เยี่ยโยวเหยามองใบหน้าซูจิ่นซี พลางยกยิ้มมุมปากโดยไม่พูดอันใด
ซูจิ่นซีร้อนใจ ถามขึ้นอีกครั้งว่า “ท่านอ๋องพูดสิ ใช่หรือไม่เพคะ? ”
ซูจิ่นซียังดึงดันถามต่อ เยี่ยโยวเหยาดึงตัวซูจิ่นซีเข้ามาไว้ในอ้อมกอด ค่อยๆ เอียงศีรษะแนบชิดใบหูของซูจิ่นซีและพูดเสียงต่ำ “ซูจิ่นซี ตอนนี้เจ้ากำลังหึงหวงอยู่ใช่หรือไม่? ”
แก้มของซูจิ่นซีพลันแดงระเรื่อ ทว่านางยังคงเม้มริมฝีปาก และหันไปสบตากับเยี่ยโยวเหยา “เยี่ยโยวเหยา ใช่หรือไม่กันแน่? วันนี้ท่านอ๋องต้องให้คำอธิบายแก่หม่อมฉัน”
“ไม่ใช่! ”
เยี่ยโยวเหยากอดซูจิ่นซีแน่น พลางตอบนางอย่างชัดถ้อยชัดคำ
ซูจิ่นซีไม่สงสัยเยี่ยโยวเหยา ทว่านางยังคงหันหน้าไปมองเขา
เยี่ยโยวเหยาอธิบายต่อว่า “เสด็จพ่อทรงกำหนดการหมั้นหมาย เพราะหนานกงมีพระคุณต่อจักรวรรดิมาก ทว่าข้าไม่เคยยอมรับเรื่องนี้”
ซูจิ่นซีนิ่งเงียบ เยี่ยโยวเหยาคิดว่าซูจิ่นซียังไม่เชื่อ จึงขมวดคิ้วมุ่น
“ซูจิ่นซี อาการกำเริบของหมุดกร่อนรักเกิดขึ้นเพราะผู้ใด ต้องให้ข้าอธิบายหรือไม่? ”
เมื่อพูดถึงหมุดกร่อนรัก ภายในใจซูจิ่นซีพลันรู้สึกเจ็บปวดขึ้นมาทันที
“ในเมื่อไม่ชอบหนานกงลั่วอวิ๋น แล้วเหตุใดหลายครั้งหลายคราที่หม่อมฉันถาม ท่านอ๋องถึงไม่ยอมพูดออกมาตามตรงเล่าเพคะ? ”
ขณะที่ซูจิ่นซีกับเยี่ยโยวเหยาสบตากัน นางเห็นถึงความเจ็บปวดภายในดวงตาของเขา
“เป็นเพราะหมุดกร่อนรักใช่หรือไม่? ”
เยี่ยโยวเหยาจับมือซูจิ่นซีแน่นขึ้น นี่เป็นครั้งแรกที่ซูจิ่นซีรู้สึกว่าภายในใจของเยี่ยโยวเหยากำลังหวาดกลัวอันใดบางอย่าง
แม้เขาจะไม่ได้พูดอันใด ทว่าซูจิ่นซีกลับเข้าใจทั้งหมด
“เยี่ยโยวเหยา ท่านกลัวว่าหากให้คำสัญญากับหม่อมฉันแล้ว แต่ไม่สามารถถอนพันธะของหมุดกร่อนรักได้ ท่านจะผิดต่อหม่อมฉันไปตลอดชีวิตหรือ? ”
“ใช่! ”
“เช่นนั้น เหตุใดถึงต้องเป็นเวลานี้?”
ตอนนี้ยังไม่สามารถถอนพันธะของหมุดกร่อนรักได้
“เดิมข้าคิดว่า หากไม่สามารถถอนพันธะของหมุดกร่อนรักได้จริงๆ ข้าก็จะเมตตาปล่อยเจ้าไป ทว่าเวลานี้ข้าเปลี่ยนความตั้งใจทั้งหมดแล้ว แม้ไม่สามารถถอนพันธะของหมุดกร่อนรักได้ตลอดไป ข้าก็จะให้เจ้าตายอยู่เคียงข้างข้า”
ซูจิ่นซีไม่มีทางล่วงรู้ หลังจากที่เยี่ยโยวเหยาช่วยนางออกมาจากเงื้อมมือของฮูหยินปิงจี ภายในใจของเขาหวาดกลัวเพียงไร
ชั่วชีวิตนี้ของนาง มีเขาเป็นส่วนแบ่งชีวิตไปแล้ว
ชื่อของนางถูกกำหนดให้มีชื่อของเยี่ยโยวเหยาผูกอยู่ด้วย
ทว่าหน้าที่รับผิดชอบของเขา สถานะของเขา ได้กำหนดให้ชั่วชีวิตนี้ พวกเขาทั้งสองคนไม่สามารถใช้ชีวิตได้อย่างปกติ
หากนางจะแยกทางกับเขา นางต้องประสบอันตรายอย่างแสนสาหัส ดังนั้นเขาจึงวางใจให้นางอยู่เคียงข้างเขาเท่านั้น
“ไม่มีทาง! ” ซูจิ่นซีพูดอย่างแน่วแน่ “ฮูหยินปี้ได้เดินทางไปเชิญจิ่วหรงมาแล้ว ทั้งตอนนี้พวกเรายังมีจิ่งเทียน ไห่หลงและบัวหิมะโลหิต รวมถึงกระถางหงส์สัมฤทธิ์กับโลหิตสัตว์เทพกิเลน การถอนพันธะหมุดกร่อนรักในร่างกายท่านก็ขึ้นอยู่กับเวลาเท่านั้น”
ซูจิ่นซีพูดให้กำลังใจเยี่ยโยวเหยา ทว่าเยี่ยโยวเหยาที่ควรยินดีเมื่อได้ฟังข่าวนี้ กลับมีแววตาเคร่งขรึม
หลายวันหลังจากนั้น ซูจิ่นซี ซูอวี้ หมอเทวดาหวา และทุกคน ต่างตั้งใจดูแลให้เยี่ยโยวเหยาฟื้นฟูร่างกาย คงต้องใช้เวลาอย่างน้อยครึ่งเดือน เยี่ยโยวเหยาถึงจะสามารถลงจากเตียงได้ ทว่าเยี่ยโยวเหยากลับใช้เวลาไม่ถึงสิบวันก็สามารถลงจากเตียงมาเดินเหินได้แล้ว
พวกเขาเห็นเอกสารของราชสำนักส่งเข้ามาในตำหนักฝูอวิ๋นอย่างต่อเนื่อง ซูจิ่นซีอดขมวดคิ้วไม่ได้ ทว่านางรู้ดีว่าสิ่งนี้คือหน้าที่รับผิดชอบในราชสำนักของเยี่ยโยวเหยา จึงไม่ได้โน้มน้าวหรือขัดขวาง
ครึ่งเดือนต่อมา เยี่ยโยวเหยาเดินเหินได้ตามปกติ ทว่ายังไม่สามารถเดินพลังภายในได้
ในขณะเดียวกัน ซูจิ่นซีก็ได้รับข่าวจากพิราบสื่อสาร ฮูหยินปี้เขียนมาบอกว่านางเชิญจิ่วหรงได้สำเร็จ ทั้งสองกำลังอยู่ระหว่างการเดินทาง อีกไม่กี่วันก็จะถึงแคว้นจงหนิง
วันนี้ซูจิ่นซีเดินทางมาที่จวนสกุลซู และเพิ่งออกจากจวนสกุลซูกลับจวนโยวอ๋องในช่วงค่ำ
ขณะที่อยู่ระหว่างทาง ภายนอกยังคงเงียบสงัดเหมือนเช่นเคย ทว่ารถม้ากลับหยุดนิ่ง
“เกิดเรื่องอันใด? ”
ลวี่หลีที่เดินอยู่ข้างรถม้าพูดว่า “คุณหนู ด้านหน้ามีคนขวางทางรถม้าของพวกเราเพคะ”
ซูจิ่นซีเปิดผ้าม่านบนรถม้าขึ้น นางเห็นเด็กน้อยคนหนึ่งอายุประมาณเจ็ดแปดขวบถูกองครักษ์ที่เดินตามมาด้วยขวางทางไว้ เด็กน้อยพยายามขัดขืนและส่องสายตาอ้อนวอนให้ซูจิ่นซี
“พระชายา… พระชายา โปรดช่วยมารดาข้าน้อยด้วยเถิด! ได้โปรด… ”
“ปล่อยเขา”
องครักษ์รับคำสั่งปล่อยตัวเด็กคนนั้น เด็กน้อยรีบวิ่งเข้ามาหาซูจิ่นซี พลางดึงแขนเสื้อของนางและพูดว่า “พระชายา ทุกคนต่างพูดกันว่าท่านคือเจ้าแม่กวนอิมกลับชาติมาเกิด เป็นเทพจุติมาเกิด เป็นหมอเทวดา ท่านได้โปรดช่วยมารดาของข้าน้อยด้วยเถิด! ”
แม้เด็กคนนี้จะอายุยังน้อย ทว่าพูดจาคล่องแคล่ว ดูแล้วฉลาดหลักแหลมพอควร
ใบหน้าของซูจิ่นซีเต็มไปด้วยความสนใจ “โอ้? ผู้ใดสอนให้เจ้าพูดเช่นนี้? ”
เจ้าแม่กวนอิมกลับชาติมาเกิด เทพจุติมาเกิด หมอเทวดา คำเรียกเช่นนี้ซูจิ่นซีไม่มีทางรับไหว ยิ่งไปกว่านั้น แต่ไหนแต่ไรมานางไม่เคยได้ยินชาวบ้านวิพากษ์วิจารณ์ตนเองเช่นนี้
ดังนั้นไม่มีทางที่เด็กน้อยอายุเจ็ดแปดขวบตรงหน้าจะพูดเช่นนี้ออกมาเอง
ดวงตาเด็กน้อยเปล่งประกาย พลางดึงรั้งแขนเสื้อซูจิ่นซีด้วยสีหน้าอ้อนวอน “ท่านเทพธิดา ไม่มีใครสอนข้าน้อย ไม่มีใครสอนข้าน้อยจริงๆ ขอรับ ทุกคนต่างพูดถึงท่านเช่นนี้ ดังนั้นข้าน้อยจึงเรียกท่านเช่นนี้ขอรับ ท่านปู่บอกว่าวิชาแพทย์ของท่านยอดเยี่ยมมาก ท่านช่วยมารดาข้าด้วยเถิด”
“มารดาเจ้าเป็นอันใด? ”
“มารดาข้าน้อยป่วยหนัก นางจะทนไม่ไหวแล้วขอรับ”
แววตาซูจิ่นซีปรากฏความสงสัย แต่นางยังพูดว่า “ตกลง ข้าจะไปดู”
“อืม! ” เด็กน้อยพยักหน้า ใบหน้าปรากฏรอยยิ้มยินดี
“คุณหนู! ” ลวี่หลีเรียกซูจิ่นซีด้วยความกังวล เพื่อแสดงว่าไม่เหมาะเท่าไรนัก “วันนี้ดึกมากแล้ว เช่นนั้นให้บ่าวรีบไปเชิญท่านหมอที่หอโอสถสกุลซูไปดู หรือจะให้ผู้นำอวี้ไปดูก็ได้เช่นกันเจ้าค่ะ! ”
ซูจิ่นซีหันไปมองเด็กน้อยคนนั้น “ไม่เป็นไร ให้ทุกคนกลับไปก่อนเถิด! ส่วนเจ้าไปพร้อมกับข้า”
ลวี่หลีคิดจะพูดโน้มน้าวอีกครั้ง ทว่าซูจิ่นซีกลับลงจากรถม้าและเดินตามเด็กน้อยคนนั้นไป ลวี่หลีจึงทำได้เพียงเดินตามไปให้ทัน
เดินอยู่ประมาณครึ่งชั่วยาม เด็กน้อยก็พาซูจิ่นซีมาถึงบ้านที่อยู่ในสภาพทรุดโทรมอย่างมากหลังหนึ่ง
เมื่อผลักประตูเข้าไป ซูจิ่นซีพลันสัมผัสได้ถึงไอหนาวเย็นและความอับชื้น จากนั้นก็ได้ยินเสียงไออย่างหนักดังขึ้น
เด็กน้อยพาซูจิ่นซีเดินเข้าไปในห้องนอน บนเตียงมีสตรีนางหนึ่งนอนอยู่จริงๆ
“อาชี อาชีกลับมาแล้วหรือ? ”
แม้สตรีนางนั้นจะขยับตัวไม่ได้ ทว่าเมื่อได้ยินเสียง นางก็ยื่นมือออกมาหาซูจิ่นซีกับเด็กน้อยคนนั้น
เด็กน้อยรีบวิ่งเข้าไปหาและจับมือมารดาของตนทันที “ท่านแม่ ข้าอาชี เป็นอาชี อาชีพาพระชายามาช่วยเหลือท่านแม่แล้ว! ท่านแม่วางใจ อาการป่วยของท่านต้องหายดี”
“พระชายา? ” สตรีนางนั้นพยายามหันศีรษะไปมองซูจิ่นซีด้วยความยากลำบาก เมื่อเห็นซูจิ่นซี ใบหน้าของนางพลันปรากฏความตกตะลึง นางพยายามลุกขึ้นจากเตียงเพื่อทำความเคารพซูจิ่นซี
ซูจิ่นซีรีบเดินไปหยุดนางไว้ “เจ้าเจ็บป่วยเช่นนี้ ไม่ต้องลุกขึ้นหรอก”