ภาคใต้ฟ้ากว้างใหญ่ บทที่ 6 รักถึงขั้นสิ้นหวัง (2)

กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ

ระหว่างทางกลับตำหนัก สายลมเย็นเยียบพัดปะทะใบหน้า ความหนาวซึมลึกเข้าไปถึงกระดูก

ซูหลีราวกับคนที่ไร้ความรู้สึก หวั่นซินรีบเอาเสื้อขนหมาป่ากันลมคลุมไหล่นางทันที นี่เป็นของขวัญอวยพรวันแต่งงานที่หยางเซียวส่งมาให้เมื่อสามเดือนก่อน สีแดงเพลิงโดดเด่นสะดุดตา เห็นแวบแรกก็นึกถึงเด็กหนุ่มสดใสร่าเริงคนนั้นทันที ปีนั้นตอนจากแคว้นเปี้ยนมา หยางเซียวยอมปล่อยมือนางไปแล้ว ยามนี้เขากลับส่งฮูเอ่อร์ตูมาอีกครั้ง บางทีอาจกำลังบ่งบอกนาง ว่าหากเพียงทำเพื่อบ้านเมือง ตัวเลือกของนาง ก็ไม่ได้มีแค่ทางเดียว แม้อยู่ห่างกันพันลี้ เขาก็ยังเป็นห่วงนางอยู่เสมอ เพราะถึงอย่างไร ความผูกพันทางสายเลือดของเขาและนางก็เป็นสิ่งที่ไม่อาจตัดขาด

นางถอนหายใจเบาๆ ย้อนนึกไปถึงการโต้เถียงที่ไม่มีใครยอมใครเมื่อครู่ แล้วกล่าวด้วยสายตาเคร่งเครียด “เจ้าไปสืบดูหน่อย ว่าประโยคนั้นของเซียวต้าไน่มาจากปากผู้ใด”

หวั่นซินรีบรับคำทันที จากนั้นก็เอ่ยด้วยวายน้ำเสียงกังวล “ฮั่วฮองเฮาฉวยโอกาสอาละวาดหลังดื่มจนเมามาย ทำให้เหล่าขุนนางแคว้นเฉิงหวาดระแวงพระองค์…เรื่องนี้เกี่ยวโยงถึงความปลอดภัยของฮ่องเต้แคว้นเฉิง และการสืบทอดทายาท เกรงว่าเรื่องนี้คงจะไม่สงบลงง่ายๆ เพคะ”

ซูหลีกล่าวเสียงราบเรียบ “เรื่องของแคว้นเฉิง เขาย่อมมีวิธีจัดการได้เอง ใช่แล้ว วันนี้มีข่าวส่งมาจากเมืองหลวงเก่าหรือไม่ พระวรกายของเสด็จแม่เป็นเช่นไรบ้าง?”

นับตั้งแต่ที่เสด็จพ่อและเสด็จพี่จากไปตามๆ กัน ซั่งกวนฮองเฮา…ซึ่งยามนี้ได้กลายเป็นพระพันปีไปแล้ว ได้ล้มป่วยอย่างต่อเนื่องเนื่องจากความโศกเศร้า ซูหลีไม่ยอมย้ายเมืองหลวงด้วยเหตุนี้ แต่นางกลับเกลี้ยกล่อมให้ซูหลีพิจารณาในภาพรวม สุดท้ายก็อยู่เฝ้าเมืองหลวงเก่า และรักษาตนเองอยู่ที่นั่นเพียงลำพัง ด้วยความอับจนหนทาง ซูหลีจึงทำได้เพียงออกคำสั่งให้หมอหลวงที่รั้งอยู่ในเมืองหลวงเก่าส่งข่าวเรื่องอาการป่วยของนางมาทุกสามวัน มิให้ขาดตกบกพร่อง วันนี้ครบสามวันพอดี

หวั่นซินยิ้มเล็กน้อย แล้วกล่าวว่า “หมอหลวงส่งข่าวมาแล้วเพคะ พระวรกายของพระพันปีดีขึ้นแล้ว พระองค์วางพระทัยได้แล้วเพคะ”

ซูหลีพยักหน้า หัวใจสงบลง กลีบปากขยับยิ้มจางๆ

ครั้นกลับมาถึงตำหนักซีหวา โม่เซียงรีบก้าวเข้ามาปรนนิบัติเปลี่ยนชุดให้นาง ครั้นเห็นซูหลีมีใบหน้าเหนื่อยล้า ก็รีบสั่งให้นางกำนัลน้อยยกน้ำแกงเม็ดบัวที่ยังร้อนๆ อยู่มาถวายโดยเร็ว

ซูหลีลอบทอดถอนใจ ใครเล่าจะคิด ว่าสาวรับใช้ตัวเล็กๆ ในจวนอัครเสนาบดีที่อุทิศตนเพื่อเจ้านายในตอนนั้น กลับกลายเป็นหัวหน้านางกำนัลคนสนิทที่สุดของฮ่องเต้หญิงไปแล้ว ยามออกคำสั่งกับนางกำนัลใต้บังคับบัญชาก็มีท่าทีเหมาะสม

เห็นได้ว่าโชคชะตาของคนเรา มีทั้งร้ายและดี ไม่อาจคาดเดา

หลังกินข้าว และอาบน้ำเสร็จ ความเหนื่อยล้าก็เริ่มจู่โจมเข้ามา ซูหลีเอนกายบนเตียงอันกว้างขวาง แล้วค่อยๆ หลับตาลง

โม่เซียงเป่าเทียนเบาๆ แล้วพาเหล่านางกำนัลเดินออกจากตำหนักไปอย่างเงียบงัน

ในตำหนักมืดมิดและเงียบสงบ ท่ามกลางความเลือนราง ซูหลีราวกับย้อนกลับไปที่โรงเตี๊ยมแห่งนั้นอีกครั้ง คุณชายสวมชุดขาวท่าทางสง่างามอ่อนโยนผู้หนึ่งยืนอยู่บนอาคารชั้นสาม นางพลันตกตะลึง ตะโกนออกไปด้วยเรี่ยวแรงทั้งหมดที่มี ‘เสด็จพี่! เสด็จพี่! รีบลงมาเร็วเข้า!’

เขากลับเหมือนไม่ได้ยิน เพียงหันมายิ้มให้นางอย่างอ่อนโยน แล้วกล่าวเสียงนิ่มนวลว่า ‘ฉางเล่อ เจ้าจะต้องมีความสุขนะ แล้วก็จงจำไว้ให้ดี พี่จะเป็นที่พึ่งให้เจ้าตลอดไป!’

ยังไม่ทันสิ้นประโยค เสียงระเบิดดังสนั่นเลื่อนลั่น เงาร่างสีขาวสายนั้นแหลกเป็นชิ้นๆ และหายลับไปในพริบตา

‘เสด็จพี่!!!’

น้ำตาของนางไหลทะลักออกมาทันที นางวิ่งเข้าไปที่อาคารหลังนั้นอย่างบ้าคลั่ง แต่กลับเหมือนมีอะไรมาตรึงเท้านางไว้ ทำให้ไม่อาจขยับเขยื้อนได้! ควันโขมงแผ่ปกคลุมท้องฟ้าและผืนดิน มืดมิดไปทั่วทิศ นางขัดขืนสุดชีวิต ทว่ากลับไร้เรี่ยวแรง ราวกับถูกก้อนหินขนาดใหญ่กดทับไว้

ฝุ่นควันค่อยๆ จางหายไป ยามนางมองเห็นภาพเบื้องหน้าอย่างชัดเจนอีกครั้ง มองเห็นเพียงสีขาวโพลน หวั่นซินยืนอยู่หน้าเตียง สีหน้าเศร้าโศก ซูหลีถามด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ ‘เสด็จพี่กลับมาหรือยัง? ข้ามีเรื่องจะคุยกับเขา!’

หวั่นซินน้ำตาไหลอาบหน้า ยังไม่ทันเปิดปาก โม่เซียงก็วิ่งเข้ามาแล้วร้องบอกด้วยน้ำเสียงร้อนใจ ‘แย่แล้ว! ฮ่องเต้แคว้นติ้งทรง…ทรง…’

ซูหลีรีบลุกจากเตียง เดินจ้ำออกจากห้องไป ครั้นวิ่งมาถึงหน้าตำหนักบรรทมของเสด็จพ่อด้วยความร้อนใจ กลับได้ยินเสียงหนึ่งดังออกมาจากข้างใน ‘ฝ่าบาทสวรรคตแล้ว!’

เสียงร้องไห้ในห้องพลันดังก้องฟ้า เท้าของซูหลีชะงักหยุดเล็กน้อย ก่อนจะรีบวิ่งโซซัดโซเซเข้ามาในห้อง เห็นเพียงซั่งกวนฮองเฮากอดร่างเสด็จพ่อ หลั่งน้ำตาอย่างเงียบงัน ใบหน้าเต็มไปด้วยความเศร้ารันทด

นางพลันรู้สึกหน้ามืดตาลาย ในที่สุดก็ล้มลงไป จู่ๆ ก็มีคนคว้าตัวนาง แล้วร้องถามด้วยน้ำเสียงเล็กแหลม ‘คืนนั้นเจ้าก็อยู่ในโรงเตี๊ยมหงหลง เหตุใดเจ้าจึงปลอดภัย?! เพราะอะไร?! ตงฟางเจ๋อฆ่าพี่ชายรัชทายาท เหตุใดเจ้าจึงไม่ห้ามเขา! เจ้าไปฆ่าเขาเดี๋ยวนี้! ไปฆ่าเขา! ไปฆ่าเขาเดี๋ยวนี้!!’

เป็นฮั่วเสี่ยวหมาน! เสียงกรีดร้องอย่างเศร้ารันทดนั้น ราวกับเสียงของวิญญาณที่ดังก้องอยู่ในหู ทำอย่างไรก็ไม่หายไป ทำเอานางหายใจไม่ออก เจ็บปวดจนยากจะรับไหว ซูหลีสะดุ้งตื่นทันที นางหอบหายใจอย่างรุนแรง ร่างกายอาบท่วมไปด้วยเหงื่อ

สามปีที่ผ่านมา นับครั้งไม่ถ้วนที่นางจมดิ่งสู่ห้วงความฝันและความทรงจำเช่นนี้อย่างไม่อาจหลุดพ้น เนิ่นนาน ซูหลีที่หายง่วงเป็นปลิดทิ้งค่อยๆ ลุกขึ้นนั่ง นางกอดตัวเองเบาๆ มุดหน้ากับเข่าอย่างคนไร้ที่พึ่ง ความอ่อนแอและสิ้นหวังที่อยู่ลึกๆ ข้างในลุกลามและกัดกินนางอย่างเงียบงัน

ตำหนักบรรทมของฮ่องเต้แคว้นเฉิงที่อยู่ห่างกันเพียงหนึ่งบานประตูกั้น ยามนี้ยังสว่างไสวไปด้วยแสงไฟ

ฎีกาม้วนสุดท้ายถูกเปิดออก พู่กันในมือตงฟางเจ๋อตวัดอย่างต่อเนื่อง ครู่เดียวก็แก้ไขฎีกาจนเสร็จ จากนั้นก็วางลงบนกองฎีกาที่มีเหมือนภูเขาขนาดย่อมด้านข้างอย่างเบามือ

ในตำหนักบรรทมเงียบสงบมาก มีเพียงเสียงสะเก็ดไฟแตกตัวเป็นครั้งคราว

“เซิ่งฉิน” ตงฟางเจ๋อครุ่นคิดเนิ่นนาน ก่อนจะขานเรียก

เซิ่งฉินที่ยืนเฝ้าอยู่ข้างนอกรีบเดินเข้ามา

ตงฟางเจ๋อกล่าวเสียงขรึม “ส่งข่าวไปถึงเซ่อเจิ้งอ๋อง บอกเขาว่าให้สะสางงานทั้งหมดให้เรียบร้อย แล้วรีบมุ่งหน้ามายังเมืองหลวงใหม่โดยเร็ว”

“พ่ะย่ะค่ะ”

ใบหน้าของตงฟางเจ๋อเย็นชา เขาเอ่ยต่ออีกว่า “ถ่ายทอดคำสั่งไปยังหยวนเซี่ยง ให้รีบกลับมารายงานสถานการณ์โดยด่วน!”

หลังจากถ่ายทอดคำสั่งออกไปพร้อมกันสองเรื่อง ตงฟางเจ๋อจึงค่อยลุกขึ้นยืนอย่างแช่มช้า โจวหลี่หัวหน้าขันทีรีบเดินเข้ามาปรนนิบัติเปลี่ยนชุดเข้านอนให้เขาอย่างระมัดระวัง

เมืองหลวงเพิ่งถูกย้ายมาไม่นาน จึงมีเรื่องให้สะสางมากมาย หลายวันมานี้มีราชกิจติดพัน ต้องอ่านฎีกาจนดึกดื่นทุกวัน แต่ยามเขาเอนกายลงบนเตียงมังกร กลับไม่รู้สึกง่วงเลยแม้แต่น้อย

ในตำหนักบรรทมของฮ่องเต้ทั้งสองพระองค์ บานประตูที่กั้นขวางปิดสนิท ไม่เคยเปิดออกเลยสักครั้ง เขาทุ่มเททุกอย่าง ทำทุกวิถีทาง เพียงเพื่อจะเก็บนางไว้ข้างกาย ยามนี้กลับไม่เป็นไปอย่างใจหวัง รสชาติอันขมฝาดยากจะบรรยายแผ่ลามในใจ เรื่องราวในอดีตผุดขึ้นมาในสมองอย่างไม่อาจควบคุม

สามปีก่อน หลางฉ่างกับฮ่องเต้แคว้นติ้งจากโลกนี้ไปในเวลาไล่เลี่ยกัน ไม่นานหลังจากนั้นแคว้นติ้งถูกชนเผ่าหมาป่ารุกราน ตกอยู่ในวิกฤตซ้ำแล้วซ้ำเล่า เขานำทัพด้วยตนเอง และเอาพิรุณโปรยปรายไปช่วยเหลือ โดยมีเงื่อนไขเพียงข้อเดียว คือต้องกำหนดการหมั้นหมายกับองค์หญิงฉางเล่อ

วันนั้น เหล่าขุนนางที่เดิมทีเกลียดชังเขา ต่างพร้อมใจกันนำสาสน์สู่ขอมาคุกเข่าต่อหน้าซูหลีกันอย่างพร้อมเพรียง ขอร้องให้นางยอมรับเงื่อนไขเพื่อเห็นแก่บ้านเมือง จนถึงวันนี้ เขายังจำสายตาที่เหมือนไม่อยากเชื่อของนางได้อย่างชัดเจน

นางกำสาสน์ฉบับนั้นไว้แน่น แล้วเดินมาหาเขาทีละก้าวๆ กล่าวด้วยน้ำเสียงเจ็บปวดว่า ‘ท่าน…ต้องบีบบังคับข้าเช่นนี้จริงหรือ? การตายของเสด็จพี่ ข้า…ไม่โทษท่าน แต่เรื่องมาถึงขั้นนี้ ท่าน ท่านจะให้ข้าเผชิญหน้ากับท่านอย่างไร?’

‘ข้าจะรอ รอจนถึงวันที่เจ้าสามารถเผชิญหน้ากับข้าได้!’ แววเจ็บปวดพาดผ่านดวงตาของเขา เขากล่าวเสียงแช่มช้า ‘ซูซู ข้ารู้ว่าเจ้าจะสานต่อปณิธานของเสด็จพ่อและเสด็จพี่ของเจ้า การแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์จะสามารถปลอบขวัญผู้คนให้มั่นคงได้อย่างรวดเร็ว มีแต่ผลดีไม่มีผลเสีย เป็นทางเลือกที่ดีที่สุดในตอนนี้แล้ว!’

ขอบตาของนางพลันรื้นใส ความเจ็บปวดพรั่งพรูอย่างไม่อาจควบคุม ‘ท่านรู้ทั้งรู้ว่าถึงแม้ข้าจะตอบรับการแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ แต่ก็มิอาจเป็นดั่งคู่สามีภรรยาทั่วไปกับท่านได้!’

เขากล่าวอย่างไม่ลังเล ‘ข้ารู้’

หัวใจของนางเจ็บปวด กัดฟันกล่าวว่า ‘หลังจากกำราบชนเผ่าหมาป่าได้ ข้าจะไว้ทุกข์ให้เสด็จพ่อกับกับเสด็จพี่สามปี’

เขาตอบยังไม่ลังเล ‘ได้!’

ในที่สุดน้ำใสๆ ก็หลั่งรินออกจากดวงตางาม ซูหลีหลับตาแน่น กล่าวเสียงสะอื้น ‘ในเมื่อท่านยืนยันเช่นนี้…ก็ได้ ข้ารับปากท่าน แต่ข้าจะไม่แต่งไปอยู่แคว้นเฉิง’

หยาดน้ำตาที่ไหลรินไม่ขาดสาย ราวกับหยดลงบนหัวใจเขา เจ็บแปลบจนไม่อาจบรรยาย เขาก้าวเท้าไปข้างหน้า เช็ดน้ำตาให้นางเบาๆ แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงแหบพร่า ‘เข้าใจแล้ว’

ด้วยเหตุนั้นเอง ในที่สุดนางก็ประทับตราหยกลงบนสาสน์สู่ขอ จากนั้นก็นำกองทัพติ้งมุ่งหน้าไปยังสนามรบ ทำสงครามอยู่หนึ่งเดือน นำทัพบุกตะลุยโจมตีข้าศึกด้วยตนเอง สุดท้ายก็บั่นคอหัวหน้าทัพศัตรูด้วยมือตนเอง!

นั่นเป็นครั้งแรกที่เขาเห็นนางบ้าคลั่งถึงเพียงนั้น นางใช้เลือดของศัตรูเซ่นไหว้เหล่าทหารและชาวบ้านบริสุทธิ์ที่ตายในสงคราม

แล้วนั่นก็เป็นครั้งสุดท้าย ที่เขาเห็นนางแสดงอารมณ์ที่แท้จริงออกมาอย่างไม่ปิดบัง

สามปีนับจากนั้น สองฝ่ายอยู่ห่างกันคนละฟากฟ้า ไม่เคยพบกันอีก

สามปีนับจากนั้น เขาทุ่มเทแรงกายแรงใจ เพื่อสัญญาที่ตกลงกันไว้ในวันนั้น และเพื่ออนาคตของบ้านเมือง จึงเลือกที่ตั้งเมืองหลวงแห่งใหม่ ทำการก่อสร้างครั้งยิ่งใหญ่ ในที่สุดก็สร้าง ‘เมืองซวงตู’ อันเป็นที่กล่าวขานของชาวโลกแห่งนี้จนเสร็จ

กระทั่งวันอภิเษกสมรสเมื่อสามเดือนก่อน สตรีสวมชุดมงคลสีแดงเดินมาหาเขาอีกครั้ง ทุกการกระทำและคำพูดล้วนเต็มไปด้วยราศีของประมุขแห่งแคว้น สมบูรณ์แบบจนไร้ที่ติ แต่ทว่ากลับยิ่งปิดกั้นและเงียบงันยิ่งกว่าเดิม ดวงตาที่เคยแจ่มใสและสุกสกาวในอดีต ยามนี้ลึกล้ำดั่งมหาสมุทร ยากจะทำให้เกิดคลื่นอารมณ์

คนรักของเขา เข้าใจเขา และให้อภัยเขา แต่ไม่เคยให้อภัยตัวนางเอง

ท่ามกลางค่ำคืนอันมืดมิด บุรุษที่เอนกายนอนบนเตียงมังกรเต็มไปด้วยเรื่องกลัดกลุ้มใจ ความคิดวุ่นวายสับสนยากจะควบคุม

——————————