ ภายในเจ็ดวัน ต้องให้คำตอบเจ้าได้แน่นอน”

ซูหลีหลุบตา พยักหน้าแล้วกล่าวว่า “รบกวนแล้ว” เอ่ยจบก็หมุนกายเดินไปทางพระราชวังติ้ง

“ซูซู!”

ตงฟางเจ๋อขานเรียกด้วยน้ำเสียงที่พยายามข่มกลั้นอารมณ์ แฝงไว้ด้วยความเจ็บปวดรวดร้าวอย่างไม่อาจบรรยาย

แพขนตาของซูหลีกระเพื่อมไหวเล็กน้อย นางหยุดก้าวเท้า กลิ่นหอมสะอาดอันคุ้นเคยด้านหลังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ได้ยินเขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ้างว้างเดียวดาย “ยามนี้นอกเหนือจากเรื่องงาน เจ้า…ไม่มีเรื่องใดจะพูดกับข้าอีกแล้วหรือ?”

แต่งงานได้สามเดือน แม้ร่วมอาศัยในตำหนักเดียวกัน แต่กลับพบหน้ากันน้อยมากจนนับครั้งได้ เขาเชื่อว่าหากสามปีก่อน เขาไม่ทุ่มเททำทุกอย่างเพื่อให้ได้แต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ เกรงว่าชาตินี้นางกับเขา คงต้องแยกกันอยู่คนละฟากฟ้า ยากจะพบหน้ากันอีกอย่างแน่นอน

ซูหลีหลับตา หัวใจเต็มไปด้วยความเปล่าเปลี่ยวทั้งดวง

ในอดีตหัวใจตรงกัน รักมั่นไร้ข้อกังขา เคยผูกพันลึกซึ้งไม่ห่างหาย จริงใจซึ่งกันและกัน ในสวนดอกหลีที่งามดั่งแดนสวรรค์ ‘ประกายแสงดุจสายน้ำ’ กระบี่สองเล่มขับขานประสานเสียง ยามนี้ความทรงจำเด่นชัดราวกับเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน แต่กลับเลือนรางดั่งอยู่กันคนละภพ…

นางเงียบงันเนิ่นนาน นานจนเขาคิดว่าจะไม่มีคำตอบใดกลับมาอีกแล้ว

ในที่สุดเขาก็ทนไม่ไหว ก้าวเข้าไปกอดนางเบาๆ แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงแหบพร่า “ในเมื่อเจ้าแยกแยะผิดชอบชั่วดีได้ เหตุใดจึงไม่อาจให้โอกาสข้าอีกสักครั้ง? เรื่องในอดีต ข้า…”

“ตงฟางเจ๋อ!” ซูหลีตัดบทเขาเสียงเบา ค่อยๆ หมุนกายออกจากอ้อมแขนอันอบอุ่น แล้วสบตากับเขาอย่างแช่มช้า ภายใต้ท้องฟ้าอันมืดมิด ประกายดอกไม้ไฟอันสวยสดงดงามเบ่งบาน และดับหายอย่างต่อเนื่อง

ดวงตาดำขาวแยกชัดคู่นั้น ยามนี้กลับไร้ซึ่งความโกรธ ความเจ็บปวด ความเคียดแค้น และความรัก

มีเพียงความสิ้นหวังอันเงียบงันและลึกซึ้ง

หัวใจของตงฟางเจ๋อบีบรัดอย่างรุนแรง ถึงกับพูดอะไรไม่ออกไปชั่วขณะหนึ่ง นิ้วมืออันสั่นเทายกขึ้นลูบใบหน้าอ่อนล้าของนางอย่างไม่รู้ตัว

นัยน์ตาของซูหลีสั่นไหวเล็กน้อย ดุจคลื่นเล็กๆ ที่ก่อตัวบนผิวน้ำ ทว่าพริบตาเดียวก็จางหายไป นางเอ่ยเสียงเนิบช้า “สิ่งที่ท่านจะพูด ข้าล้วนเข้าใจดี”

เรื่องที่เกิดขึ้นในโรงเตี๊ยมหงหลงไม่ใช่ฝีมือเขา การตายของเสด็จพี่ก็ไม่ใช่ความตั้งใจของเขาเช่นกัน กระทั่งสามปีมานี้ ไม่ว่าจะต่อหน้าหรือลับหลัง เขาก็ช่วยเหลือนางทุกทางมาโดยตลอด แต่ว่า…

ซูหลีมองดูใบหน้าหล่อเหลาที่ซูบผอมลงเรื่อยๆ ไม่ต่างกันของเขา หัวใจของนางเจ็บแปลบ นางเงียบไปครู่หนึ่ง กลีบปากบางขยับยิ้มอย่างเศร้ารันทด “บางทีพวกเรา อาจมีวาสนาได้รักกัน แต่ไม่มีวาสนาได้อยู่ด้วยกันจริงๆ กระมัง…”

สายตาของตงฟางเจ๋อแปรเปลี่ยนเป็นเจ็บปวด มือใหญ่ร่วงหล่นอย่างอ่อนแรงในที่สุด หลางฉ่างตายด้วยน้ำมือเขา ปีนั้นแม้ต้องทนต่อแรงกดดันมากมายมหาศาลแค่ไหน นางก็ไม่เคยกล่าวโทษเขาแม้แต่น้อย เคยคิดว่าหากใช้เวลาสามปี อาจมากพอที่จะทำให้นางเจ็บปวดน้อยลง และเดินออกมาจากเงามืดได้ แต่เขาไม่เคยคิดเลย ว่าจนถึงตอนนี้ นางกลับไร้ชีวิตชีวามากขึ้นทุกวัน ราวกับตุ๊กตาอันงดงามประณีตตัวหนึ่งที่ไร้วิญญาณ และสูญเสียซึ่งความสามารถในการตอบสนองต่อทุกความรู้สึก

เหตุการณ์ระเบิดในครั้งนั้น ไม่เพียงทำให้นางสูญเสียครอบครัวไปตลอดกาล แต่ได้ทำลายความหวังที่จะมีอนาคตร่วมกันอย่างมีความสุขของนางกับเขาไปด้วย

แสงจันทร์กระจ่างใส สาดส่องจนเกิดเป็นเงาสองเส้นบนพื้น ที่ดูเหมือนจะอยู่เคียงข้างกันไปตลอดกาล จวบจนฟ้าดินสลาย

ผ่านไปครู่หนึ่ง เงาร่างอรชรค่อยๆ ถอยห่าง หมุนกายเดินจากไป ก้าวขึ้นไปบนบันไดทีละขั้นๆ

ภายใต้แสงไฟไหวกระเพื่อม ชายอาภรณ์มังกรอันงดงามตระการตาลากผ่านขั้นบันไดไปอย่างหนักหน่วง ดุจพันธนาการอันงดงาม กักขังดวงวิญญาณที่เคยเป็นอิสระ และความรักอันเร่าร้อนในอดีตของนาง

ตงฟางเจ๋อยืนอยู่ที่เดิม มองดูเงาร่างที่ห่างไกลออกไปของซูหลี เนิ่นนานก็ยังไม่ขยับ สายลมหนาวในเหมันตฤดูพัดพาเอาความหนาวเหน็บที่กรีดลึกลงไปจนถึงกระดูกมาด้วย แต่เขากลับเหมือนไม่รับรู้ แม้เขาวางแผนอย่างชาญฉลาดมาครึ่งชีวิต ทว่ากลับไม่อาจหลีกเลี่ยงโชคชะตาของตนเองได้ นางกับเขาภายนอกดูรักกันดี แต่ลึกๆ ข้างในกลับไม่ใช่ ราวกับได้กลายเป็นคนแปลกหน้าต่อกันและกัน ความปรารถนาที่จะจูงมือกันไปจนแก่เฒ่า ยามนี้กลับกลายเป็นเพียงความหวังอันริบหรี่

—————————–