บทที่ 611 : หนุ่มเพลย์บอยที่จองหอง!

Dragon Emperor Martial God จักรพรรดิ์เทพมังกร

บทที่ 611 : หนุ่มเพลย์บอยที่จองหอง!

ภายในห้องทำงานของมู่หลงเวิ่นฉี – ศาลาเทียนสี่

ปกติแล้วซ่งเจิ้งหยางจะมีบุคลิกเงียบขรึมพูดน้อยเมื่ออยู่ต่อหน้าคนอื่น แต่ตอนนี้ล้วนอยู่ต่อหน้าคนกันเองทั้งนั้น เขาจึงทำหน้าที่สร้างบรรยากาศในห้องให้ดูมีชีวิตชีวา

ซ่งเจิ้งหยางกับมู่หลงเวิ่นฉีนั้น ต่างก็เป็นผู้เชี่ยวชาญทางด้านวัตถุโบราณ เพชรพลอย และยังเป็นนักพนันหินมือฉกาจอีกด้วย และยังมีถังเมิ่งซึ่งได้ฉายาว่าเซียนพนันรุ่นเล็กอยู่ด้วยอีกคน ทั้งสามคนจึงพูดคุยเรื่องการพนันหินกันอย่างถูกคอ และออกรสออกชาติ

แต่คนสำคัญในวันนี้คือหลิงหยุน มู่หลงเวิ่นฉีเกรงว่าเขาจะรู้สึกเบื่อหน่าย จึงได้พยายามชวนหลิงหยุนเข้าสู่วงสนทนาด้วย

“น้องหลิงหยุน.. คิดไม่ถึงว่าน้องชายยังหนุ่มยังแน่น แต่กลับสนใจเรื่องพนันหินกับเขาด้วยหรือนี่..?”

หลิงหยุนยิ้มเล็กน้อยพร้อมกับส่ายหน้าและตอบกลับไปว่า “คุณมู่หลงครับ.. ผมอายุยังน้อยและเด็กจนเป็นหลานของคุณได้ แต่คุณกลับเรียกผมว่าน้องชายแบบนี้ ผมคงไม่กล้ารับ..”

หลิงหยุนรู้ดีว่ามู่หลงเวิ่นฉีนั้นพยายามที่จะยกย่องให้เกียรติเขาในฐานะผู้ช่วยชีวิต แต่เพราะอายุที่ต่างกันถึงห้าสิบปี มู่หลงเวิ่นฉีจึงไม่สามารถแสดงความนอบน้อมได้มากไปกว่านี้  จึงได้แต่เรียกหลิงหยุนว่าน้องชายแทน..

ซ่งเจิ้งหยางที่สังเกตเห็นท่าทางกระอักกระอ่วนของคนสองวัย เขามองหลิงหยุนซึ่งเป็นฝ่ายพูดทักท้วงขึ้นมา แล้วจึงหันไปมองมู่หลงเวิ่นฉีพร้อมกับเสนอแนะอย่างอารมณ์ดี

“ฉันว่าทั้งสองคนอย่าได้มีพิธีรีตองกันมากมายนักเลย! เฒ่ามู่หลง.. คุณก็เรียกชื่อหลิงหยุนอย่างเดียวก็แล้วกัน ส่วนหลิงหยุนถ้าไม่รู้สึกลำบากใจอะไร ก็เรียกเฒ่ามู่หลงว่าปู่ แบบนี้จะดีกว่ามั๊ย?”

ซ่งเจิ้งหยางไม่รีรอ และรีบร้องบอกอย่างติดตลกด้วยความรำคาญว่า “ขืนเฒ่ามู่หลงเรียกเธอว่าน้องหลิงหยุน ต่อไปฉันไม่ต้องเรียกเธอแบบเดียวกันหรือยังไง? ไม่เอา.. ไม่เอาเด็ดขาด?”

นับว่าซ่งเจิ้งหยางแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าได้อย่างยอดเยี่ยมมาก อีกทั้งยังทำให้ความอึดอัดต่างๆภายในห้องสลายหายไปได้ในทันทีด้วยมุกตลกของเขา..

ในเมื่อซ่งเจิ้งหยางเปิดทางให้เช่นนี้ หลิงหยุนก็สมัครใจที่จะเดินตามเช่นกัน เขารีบเอ่ยเรียกมู่หลงเวิ่นฉีทันที

“ครับ.. ท่านปู่มู่หลง”

มู่หลงเวิ่นฉียิ้มอย่างมีความสุข เขาพยักหน้าหงึกๆพร้อมกับพูดขึ้นว่า “ฮ่า.. ฮ่า.. ฉันคงต้องเชื่อฟังเฒ่าซ่งเรียกเธอว่าหลิงหยุนสินะ!”

หลิงหยุนได้แต่คิดในใจว่า ‘น่าจะเรียกข้าเช่นนี้ตั้งนานแล้ว..’

และบรรยากาศภายในห้องก็เริ่มเป็นกันเอง ทั้งสี่คนก็พูดคุยกันอย่างสนุกสนาน ภายในห้องจึงเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ

จากนั้น.. เสียงประตูห้องของมู่หลงเวิ่นฉีก็ดังขึ้น และมู่หลงเฟยจื่อก็เปิดประตูเดินเข้ามา

“ปู่คะ.. เรียกหนูมามีอะไรเหรอคะ? อ้าว.. ลุงซ่งก็มาด้วยเหรอคะ?”

มู่หลงเฟยจื่อเดินเข้าไปในห้องพร้อมกับร้องทักทายปู่ของเธอคนแรก และเมื่อเห็นซ่งเจิ้งหยางนั่งอยู่ในห้องด้วย เธอจึงรีบเอ่ยทักทายเขาเช่นเดียวกัน

หลิงหยุนไม่แม้แต่จะหันไปมอง เขาเพียงแค่ใช้จิตหยั่งรู้สำรวจดูมู่หลงเฟยจื่อ และได้แต่คิดในใจว่า

‘ผู้หญิงคนนี้อารมณ์แปรปรวนจริงๆ! แต่สีหน้าเบื่อหน่ายของนางก็ยังไม่อาจบดบังความงามของนางได้!’

มู่หลงเฟยจื่อสูงมากกว่าหนึ่งเมตรเจ็ดสิบเซนติเมตร  ผิวพรรณก็ละเอียดลออ  คิ้วโก่งได้รูป จมูกเล็กโด่ง ผมยาวดำขลับถูกรวบไว้บนศรีษะ เผยให้เห็นลำคอยาวระหงส์ สวมชุดกระโปรงสีดำรัดรูปก็เผยให้เห็นสะโพกกลมกลึงและรูปร่างที่สมส่วน ส่วนถุงน่องและรองเท้าส้นสูงก็ช่วยเสริมให้เธอดูสง่างงามยิ่งนัก

มู่หลงเวิ่นฉีเห็นหลานสาวสุดที่รักเดินเข้ามา เขาจึงรีบลุกขึ้นยิ้มให้กับหลานสาวพร้อมกับบอกเธอว่า

“เฟยจื่อ.. หลานไปหาหลิงหยุนที่โรงเรียนหลายครั้งแต่ก็ไม่ได้เจอ ดูสิว่าวันนี้หลิงหยุนมาถึงที่นี่เองเลย?!”

หลิงหยุนนั่งอยู่บนโซฟาหันหลังให้กับมู่หลงเฟยจื่อ เธอจึงเห็นแค่ศรีษะด้านหลังของเขาที่โผล่ขึ้นมา แต่ในเมื่อมู่หลงเวิ่นฉีกำลังพูดถึงเขา หลิงหยุนจึงต้องลุกขึ้นยืน และค่อยๆหันหน้าไปยิ้มทักทายมู่หลงเฟยจื่อ

เมื่อมู่หลงเฟยจื่อได้เห็นหลิงหยุน เธอก็ถึงกับตกตะลึงและอึ้งไปทันที ขาทั้งสองข้างถึงกับหยุดนิ่ง และปากเล็กๆก็อ้าออกกว้างด้วยความประหลาดใจ และแทบไม่อยากจะเชื่อสายตาของตนเอง!

“เธอ.. นี่เธอ..”

นี่น่ะเหรอหลิงหยุนเด็กอ้วนคนนั้น?!

มู่หลงเฟยจื่อยกมือขึ้นขยี้ตาตัวเองอย่างแรง ก่อนจะจ้องมองหลิงหยุนอย่างเต็มตาอีกครั้ง และในที่สุดก็เชื่อว่าเด็กหนุ่มคนนี้เป็นหลิงหยุนจริงๆ

เมื่อครั้งที่มู่หลงเฟยจื่อไปหาหลิงหยุนก่อนหน้านี้ หลิงหยุนได้เข้าสู่ระดับสูงสุดของขั้นปรับร่างกาย-3 แล้ว แต่ตอนนั้นน้ำหนักของเขายังไม่ได้ลดลงมากนัก แม้ที่ใบหน้าจะมีไขมันลดลงไปแล้วบ้าง แต่ก็ยังไม่สมส่วนเหมือนในตอนนี้

และที่ทำให้มู่หลงเฟยจื่อตกใจสุดขีดก็คือ หลิงหยุนที่อยู่ต่อหน้าเธอในตอนนี้ ไม่เพียงมีรูปร่างที่เป็นรูปสามเหลี่ยมคว่ำอย่างสมบูรณ์แบบ แต่ยังมีใบหน้าที่หล่อเหลาอย่างหาที่ติไม่ได้ ดวงตาของเขาใสราวกับผลึกแก้ว และเปล่งประกายระยิบระยังราวกับแสงดาวในยามค่ำคืน  อีกทั้งแววตาก็ดูสงบนิ่งเยือกเย็น และเต็มไปด้วยความมั่นใจ เรียกได้ว่าดูแล้วมีเสน่ห์น่าหลงใหลอย่างมาก

เป็นไปได้อย่างไรกัน?! นี่เขาเปลี่ยนไปราวกับเป็นคนละคนเลย!

มู่หลงเฟยจื่อที่จ้องมองหลิงหยุนถึงกับตัวสั่น เพราะไม่เพียงรูปลักษณ์ภายนอกของหลิงหยุนที่เปลี่ยนไป แต่สีหน้าท่าทางที่มู่หลงเฟยจื่อเคยรู้สึกรังเกียจก็ไม่หลงเหลือเลยแม้แต่น้อย

แน่นอนว่า.. ตอนนี้หลิงหยุนไม่สามารถมองมู่หลงเฟยจื่อด้วยแววตาเช่นเดิมต่อหน้าซ่งเจิ้งหยาง และมู่หลงเวิ่นฉีได้

หลิงหยุนยิ้มให้มู่หลงเฟยจื่อพร้อมกับเป็นฝ่ายเอ่ยทักทายเธอก่อน “คุณหนูมู่หลง ยินดีที่ได้พบกันอีกครั้ง คุณดูสวยขึ้นมากเลยนะครับ!”

มู่หลงเฟยจื่อที่กำลังสั่นอยู่นี้สัมผัสได้ว่าปัญหาใหญ่กำลังจะเกิดขึ้นแล้ว และไม่รู้ว่าจะจัดการแก้ไขได้อย่างไร เพราะตอนนี้หนุ่มเพลย์บอยทั้งสองคนกำลังเดินตามเธอเข้ามาในห้องนี้ด้วย

“เอ่อ.. สวัสดีหลิงหยุน.. คุณเองก็เปลี่ยนไปมากเหมือนกัน” มู่หลงเฟยจื่อรีบตอบแก้เก้อ

หลังจากที่ยิ้มและทักทายมู่หลงเฟยจื่อแล้ว หลิงหยุนก็หันกลับไปนั่งลงบนโซฟาทันที

มู่หลงเวิ่นฉีได้แต่ถอนหายใจ และคิดว่าที่ผ่านมานั้นหลานสาวของเขาได้ทำเกินไปจริงๆ เมื่อเห็นท่าทางเย็นชาของคนทั้งคู่  เขาก็ได้แต่มองหลิงหยุนด้วยแววตาขอโทษ

“แฟนของเธออยู่ที่ใหนล่ะน้องเฟยจื่อ?”

จูหย่งหวังและโหวเย่าจงที่รีบตามมู่หลงเฟยจื่อมา ต่างก็ร้องตะโกนเสียงดังถามหาแฟนของเธอ

มู่หลงเฟยจื่อรู้สึกว่าสถานการณ์กำลังเริ่มจะแย่ลง จึงรีบหันกลับไปเพื่อที่จะพาชายหนุ่มทั้งคู่ออกจากห้อง แต่ก็สายเกินไปเสียแล้ว เพราะหนุ่มเพลย์บอยทั้งสองคนต่างก็พุ่งเข้าไปที่โซฟาภายในห้องเรียบร้อยแล้ว

มู่หลงเวิ่นฉี ซ่งเจิ้งหยาง รวมทั้งหลิงหยุน และถังเมิ่งต่างก็มองหน้ากัน และกำลังคิดว่าใครกันที่เป็นแฟนของมู่หลงเฟยจื่อ?!

มู่หลงเฟยจื่อรู้ว่าเหตุการณ์กำลังจะเริ่มแย่ลงมากขึ้น ใบหน้าของเธอแดงก่ำ และเตรียมที่จะขับไล่หนุ่มเพลย์บอยทั้งสองคนออกไปจากห้อง แต่เสียงของจูหย่งหวังก็ดังขึ้นมาเสียก่อน

“นี่พวกนายสองคน.. ใครกันที่เป็นแฟนของน้องเฟยจื่อ?”

ความจริงแล้วมีผู้ชายถึงสี่คนอยู่ในห้อง แต่มู่หลงเวิ่นฉีกับซ่งเจิ้งหยางคงจะไม่ใช่แฟนของมู่หลงเฟยจื่ออย่างแน่นอน จึงเหลือเพียงเด็กหนุ่มแค่สองคน หนุ่มเพลย์บอยจึงตรงเข้าไปหาหลิงหยุนกับถังมิ่ง พร้อมกับยกมือขึ้นชี้หน้าหลิงหยุน และร้องถามออกมาอย่างจองหอง

“นายเป็นแฟนของน้องเฟยจื่องั้นเหรอ?”

มู่หลงเวิ่นฉี และซ่งเจิ้งหยางต่างก็มองหน้ากัน ทั้งคู่ได้แต่คิดในใจว่าหลิงหยุนไปเป็นแฟนกับมู่หลงเฟยจื่อตั้งแต่เมื่อไหร่กัน? ผู้เฒ่าทั้งสองคนต่างก็ยังคงไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่? และเหตุใดจู่ๆ ชายหนุ่มสองคนนี้จึงได้สงสัยในตัวหลิงหยุน..

หลิงหยุนเพียงแค่เหลือบมองเพลย์บบอยทั้งสองคน เมื่อครู่เขาไม่ได้สนใจฟังว่าเกิดอะไรขึ้นในห้องทำงานของมู่หลงเฟยจื่อ

เมื่อซ่งเจิ้งหยางจูหย่งหวังกล้าชี้หน้าหลิงหยุนและตะโกนใส่หน้าเขาเช่นนั้น ในใจก็รู้สึกไม่พอใจอย่างมาก แต่เมื่อคิดว่าทั้งสองคนล้วนเป็นลูกค้ารายใหญ่ของตระกูลหลง จึงได้แต่นั่งหน้าตาบูดบึ้งไม่พูดอะไร และรอคอยว่ามู่หลงเวิ่นฉีกับมู่หลงเฟยจื่อจะจัดการเรื่องนี้อย่างไร?

แต่ในใจของซ่งเจิ้งหยางกลับคิดว่า.. หนุ่มหน้าโง่สองคนนี้คงถึงคราวชะตาขาดแล้ว!

ซ่งเจิ้งหยางไปร่วมงานเปิดคลินิกของหลิงหยุนตั้งแต่เริ่มจนเลิกงานนั้น เขาได้เห็นกับตาว่าหลิงหยุนมีอำนาจบารมีมากเพียงใด? แม้แต่ตัวเขาเองยังถึงกับตกใจอย่างมาก..  ซ่งเจิ้งหยางยังคงนั่งดูเหตุการณ์นิ่งๆ ราวกับกำลังนั่งดูภาพยนต์

‘เฮ้อ.. พวกแกชะตาขาดแล้วล่ะ..’

ถังเมิ่งทีเห็นจูหย่งหวังกล้าชี้หน้าหลิงหยุนเช่นนั้น ก็ได้แต่นึกกังวลและเป็นห่วย เพราะในจิงฉูไม่มีใครกล้าชี้หน้าหลิงหยุนเช่นนี้

หลิงหยุนยังคงนั่งดื่มชาอย่างสงบ ราวกับว่าไม่เห็นจูหย่งหวังที่กำลังชี้หน้า และตะโกนใส่หน้าเขาอยู่ในตอนนี้

เมื่อจูหย่งหวังเห็นหลิงหยุนทำเหมือนเขาไม่อยู่ในสายตาก็ยิ่งโมโห จึงได้พูดจาเหยียดหยาม

“นี่.. ทำไมถึงได้เสียมารยาทแบบนี้? ที่แท้ก็เป็นแค่เด็กหนุ่มหน้าหวาน เสื้อผ้าแบรนด์เนมที่ใส่อยู่นี่ของจริงหรือของปลอม? หรือว่าไปซื้อของมือสองมาใส่กันแน่? แต่ถ้าเป็นของก๊อป ก็นับว่าทำได้เหมือนมากทีเดียว..”

รอบกายหลิงหยุนล้วนรายล้อมด้วยสาวงามดั่งเทพธิดา ทุกนางล้วนแล้วแต่จัดหาเสื้อผ้าให้กับหลิงหยุน เขาแทบไม่เคยซื้อเสื้อผ้าแบรนด์เนมใส่เองด้วยซ้ำไป เรียกได้ว่ามีหน้าที่สวมใส่อย่างเดียว จึงไม่คุ้นเคยกับชื่อแบรนด์ต่างๆมากนัก

ครั้งนี้โหวเย่าจงเองก็เข้ากับจูหย่งหวังได้เป็นปี่เป็นขลุ่ย เมื่อเห็นจูหย่งหวังเริ่ม ก็ไม่ต้องการน้อยหน้าจึงรีบพูดต่อทันที

“ดูเหมือนจะใช่เจ้าเด็กนี่ล่ะ?! บอกมา.. นายชื่ออะไร? บ้านอยู่ที่ใหน? ทำธุรกิจอะไร? แล้วตัวนายทำงานที่ใหน?”

เพลย์บอกที่ไร้เหตุผลทั้งสองคนต่างก็คิดจะอาศัยโอกาสนี้ ใช้ฐานะที่ร่ำรวยของครอบครัวขึ้นมาข่มหลิงหยุนที่ทั้งคู่มองว่าไม่อยู่ในสายตา

หลิงหยุนไม่ได้สนใจชายหนุ่มทั้งสองคนนัก เขาคิดว่าก็แค่สุนัขเห่าหอนตัวหนึ่ง จึงนั่งจิบน้ำชาต่ออย่างไม่ใส่ใจ..

หากจะจัดการกับสองคนนี้ แค่นาทีเดียวก็เพียงพอแล้ว!  หลิงหยุนจึงไม่รบร้อนนัก

มู่หลงเวิ่นฉีที่ไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ จึงได้ร้องถามออกไปอย่างโหว่า  “เฟยจื่อ.. นี่มันเรื่องอะไรกัน?”

มู่หลงเฟยจื่อถึงกับตกใจ และโพล่งออกไปทันที

“หนู.. หนูบอกกับเพวกเขาว่าหลิงหยุนเป็นแฟนหนูค่ะ.”