บทที่ 613 : ตบหน้า!

“ห๊ะ..!”

“อะไรนะ?!”

หลิงหยุนพูดยังไม่ทันจบ หนุ่มเพลย์บอยทั้งสองคนก็ถึงกลับบร้องออกมาด้วยใบหน้าที่ซีดเผือด หลังจากนั้นทั้งคู่ก็ได้ตกเป็นเป้าสายตาของทุกคนที่อยู่ในห้อง!

นั่นเพราะหลิงหยุนไม่เคยตรวจรักษาให้พวกเขาเลยสักครั้ง แต่กลับสามารถบอกโรคที่พวกเขาเป็นได้อย่างถูกต้องราวกับตาเห็น!

“นี่นาย.. นายรู้ได้ยังไง? ไม่สิ.. นายพูดเพ้อเจ้ออะไร?! ฉันไม่ได้ป่วยเป็นโรคนั้นสักหน่อย!”

จูหย่งหวังที่ตกตะลึงอยู่ครู่ใหญ่ เมื่อได้สติจึงหลุดปากยอมรับออกมาอย่างลืมตัว แต่เมื่อรู้ตัวก็รีบเปลี่ยนคำพูดทันที เพราะใครบ้างจะกล้ายอมรับในสิ่งที่จะย้อนกลับมาฆ่าตัวเอง!

แต่ช่างน่าสงสารเพราะมันสายเกินไปเสียแล้ว!

หลิงหยุนยิ้ม จากนั้นจึงพูดต่ออย่างสบายๆ “ถ้าอยากรู้ว่าเป็นหรือไม่เป็น? ก็ให้คุณหนูมู่หลงออกไปจากห้องก่อน แล้วนายก็ถอดกางเกงให้พวกเราสำรวจดู ก็จะได้คำตอบที่ชัดเจน!”

“ห๊ะ!”

ความจริงมู่หลงเฟยจื่อก็ระแวงสงสัยในทักษะทางการแพทย์ของหลิงหยุนเช่นกัน เธอไม่เชื่อว่าเด็กนักเรียนมัธยมธรรมดาๆคนหนึ่งจะสามารถรักษาอาการบาดเจ็บสาหัสของปู่เธอได้ เธอยังคงเชื่อว่าอาการบาดเจ็บของมู่หลงเวิ่นฉีนั้นไม่ได้หนักหนาสาหัส และเชื่อว่าที่เขาอาการดีขึ้นอย่างรวดเร็วนั้นเป็นเพราะผลจากการรักษาของทางโรงพยาบาล!

ยิ่งไปกว่านั้นการที่มู่หลงเวิ่นฉีได้รับบาดเจ็บที่ศรีษะอยู่ในอาการโคม่านั้น ใครจะรู้ว่าเป็นเพราะสมองของเขาเสียหายจริง หรือว่าแค่ตกใจจนสลบไปเท่านั้น?

ดังนั้นเมื่อโหวเย่าจงพูดจาก้าวร้าวดูถูกหลิงหยุน และต้องการให้เขาพิสูจน์ความสามารถทางการแพทย์ของตนเอง มู่หลงเฟยจื่อจึงเห็นด้วยอย่างมาก

แต่ผลปรากฏว่า.. หลิงหยุนกลับสามารถบอกอาการป่วยของสองหนุ่มได้อย่างถูกต้องว่าจูหย่งหวังเป็นกามโรค ส่วนโหวเย่าจงเป็นโรคเก๊าท์และไตมีปัญหา มู่หลงเฟยจื่อยังคิดว่าหลิงหยุนแกล้งพูดจาให้ร้ายชายหนุ่มทั้งสองคนเพราะโกรธที่ถูกทั้งคู่พูดจาเหยียดหยาม

เพราะกามโรคไม่เพียงเป็นโรคที่น่าอับอาย แต่ยังเป็นโรคที่เกิดในร่มผ้าอีกด้วย เช่นนี้แล้วหลิงหยุนจะสามารถมองทะลุกางเกง และกางเกงชั้นในไปเห็นได้อย่างไรกัน?

โรคเก๊าท์ก็เช่นกัน หากมันไม่แสดงอาการ คนไข้ก็ดูไม่แตกต่างจากคนธรรมดาที่ไม่ได้เจ็บป่วยอะไร และไม่มีทางที่จะวินิจฉันออกมาได้จากการมองด้วยตาเปล่า!?

แต่เมื่อมู่หลงเฟยจื่อเห็นปฏิกิริยาของจูหย่งหวัง เธอจึงรู้ได้ทันทีว่าหลิงหยุนน่าจะวินิจฉัยโรคได้อย่างถูกต้อง และเธอเองก็ทั้งอายและตกใจจนแทบช็อค จากนั้นก็รีบวิ่งเข้าไปในห้องน้ำ เพราะเธอกับจูหย่งหวังก็เคยจับมือทักทายกัน!

เมื่อรู้เรื่องนี้เข้า มู่หลงเฟยจื่อถึงกับขยะแขยง!

หลิงหยุนจ้องมองใบหน้าที่ซีดเซียวและบิดเบี้ยวจนน่าเกลียดของจูหย่งหวัง ส่วนจูหย่งหวังเองก็อับอายขายหน้า เขาทั้งโกรธทั้งอายจนใบหน้าที่ขาวซีดสลับกับแดงก่ำด้วยความโมโหนั้น ตอนนี้เกือบจะกลายเป็นสีม่วงคล้ำแล้ว จูหย่งหวังรู้สึกช็อคมากเพราะนี่เป็นความลับสุดยอดของเขาที่แม้แต่เพื่อนสนิทก็ไม่เคยรู้ แล้วหลิงหยุนล่วงรู้ได้อย่างไรกัน?

เช่นเดียวกับโหวเย่าจงซึ่งเป็นโรคเก๊าท์เพราะทานอาหารทะเลมากจนเกินไป อีกทั้งยังดื่มเบียร์หนัก แต่ก็ยังโชคดีที่ไม่ได้เป็นโรคน่าอับอายอะไร แต่ถึงกระนั้นเขาเองก็อดที่จะตกใจไม่ได้!

หลิงหยุนรู้ได้อย่างไรกัน? นี่เขาเป็นเซียนหรือยังไง?!

หลังจากที่โหวเย่าจงนิ่งไปชั่วครู่ เขาก็หันไปถามหลิงหยุนทันทีว่า โรคเก๊าท์ของเขานั้นสามารถรักษาให้หายขาดได้หรือไม่?

“ใช่..! ฉันทรมานกับโรคเก๊าท์จริงๆ นาย.. รักษาโรคเก๊าท์ได้มั๊ย?”

โหวเย่าจงต้องทนทุกข์ทรมานกับโรคเก๊าท์มานาน และทุกครั้งที่อาการกำเริบ ตามข้อต่อต่างๆไม่ว่าจะเป็นนิ้วมือหรือนิ้วเท้า ก็จะมีอาการบวมแดงและเจ็บปวดอย่างมาก เขาต้องทนเจ็บปวดอยู่สองหรือสามวันกว่าอาการจะทุเลา และทุกครั้งที่อาการกำเริบ เขาก็จะไม่สามารถออกไปทำกิจกรรมอะไรได้เลย โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากอาการกำเริบในหน้าหนาวก็จะยิ่งแย่ใหญ่ เพราะแม้แต่ผ้าห่มเขายังไม่กล้าห่มเลย..

ดังนั้นเมื่อได้ยินหลิงหยุนบอกโรคที่เขาเป็นได้อย่างถูกต้อง โหวเย่าจงถึงกับลืมตัวร้องถามออกไปเช่นนั้น!

หลิงหยุนยิ้มเล็กน้อย ก่อนจะเหลือบมองจูหย่งหวังที่นั่งหน้าแดงด้วยความโกรธและอับอาย แล้วจึงหันไปตอบโหวเย่าจงยิ้มๆ

“รักษาได้สิ!”

โหวเย่าจงได้ฟังคำตอบซึ่งนับว่าเป็นข่าวดีสำหรับเขามาก ก็ถึงกับลืมการเป็นพันธมิตรกับจูหย่งหวังทันที เขาร้องบอกหลิงหยุนอย่างตื่นเต้นดีใจ

“ถ้างั้นนายช่วยรักษาให้ฉันหน่อยจะได้มั๊ย? ถ้านายรักษาฉันหาย ฉันถึงจะยอมเชื่อว่านายเป็นหมอที่เก่งและอัศจรรย์จริง แล้วถ้านายรักษาให้ฉันได้ นายอยากได้อะไรตอบแทนก็ว่ามาเลย!”

หลิงหยุนเอนหลังพิงโซฟาสบายๆ แล้วจึงตอบกลับไปว่า “ในเมื่อคุณไม่เชื่อมั่นในทักษะทางการแพทย์ของผม ผมก็ไม่มีความจำเป็นต้องพิสูจน์เพื่อให้คุณเชื่อ และคุณไม่คู่ควร! เพราะฉะนั้น.. เสียใจด้วย ผมไม่รักษาให้คุณ..”

หลิงหยุนมองเห็นสายตาที่ผิดหวังของโหวเย่าจง ความจริงแล้วเขาสามารถรักษาโรคที่โหวเย่าจงเป็นได้อย่างง่ายดาย แต่เขาไม่ต้องการที่จะรักษาให้.. ก็เท่านั้นเอง!

‘คิดจะลองดีกับข้างั้นรึ?’

โหวเย่าจงได้ยินคำตอบของหลิงหยุน ก็ถึงกับเดือดดาลขึ้นมาทันที!

“แกอย่ามาขี้โม้หน่อยเลย.. ที่แท้ก็ไม่สามารถรักษาได้มากกว่า!”

หลิงหยุนไม่ได้รู้สึกโกรธแม้แต่น้อย เขายังคงยิ้มให้กับโหวเย่าจงด้วยรอยยิ้มที่ดูไม่เป็นพิษเป็นภัยพร้อมกับพูดขึ้นว่า

“งั้นรึ?! ถ้าคิดว่าผมโอ้อวด ทำไมผมถึงได้บอกโรคประจำตัวของพวกคุณได้ถูกต้องล่ะ?”

ในเวลานั้นเอง มู่หลงเฟยจื่อก็เดินออกมาจากห้องน้ำพอดี และไม่รู้ว่าเธอล้างมือไปกี่ครั้ง เพราะตอนนี้ฝ่ามือของเธอได้กลายเป็นสีขาวซีด

“เอ่อ..”

มู่หลงเฟยจื่อเหลือบมองจูหย่งหวังด้วยสายตารังเกียจ และมองหลิงหยุนด้วยแววตาเก้อเขิน!

“เอ่อ.. จะมีประโยชน์อะไรถ้าแกรู้ว่าพวกเราเป็นอะไร แต่กลับรักษาไม่ได้?!”

จูหย่งหวังที่กระวนกระวายใจอยู่นั้น เมื่อเห็นว่าปกปิดต่อไปคงไม่มีประโยชน์อะไร ก็สู้ยอมรับและหาทางบีบให้หลิงหยุนรักษาให้จะดีกว่า จึงได้พูดเสริมขึ้นมาว่า

“ใช่.. นายรู้ว่าพวกฉันป่วยเป็นโรคอะไร แต่กลับรักษาไม่ได้ก็แค่นั้น พวกเราจะยอมเชื่อว่านายเป็นหมอที่เก่งจริงก็ต่อเมื่อนายรักษาพวกเราให้หายได้เท่านั้น!”

จูหย่งหวังนั้นได้แต่คิดในใจว่า ถ้าหลิงหยุนสามารถมองทะลุกางเกงไปเห็นความผิดปกติของเขาได้ คงจะต้องมีวิชาการแพทย์ที่ล้ำเลิศไม่ธรรมดาแน่! จึงเชื่อมั่นว่าหลิงหยุนจะต้องรักษาโรคของเขาได้อย่างแน่นอน แต่ในเมื่อเขาไม่ยอมรักษาให้กับโหวเย่าจง ก็คงจะไม่ยอมรักษาให้เขาเช่นกัน เขาจึงเลือกใช้วิธีดูถูกเป็นการยั่วยุแทน

แต่คาดไม่ถึงว่าหลิงหยุนไม่เพียงไม่ตกหลุมพราง แต่กลับหันไปพูดกับมู่หลงเวิ่นฉีโดยที่ไม่แยแสพวกเขาทั้งสองคนด้วยซ้ำ

“ท่านปู่มู่หลง..”

“นี่.. แกมีสิทธิ์อะไรเรียกท่านปู่มู่หลง..”

สองหนุ่มได้ยินหลิงหยุนเรียกมู่หลงเวินฉีว่า ‘ปู่มู่หลง’ ก็ถึงกับกรีดร้องโวยวายออกมาอย่างไม่พอใจ

มู่หลงเฟยจื่อถึงกับถอนหายใจ แต่ก็ไม่พูดอะไร..

มู่หลงเวิ่นฉีกำลังตกตะลึงกับทักษะทางด้านการแพทย์ของหลิงหยุน แต่เมื่อได้ยินหลิงหยุนร้องเรียก มู่หลงเวิ่นฉีจึงรีบเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

“หลิงหยุน.. มีอะไรก็ว่ามาเถอะ”

แล้วจึงหันไปมองสองหนุ่มเพลย์บอยด้วยสายตารังเกียจ..

หลายวันมานี้ หนุ่มเพลย์บอยทั้งสองคนได้สร้างความตลกขบขันมากมายในตลาดค้าของเก่าแห่งนี้ ทั้งคู่ต่างก็สร้างความเสื่อมเสียอับอายให้กับตระกูลของตัวเอง และสร้างปัญหาให้กับมู่หลงเวิ่นฉีมากมาย แม้กระทั่งวันนี้ก็ฉีกหน้าตัวเองในห้องทำงานของเขา..

หลิงหยุนจึงพูดออกไปว่า “ท่านปู่มู่หลง.. ความจริงที่ผมมาพบท่านปู่วันนี้เพราะมีธุระสามเรื่อง!”

มู่หลงเฟยจื่อได้ยินก็แอบคิดในใจทันที ‘หลิงหยุน.. ในที่สุดหางของเธอก็โผล่ออกมาสินะ! มีธุระสามเรื่องงั้นเหรอ? ปู่ของฉันเป็นแหล่งรีดไถใหญ่โตขนาดนี้ทำไมไม่บอกว่ามีธุระสักสามสิบเรื่องไปเลยล่ะ?!”

“เชอะ!”

มู่หลงเฟยจื่อทำเสียงขึ้นจมูกอย่างไม่พอใจ แล้วมองหลิงหยุนด้วยสายตาเย็นชาและรังเกียจอีกครั้ง

กิริยาท่าทางของมู่หลงเฟยจื่อนั้น หลิงหยุนคร้านที่จะใส่ใจ เขายังคงยิ้มและพูดกับมู่หลงเวิ่นฉีต่ออย่างไม่สะทกสะท้าน

“เรื่องแรก – ผมมาที่นี่เพื่อติดตามผลการรักษา หลังจากที่รักษาท่านปู่ไปร่วมสองเดือนแล้ว วันนี้จึงมาเยี่ยมเยียนดูอาการว่าท่านปู่สามารถฟื้นตัวได้สมบูรณ์หรือไม่? แต่ตอนนี้เห็นท่านปู่มู่หลงมีเรี่ยวมีแรง หน้าตาสดใสแบบนี้ ผมก็โล่งใจ..”

โหวเย่างร้องตะโกนออกมาอย่างรังเกียจเหยียดหยัน “หลิงหยุน.. ไม่ต้องทำเป็นมาพูดเอาดีเข้าตัวหน่อยเลย ปู่มู่หลงอาการดีขึ้นตั้งนานแล้ว ใบหน้าก็แดงระเรื่อบ่งบอกว่ามีสุขภาพแข็งแรงดี!”

จูหย่งหวังเองก็ทำสีหน้ารังเกียจราวกับบว่าหลิงหยุนกำลังพูดเรื่องไร้สาระอยู่เช่นกัน!

ครั้งนี้มู่หลงเวิ่นฉีรู้สึกโกรธมากจริงๆ เขาจึงร้องตะโกนเสียงดัง “พวกคุณสองคนหุบปากเดี๋ยวนี้!”

เมื่อหนุ่มเพลย์บอยทั้งสองคนเห็นว่ามู่หลงเวิ่นฉีส่งเสียงดังด้วยความโมโหมาก ก็รีบหุบปากและแทบไม่กล้าหายใจเสียงดังอีกเลย

แต่หลิงหยุนกลับไม่รู้สึกสะทกสะท้าน เขายังคงพูดต่ออย่างสงบนิ่ง  “เรื่องที่สอง – เมื่อครั้งที่คุณหนูมู่หลงไปพบผมที่โรงเรียนนั้น เราสองคนมีเรื่องที่ไม่เข้าใจกันเล็กน้อย ผมผิดเองที่ไปพูดจาล้อเล่นกับคุณหนูมู่หลง วันนี้จึงมาเพื่ออธิบายเรื่องนี้ให้ทุกคนเข้าใจ”

จากนั้นหลิงหยุนจึงหันไปมองมู่หลงเฟยจื่อพร้อมกับพูดยิ้มๆ

“พี่มู่หลง.. ผมแค่ต้องการจะหยอกเย้าคุณเล่นเท่านั้น ความจริงตั้งใจแค่จะยืมรถคุณไว้แค่สองสามวันเท่านั้นแล้วก็จะนำมาคืน แต่เพราะผมเองก็ยุ่ง และตอนนี้เรื่องราวก็บานปลายไปมาก พรุ่งนี้ผมจะนำรถมาเซราติมาคืนให้กับคุณ”

“ห๊ะ.. อะไรนะ?!”

มู่หลงเฟยจื่อถึงกับอึ้งไป เธอแทบไม่อยากจะเชื่อหูตัวเอง!

เธอคิดว่าที่หลิงหยุนมาหาปู่ของเธอวันนี้ก็เพื่อจะมาเรียกร้องเงินทองเพิ่ม แต่คิดไม่ถึงว่าหลิงหยุนกลับมาบอกว่าจะนำรถมาคืนให้เธอ..

นี่แทบจะไม่ใช่หลิงหยุนที่โลภมากคนนั้นเลย!

มู่หลงเวิ่นฉีเองก็มองหลานสาวสุดที่รักด้วยความตกใจไม่ต่างกัน! เขาได้แต่คิดในใจว่าการที่หลิงหยุนเอารถมาคืนเช่นนี้ แล้วจะเรียกว่าหลิงหยุนเป็นคนโลภมากเห็นแก่ได้ได้อย่างไรกัน?!

“เฟยจื่อ.. นี่เจ้า..”

มู่หลงเวิ่นฉีมองมู่หลงเฟยจื่อด้วยสายตาตำหนิติเตียน เขาคิดไม่ถึงว่าหลานสาวจะมองหลิงหยุนผิดไปมากเช่นนี้!

หลิงหยุนยังคงพูดต่อ “ผมถือคติว่าช่วยชีวิตคนได้กุศลยิ่งกว่าการสร้างเจดีย์เจ็ดชั้น ผมช่วยชีวิตท่านปู่มู่หลงในครั้งนั้น ก็ไม่ได้ต้องการสิ่งตอบแทนใดๆ จึงแทบไม่ต้องพูดถึงเรื่องค่าตอบแทน..”

 หลิงหยุนพูดพร้อมกับหยิบเช็คของธนาคาร ICBC ขึ้นมาวางไว้บนโต๊ะพร้อมกับพูดยิ้มๆ “นี่เป็นเช็คเงินสดจำนวนสิบล้าน เป็นจำนวนเงินที่มอบให้กับผมในวันนั้น ผมไม่ได้คืนพร้อมดอกเบี้ย และหากพี่มู่หลงยังโกรธผมอยู่ ก็สามารถทุบตีผมได้เลย..”

ราวกับถูกตบหน้าฉาดใหญ่..!

หลิงหยุนไม่เพียงไม่ได้มารีดไถเพิ่ม แต่กลับนำรถและเงินมาคืนให้กับตระกูลมู่หลง

การกระทำของหลิงหยุนในวันนี้จึงไม่ต่างจากการตบหน้ามู่หลงเฟยจื่อจนบวมเปล่งเหมือนคนอื่นๆ!