บทที่ 612 : จี้ใจดำ!

สองหนุ่มเพลย์บอยที่ยืนอยู่หน้าหลิงหยุน ต่างก็มองเขาด้วยสายตาดูถูกเหยียดหยาม ถังเมิ่งเองก็เริ่มพับแขนเสื้อรอแล้วเช่นกัน บรรยากาศภายในห้องทำงานของมู่หลงเวิ่นฉีเริ่มระอุขึ้นเรื่อยๆ

หลิงหยุนยังคงนั่งนิ่งพร้อมกับหันไปยิ้มให้ถังเมิ่งเป็นการห้ามปรามเขา เพราะที่นี่เป็นห้องทำงานของมู่หลงเวิ่นฉี จึงไม่เหมาะสมที่จะมีเรื่องทะเลาะวิวาทกันที่นี่

ทันทีที่ซ่งเจิ้งหยางได้ยินคำตอบของมู่หลงเฟยจื่อ ในใจของเขาก็ได้แต่คิดว่าเพียงแค่คำพูดของมู่หลงเฟยจื่อคงจะยังไม่หนักแน่นพอ คำพูดของซ่งเจิ้งหยางต่อจากนี้จึงไม่ต่างจากการราดน้ำมันลงไปในกองไฟ

“อ่อ.. ที่แท้หลานเฟยจื่อก็เป็นแฟนกับหลิงหยุนเองหรอกรึ? สายตาไม่เลวเลยทีเดียว.. เลือกได้เหมาะสมกันราวกับกิ่งทองใบหยก! เยี่ยม.. เยี่ยมจริงๆ!”

จากที่ซ่งเจิ้งหยางได้เห็นสาวงามที่คลินิกสามัญชนของหลิงหยุนเมื่อวานนี้ แต่ละนางก็ล้วนแล้วแต่มีคุณสมบัติที่เพียบพร้อม และจากสายตาของพวกนางที่มองหลิงหยุนนั้น ซ่งเจิ้งหยางรู้ดีว่าคงยากที่จะพ้นเงื้อมือของหลิงหยุนไปได้

ทันทีที่มู่หลงเฟยจื่อได้ยินคำพูดของซ่งเจิ้งหยาง เธอก็ได้แต่คิดในใจว่าซ่งเจิ้งหยางกำลังจะทำให้เธอกับหลิงหยุนต้องเผชิญกับสถานการณ์ที่เลวร้ายมากกว่าเดิม..

ตลอดเวลาหลายวันมานี้ ไม่ว่ามู่หลงเฟยจื่อจะไปที่ใหน ก็จะมีสองหนุ่มเพลย์บอยคอยติดตามไปสร้างความรำคาญใจให้กับเธออยู่เสมอ จนเธอถึงกับต้องใช้หลิงหยุนเป็นเกราะป้องกันตัว  และใช้เขาเป็นข้ออ้างในการกำจัดสองหนุ่มให้ออกไปจากชีวิตของเธอโดยเร็วที่สุด

แต่ความคิดของมู่หลงเฟยจื่อนั้นนับว่าตื้นเขินเกินไป เพราะตอนนี้แม้แต่มู่หลงเวิ่นฉีที่กำลังตกตะลึง ก็เพิ่งจะได้สติเมื่อได้ยินคำพูดของซ่งเจิ้งหยาง

“ห๊ะ..”

มู่หลงเวิ่นฉีถึงกับร้องอุทานออกมาด้วยความตกใจ จากนั้นจึงหันไปตำหนิหลานสาวสุดที่รักของตนเอง

“เฟยจื่อ.. ทำไมหลานถึงได้เลอะเลือนนัก หลิงหยุนเป็นผู้มีพระคุณของปู่นะ! เรื่องน่ายินดีแบบนี้ทำไมถึงไม่บอกให้ปู่รู้ก่อน!”

ทั้งหลิงหยุนและมู่หลงเฟยจื่อได้ฟังคำพูดของมู่หลงเวิ่นฉี ก็ถึงกับอึ้งจนพูดอะไรไม่ออก..

ซ่งเจิ้งหยางที่เป็นคนจุดประเด็นเรื่องนี้ก็ยังถึงกับอึ้งไปเช่นกัน.. พร้อมกับแอบคิดว่าคู่นี้คงจะได้ลงเอยกันในเร็วๆนี้

มู่หลงเฟยจื่อถึงกับหน้าร้อนผ่าว และรีบร้องห้ามเสียงหลง “คุณปู่.. ลุงซ่ง.. คือ..!”

ความจริงแล้ว.. เมื่อครู่ที่มู่หลงเฟยจื่อพูดออกมานั้นเป็นเพียงแค่ประโยคเริ่มต้น เธอกำลังจะอธิบายเพิ่มเติม แต่ทุกคนต่างก็พูดขึ้นมาจนเรื่องราวบานปลายใหญ่โต

ตอนนี้มู่หลงเฟยจื่ออายุยี่สิบสาม แต่หลิงหยุนเพิ่งจะสิบแปด แล้วก็ยังเป็นแค่นักเรียนมัธยมปลาย ทั้งคู่อายุต่างกันหลายปี อีกทั้งมู่หลงเฟยจื่อก็เป็นผู้หญิงที่ไม่ได้ตัดสินคนจากรูปร่างหน้าตาภายนอกเท่านั้น

ไม่เพียงทั้งคู่จะมีอายุที่ต่างกันหลายปี แต่ยังมีเรื่องของฐานะครอบครัวที่ต่างกันมากเช่นกัน แต่ประเด็นสำคัญที่สุดนั้นดูเหมือนจะเป็นเรื่องความประทับใจแย่ๆ ที่มู่หลงเฟยจื่อมีต่อหลิงหยุนเสียมากกว่า

แม้ว่าสายตาของหลิงหยุนเมื่อครู่จะมองมู่หลงเฟยจื่ออย่างเปิดเผย แต่เธอก็ไม่ได้รู้สึกหวั่นไหวกับสายตาของเขานัก

ชีวิตของมู่หลงเฟยจื่อมีโอกาสพบพานกับผู้คนมามากมาย เพียงแค่เห็นแววตาของหลิงหยุนเธอก็รู้แล้วว่าเขาคิดเช่นไร หลิงหยุนไม่มีทางที่จะปิดบังซ่อนเร้นธาตุแท้ของตนเองต่อหน้าเธอได้แน่

ต่อให้หลิงหยุนจะเปลี่ยนเป็นเด็กหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาเพียงใด เขาก็ยังเป็นคนโลภมาก และไร้จรรยาบรรณแพทย์ในสายตาของเธอ เธอจึงไม่มีวันยอมที่จะแต่งงานกับเด็กหนุ่มคนนี้แน่!

เมื่อคิดว่าหลิงหยุนมาที่นี่เพื่อฉกฉวยผลประโยชน์จากปู่ของเธอ มู่หลงเฟยจื่อจึงมองเขาด้วยสายตาที่บ่งบอกว่า – อย่าได้คิดมาหาผลประโยชน์จากปู่ของเธออย่างเด็ดขาด!

หลิงหยุนได้แต่นึกขันอยู่ในใจ แต่ยังคงนิ่งเงียบไม่พูดไม่จา และเอาแต่นั่งดื่มชาด้วยท่าทางสงบนิ่ง ราวกับว่ารอบๆตัวเขานั้นไม่ได้มีอะไรเกิดขึ้น

มู่หลงเฟยจื่อเห็นหลิงหยุนยังคงนั่งสงบนิ่ง จึงได้แต่รู้สึกหงุดหงิดรำคาญ และได้แต่คิดอยู่ในใจว่า ‘ทำเป็นสงบเยือกเย็น.. ดูสิว่าจะอดกลั้นไม่เผยธาตุแท้ของตัวเองออกมาได้นานแค่ใหน?”

มู่หลงเฟยจื่อตั้งใจไว้ว่า.. หากหลิงหยุนอ้าปากเรียกร้องเงินทองขึ้นมาเมื่อไหร่ เธอจะหันหลังเดินหนีทันที และปล่อยให้ชายหนุ่มทั้งสองคนพูดจาดูถูกหลิงหยุนอยู่ที่นี่ และจากนั้นหากปู่ของเธอจะมอบสิ่งใดเป็นการตอบแทนให้กับเขา เธอก็จะไม่สนใจใยดีอีก!

แต่ละคนที่อยู่ภายในห้องต่างก็พากันคิดกันไปต่างๆนานา แต่มีอยู่สองคนที่เมื่อได้ฟังคำพูดของซ่งเจิ้งหยางและมู่หลงเวิ่นฉี ก็ถึงกับเดือดดาล และโกรธจนควันออกหูขึ้นมาทันที

และจูหย่งหวังก็เป็นฝ่ายเปิดประเด็นขึ้นก่อน “อ่อ.. ที่แท้ก็คนแซ่หลิงนี่เอง? อย่าบอกนะว่านายเป็นคุณชายของตระกูลหลิงในเมืองหลวง?!”

เมื่อพูดถึงตระกูลหลิงแห่งเมืองหลวง จูหย่งหวังก็แสยะยิ้ม และพูดต่อว่า “ตระกูลหลิงเป็นหนึ่งในเจ็ดตระกูลใหญ่ก็จริง แต่ตอนนี้ก็ต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยวหัวเดียวกระเทียมลีบไม่ใช่เหรอ? ได้ยินมาว่าเวลานี้แม้แต่ตระกูลอันดับสามในเมืองหลวงยังเหนือกว่าตระกูลหลิงซะอีก! ตอนนี้ใครๆ ได้เห็นคนของตระกูลหลิงก็พากันหัวราะเยาะทั้งนั้นล่ะ!”

“น้องหลิงหยุน.. พี่ชายคนนี้จะบอกอะไรให้.. รายได้หนึ่งในสิบที่ตระกูลหลิงได้ไปนั้นล้วนมาจากตระกูลจูของเรา!”

“ฉันจะบอกอะไรให้.. ต่อให้นายเป็นคนของตระกูลหลิงที่ปักกิ่งจริง ก็ไม่มีคุณสมบัติเพียงพอที่จะมาแย่งชิงคนรักกับฉัน.. จำใส่กะโหลกไว้ด้วย!”

จูหย่งหวังร้องบอกด้วยความภาคภูมิใจ ยิ่งพูดมากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งบ้ามากขึ้นเท่านั้น อีกทั้งยังไม่รู้ตัวว่าคำพูดของตนเองล้วนแล้วแต่จำนำพาหายนะมาสู่ตระกูล!

ในที่สุดหลิงหยุนก็เงยหน้าขึ้นมอง สีหน้าของหลิงหยุนยังคงสงบนิ่ง ดวงตาจ้องมองไปที่จูหย่งหวังครู่หนึ่ง แล้วจึงพูดขึ้นว่า

“ขอบคุณมาก.. ที่เล่าเรื่องพวกนี้ให้ผมฟัง..”

“และเพื่อเป็นการแสดงความขอบคุณ ผมมีสองเรื่องที่จะบอกกับคุณ – หนึ่ง.. ตอนนี้ผมหนักเจ็ดสิบเจ็ดกิโลกรัม และสอง.. แหล่งรายได้ที่เป็นของตระกูลจูทั้งหมดในเวลานี้  คงจะสูญหายไปอีกในไม่ช้า ทางที่ดีคุณไปบอกทุกคนในตระกูลให้เตรียมหารายได้จากแหล่งอื่นไว้ได้เลย!”

วันนี้ไฟแค้นในใจของหลิงหยุนได้ถูกฉินตงเฉี่วยช่วยดับลงให้  แต่จูหย่งหวังไม่เพียงพูดแทงใจดำของเขา แต่กลับดึงเอาตระกูลหลิงมาพูดดูถูกเหยียดหยามอีก นี่ไม่เท่ากับว่ารนหาที่ตายเช่นนั้นหรือ?

หลังการสอบเทนทรานซ์.. ถึงเวลาที่หลิงหยุนจะต้องทวงคืนสิ่งที่เคยเป็นของตระกูลหลิงเมื่อสิบแปดปีก่อนกลับคืนมา และตระกูลแรกที่เขาจะทวงคืนก็คือตระกูลจู และนับว่าเป็นความโชคร้ายของจูหย่งหวังอย่างที่สุด!

จูหย่งหวังเห็นหลิงหยุนพูดกับเขาด้วยน้ำเสียง และท่าทางที่สงบเยือกเย็น แต่เต็มไปด้วยความจริงจังเช่นนั้น ก็ถึงกับตกตะลึงและได้แต่คิดในใจว่า

‘แล้วเกี่ยวอะไรกับที่มันหนักเจ็ดสิบเจ็ดกิโลกรัม? ฉันไม่ได้ถามนี่นา? แล้วทำไมต้องให้ตระกูลจูไปเตรียมหารายได้จากแหล่งอื่นด้วย?!’

น้ำเสียงของหลิงหยุนแม้จะฟังอยู่สงบเยือกเย็น และคล้ายกับไม่มีอะไร? แต่มีเพียงถังเมิ่งเท่านั้นที่รู้ว่านี่ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย!

ซ่งเจิ้งหยางเองก็รู้ดีว่าตระกูลจูนั้นเป็นตระกูลอันดับสามในเมืองหลวง และสามารถทำเงินได้มากกว่าพันล้าน อีกทั้งสมาชิกในตระกูลบางคนก็รับราชการในปักกิ่ง และมีตำแหน่งใหญ่โตไม่น้อย!

แต่จากคำพูดของหลิงหยุนแล้ว ฟังดูคล้ายกับว่าเขาจะทำให้ตระกูลจูต้องล่มจมพินาศยังไงยังงั้น!

“ฮ่า.. ฮ่า.. ฮ่า..”

หลังจากที่จูหย่งหวังนิ่งไปชั่วครู่ เขาก็หัวเราะออกมาจนน้ำหูน้ำตาไหล พร้อมกับยกมือขึ้นชี้หน้าหลิงหยุนแล้วพูดติดตลกว่า

“เจ้าหนู. นี่เป็นเรื่องที่น่าขำที่สุดเท่าที่ฉันเคยฟังมา!”

หลิงหยุนเพียงแค่ยิ้มบาง และตอบกลับด้วยน้ำเสียงจริงจัง  “แต่มันจะไม่ตลกอีกต่อไปแล้ว! พวกคุณมีเวลาเตรียมตัวแค่ครึ่งเดือน คุณไปบอกกับสมาชิกในตระกูลของคุณได้เลย เชื่อผม.. ทุกอย่างจะเป็นอย่างที่ผมพูดจริงๆ!”

มู่หลงเฟยจื่อถึงกับตกใจ! เธอเริ่มรู้สึกผิด.. เธอสัมผัสได้ว่าคำพูดคำจาของหลิงหยุน และท่าทางของเขาในวันนี้ แตกต่างจากที่เธอเคยพบเมื่อครั้งแรกมาก หลิงหยุนไม่เพียงไม่โมโหเกรี้ยวกราด แต่ยังสงบนิ่งจนน่าตกใจ!

‘เกิดอะไรขึ้นกับหลิงหยุนกันแน่?’

จูหย่งหวังที่กำลังหัวเราะเสียงดังถึงกับชะงัก และจากนั้นภายในห้องก็ตกอยู่ในความเงียบสงัด ไม่มีใครพูดอะไรออกมาแม้แต่คนเดียว..

“นี่ไอ้หนู.. ฉันได้ยินมาว่านายเป็นคนรักษาอาการบาดเจ็บให้กับปู่มู่หลงเมื่อครั้งที่ถูกรถชนใช่มั๊ย? หน้าอย่างนายนี่นะ.. ใครจะเชื่อ?!”

ขณะที่จูหย่งหวังยังคงนิ่งเงียบ.. โหวเย่าจงก็กระโดดออกมาพูดจาเหยียดหยันหลิงหยุนแทน..

“ฉันว่าความจริงแล้วท่านปู่มู่หลงไม่น่าจะได้รับบาดเจ็บอะไรมาก แต่นายน่าจะเข้ามาฉวยโอกาสมากกว่า!”

ทันทีที่โหวเย่าจงพูดจบ ซ่งเจิ้งหยางถึงกับแอบหัวเราะอยู่ในใจ ‘หมอนี่ไม่เพียงตาไม่มีแวว ยังกล้าพูดโง่ๆออกมาได้!’

มู่หลงเวิ่นฉีที่ตอนนี้เห็นสองหนุ่มเพลย์บอยอาศัยความสัมพันธ์ที่มีกับตระกูลมู่หลง มาสร้างความวุ่นวายในห้องทำงานของเขาให้เลวร้ายมากขึ้น ก็ยิ่งมีสีหน้าบึ้งตึงและไม่พอใจจนต้องพูดออกไปว่า

“เย่าจง.. อาการบาดเจ็บของฉัน ฉันรู้ดีที่สุด! หากไม่ใช่เพราะหลิงหยุนช่วยไว้ วันนี้ฉันคงจะไม่มีชีวิตมานั่งอยู่ตรงนี้ได้?”

“ฉันทนต่อไปไม่ไหวแล้ว.. ถ้าพวกเธอจะดูถูกผู้มีพระคุณของฉันแบบนี้ ก็ขอเชิญพวกเธอกลับบ้านไปเถอะ!”

มู่หลงเวิ่นฉีร้องสั่งให้หนุ่มเพลย์บอยทั้งสองคนออกไปจากบ้านของเขา.. แต่ใครจะคิดว่าไม่เพียงสองคนจะไม่ยอมออกไป แต่โหวเย่าจงยังพูดอย่างจองหองว่า

“ท่านปู่มู่หลง.. ผมแค่ไม่เชื่อว่าเจ้าเด็กหนุ่มหน้าหวานคนนี้ จะมีความสามารถรักษาท่านปู่ได้จริง ความจริงแล้วที่ท่านปู่อาการดีขึ้นก็เพราะการรักษาของหมอในโรงพยาบาลต่างหากล่ะ.. หมอนี่ก็เลยแอบอ้าง..”

“ท่านปู่ชื่นชมมันซะเลิศเลอแบบนี้ ถ้าไม่ได้เห็นกับตา ผมก็ไม่มีทางเชื่อเด็ดขาด!”

จูหย่งหวังที่เพิ่งได้สติจึงรีบพูดต่อทันที “ใช่ๆ ผมว่ามันมาที่นี่ก็เพื่อหาผลประโยชน์จากท่านปู่มากกว่า!”

หลิงหยุนถอนหายใจลึกก่อนจะพูดออกมาเพียงไม่กี่ประโยค “พวกคุณสองคน..”

จากนั้นหลิงหยุนก็ยกมือขึ้นชี้ไปทางจูหย่งหวัง “คนหนึ่งเป็นกามโรค..”

จากนั้นก็ชี้ไปทางโหวเย่าจง  “ส่วนอีกคนก็เป็นโรคเก๊าท์เพราะชอบกินอาหารทะเล และไตก็ทำงานไม่ดี..”