“พระ… ชายา” ไม่รู้ว่านางตกใจมากหรืออย่างไร จึงน้ำตาไหลพราก “หม่อมฉันได้รับน้ำพระทัยของพระชายา พระองค์ทรงเดินทางมาดูอาการป่วยของหม่อมฉันถึงที่นี่ เป็นสิ่งที่ไม่บังควรยิ่งนักเพคะ”
จากนั้นนางก็หันไปเอ็ดอาชี แล้วพูดกับซูจิ่นซีว่า “พระชายา อาชีเป็นเด็กไม่รู้ความ ทำให้พระชายาต้องขุ่นเคือง ขอพระชายาอย่าได้ใส่พระทัยเลยเพคะ”
ใบหน้าของสตรีนางนั้นขาวซีดไร้เลือดฝาด
ครู่หนึ่ง ซูจิ่นซีจึงหันไปพูดกับเด็กน้อยที่มีสีหน้าร้อนใจ “เจ้าหนูวางใจเถิด มารดาของเจ้าจะไม่เป็นอันใด เพียงโรคเก่าที่ไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที อีกสักครู่ข้าจะให้คนนำยามาให้ เจ้าให้มารดาของเจ้าทานยาให้ตรงเวลา ประมาณครึ่งเดือน นางก็สามารถลุกขึ้นมาเดินได้ตามปกติแล้ว”
“จริงหรือขอรับ? ” อาชีตกใจอ้าปากค้าง
สตรีนางนั้นก็ประหลาดใจเช่นกัน ทว่าใบหน้ากลับเผยให้เห็นถึงความลำบากใจ “ทว่า… ทว่า… พระชายา ครอบครัวหม่อมฉันไม่มีสิ่งของมีค่าอันใด ยาของหอโอสถสกุลซูแพงยิ่งนัก หม่อมฉัน… ไม่มีเงินซื้อเพคะ”
“เจ้าวางใจเถิด ยานี้ไม่เก็บเงิน”
“ไม่เก็บเงินหรือเพคะ? ” สตรีนางนั้นตกตะลึงอีกครั้ง รีบพูดว่า “ได้อย่างไรกันเพคะ? พระชายา เรื่องนี้ไม่ได้เพคะ ไม่ได้จริงๆ เพคะ! ”
“ได้สิ! ” ซูจิ่นซีพยายามรั้งตัวไม่ให้นางลุกขึ้น “แพทย์ต้องมีใจเมตตา สมุนไพรก็มีประโยชน์ในการรักษาคนไข้ หากเจ้าไม่สบายใจที่จะรับน้ำใจนี้ หลังฟื้นฟูร่างกายจนหายดีแล้วก็ให้อาชีไปที่หอโอสถสกุลซู ให้เขาไปเป็นคนรับใช้น้องชายของข้าที่นั่น ช่วยเหลือจัดการงานในหอโอสถ”
ให้บุตรชายของตนไปที่หอโอสถสกุลซู เป็นคนรับใช้ผู้นำอวี้สกุลซู?
เรื่องนี้เป็นเรื่องดีอย่างยิ่งสำหรับครอบครัวของนาง นางคิดไม่ถึงเลยจริงๆ
หลังตกตะลึงอยู่ครู่ใหญ่ นางก็หันไปพูดกับอาชีว่า “อาชี ยังยืนอึ้งทำอันใด รีบคุกเข่าโขกศีรษะขอบพระทัยพระชายาเดี๋ยวนี้”
อาชีตัวแข็งทื่อเป็นท่อนไม้ ก่อนจะรีบคุกเข่าโขกศีรษะให้ซูจิ่นซี
เขาโขกศีรษะอยู่หลายครั้ง เสียงหน้าผากกระทบพื้นดังก้องเหมือนเสียงทุบกระเทียม
ซูจิ่นซีไม่พูดอันใดอีก เพียงสั่งให้ลวี่หลีประคองอาชีลุกขึ้น แล้วกำชับมารดาของอาชีถึงสิ่งจำเป็นที่ต้องทำในแต่ละวันเพื่อฟื้นฟูร่างกาย จากนั้นก็เดินออกไป
ขณะที่ซูจิ่นซีเดินออกมานอกประตู จู่ๆ เบื้องหน้าก็ปรากฏคนเพิ่มมาอีกหนึ่งคน
ใบหน้าประหลาดใจของซูจิ่นซีค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นสงบนิ่ง
“เยี่ยเซิน เหตุใจเจ้าจึงมาอยู่ที่นี่? ”
แววตาของเยี่ยเซินปกปิดความรู้สึกลึกซึ้งที่ซูจิ่นซีมองไม่เห็น น้ำเสียงของเขาสงบนิ่งเฉกเช่นเดียวกับซูจิ่นซี
“จิ่นซี ไม่พบกันเสียนาน”
ก่อนหน้านี้ตอนที่อาชีเข้ามายืนขวางหน้ารถม้าซูจิ่นซี ซูจิ่นซีก็รู้อยู่แล้วว่าเรื่องนี้ไม่ง่ายอย่างที่เห็นแน่นอน
เป็นจริงดั่งที่ลวี่หลีพูดไว้ ซูจิ่นซีสามารถให้หมอที่หอโอสถมาหรือให้ซูอวี้มาก็ได้ ทว่านางต้องการมาด้วยตนเอง
สาเหตุที่นางมากับอาชีด้วยตนเอง เพราะต้องการรู้ว่าคนที่รออยู่ที่นี่เป็นผู้ใดกันแน่ ผู้ใดที่จงใจสร้างละครฉากนี้เพื่อล่อให้นางมาที่นี่
อย่างไรก็ตาม ซูจิ่นซีไม่คิดว่าคนผู้นั้นจะเป็นเยี่ยเซิน
“เจ้าล่อให้ข้ามาที่นี่ มีจุดประสงค์อันใด? ต้องการทำอันใด? ” สีหน้าซูจิ่นซีระแวดระวัง
“จิ่นซี พวกเรา… ต่างก็เป็นเชื้อพระวงศ์เหมือนกัน แต่กลับไม่มีเวลานั่งดื่มชาด้วยกันเลย วันนี้อยู่ดื่มชากับข้าได้หรือไม่? ”
ซูจิ่นซียกยิ้มมุมปาก “เยี่ยเซิน ท่านกับข้ามีอันใดต้องสนทนากันหรือ? ดื่มชา? คงไม่ได้กระมัง? ”
ซูจิ่นซีพูดจบ ตั้งใจจะเดินออกไป
ทว่าเดินไปได้ไม่เท่าไร เสียงคุกคามของเยี่ยเซินก็ดังขึ้นจากด้านหลัง
“ไม่ได้จริงหรือ? เช่นนั้นเจ้าลองดูว่าสิ่งนี้คืออันใด? ”
ซูจิ่นซีได้ยินจึงหยุดเดินและหันหลังกลับไป เห็นว่าในมือของเยี่ยเซินถือแหวนมรกตอยู่วงหนึ่ง
สิ่งนี้เป็นแหวนธรรมดาวงหนึ่ง คนทั่วไปสามารถพบเห็นได้บ่อยครั้ง ไม่นับเป็นของหายากแต่อย่างใด ทว่าซูจิ่นซีเห็นแล้วกลับขมวดคิ้วเคร่งเครียด
แหวนวงนี้คือแหวนที่นางสั่งให้ลวี่หลีหามา เป็นแหวนที่ทำขึ้นมาเป็นพิเศษเพื่อให้อวิ๋นจิ่นวางยาพิษฮองเฮาได้อย่างสะดวก และเพื่อทำตามคำสัญญาของฮองเฮา
จากนั้นซูจิ่นซีก็มอบให้อวิ๋นจิ่นโดยไม่ได้ขอคืน
นางจ้องหน้าเยี่ยเซินอย่างดุดัน “เจ้าทำอันใดกับอวิ๋นจิ่น? ”
ก่อนหน้านี้ หลังจากพาเยี่ยโยวเหยาที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสกลับมายังแคว้นจงหนิง ซูจิ่นซีได้สั่งให้คนไปที่จวนสกุลซูเพื่อเชิญอวิ๋นจิ่นมา ทว่าคนในจวนสกุลซูบอกว่าอวิ๋นจิ่นไม่ได้กลับจวนหลายวันแล้ว
“จิ่นซี ที่นี่ไม่ใช่สถานที่ที่จะคุยกันเรื่องนี้ได้ พวกเราไปหาสถานที่คุยกันเป็นเช่นไร? ”
เยี่ยเซินกับซูจิ่นซีมาถึงโรงน้ำชาแห่งหนึ่ง พวกเขาเลือกห้องหรูหราห้องหนึ่งที่คิดว่าเงียบสงบ
“เยี่ยเซิน ระหว่างพวกเราทั้งสองมีอันใดต้องพูดคุยกัน? เจ้าทำอะไรกับอวิ๋นจิ่นกันแน่? ”
เยี่ยเซินยกยิ้มมุมปากเล็กน้อย “ความกังวลใจทำให้สับสน จิ่นซี หากวันใดวันหนึ่งมีคนเอาสิ่งของของข้ามาให้เจ้าดู เจ้าจะร้อนใจเหมือนที่เห็นของของอวิ๋นจิ่นหรือไม่? ”
เยี่ยเซินพูดพลางยื่นแหวนวงนั้นคืนให้ซูจิ่นซี
ซูจิ่นซียังคงสงสัยในคำพูดของเยี่ยเซิน นางรับแหวนวงนั้นกลับมา หลังตรวจดูอย่างละเอียดแล้ว แม้จะดูเหมือนแหวนวงนั้นที่นางมอบให้อวิ๋นจิ่น ทว่ามันไม่ใช่ของจริง
ดวงตาของซูจิ่นซีปรากฏความขึงขัง “เยี่ยเซิน เจ้ากล้าหลอกข้าหรือ? ”
ซูจิ่นซีไม่คิดจะยุ่งเกี่ยวกับเยี่ยเซินอีก ยิ่งไม่คิดพูดคุยกับเขาให้มากความ จึงหันหลังเดินออกไป
เยี่ยเซินรีบเดินไปขวางหน้าซูจิ่นซี แววตาเผยความเจ็บปวด หัวคิ้วขมวดมุ่น “จิ่นซี เจ้ารังเกียจข้ามากถึงเพียงนี้เชียวหรือ? ”
ซูจิ่นซียังคงไม่สนใจ “ถอยไป! ”
เยี่ยเซินไม่ขยับ
ซูจิ่นซีชักสีหน้าดุดัน “เจ้าจะถอยหรือไม่ถอย? ”
‘ฉึก’ เข็มเงินปรากฏขึ้นในมือข้างหนึ่งของซูจิ่นซี นางปักเข็มนั้นลงไปบนหลังแขนของเยี่ยเซิน
เยี่ยเซินไม่คิดหลบเลี่ยง เข็มเงินมันวาวเล่มนั้นจึงปักอยู่ที่แขนของเยี่ยเซิน
ซูจิ่นซีขมวดคิ้ว
เยี่ยเซินยิ้มเยาะตนเอง “ซูจิ่นซี หากรู้เสียแต่ทีแรกว่าข้าห่วงใยเจ้ามากถึงเพียงนี้ ตอนนั้นไม่ว่าอย่างไร ข้าก็จะไม่ฉีกสัญญาหมั้นหมายระหว่างพวกเราทั้งสองและส่งเจ้าไปให้เสด็จอาโยวเหยา”
“เยี่ยเซิน ที่แท้เจ้ายังจดจำได้อีกหรือว่าข้าคือเสด็จอาสะใภ้ของเจ้า เจ้าแสดงท่าทีไร้มารยาทกับข้าเช่นนี้ ไม่กลัวว่าท่านอ๋องจะลงโทษเจ้าหรือ? ”
เยี่ยเซินในเวลานี้ไม่เหมือนเมื่อก่อน อำนาจในราชสำนักทั้งหมดตกอยู่ในมือของเยี่ยโยวเหยา สถานะไท่จื่อของเยี่ยเซินเป็นเพียงเปลือกนอกเท่านั้น
นึกไม่ถึงว่าเยี่ยเซินจะไม่สนใจคำเตือนของซูจิ่นซี เขายังคงขมวดคิ้วมองนาง
“จิ่นซี เรื่องระหว่างเราทั้งสองมาถึงจุดนี้ได้ ข้าก็ไม่มีอันใดจะพูด ทว่าข้าอยากถามเจ้าหนึ่งประโยค หากข้าคิดจะพาเจ้าไปด้วย เจ้าจะไปกับข้าหรือไม่? ”
ซูจิ่นซีรู้สึกว่าเรื่องนี้น่าขันยิ่งนัก แม้นางไม่ได้พูดอันใดออกมา ทว่าสีหน้าของนางกลับเผยให้เห็นว่าเรื่องเช่นนี้น่าขันอย่างมาก
แม้เยี่ยเซินจะรู้คำตอบอยู่นานแล้ว แต่เมื่อเห็นสีหน้าของซูจิ่นซี แววตาของเขาก็ปรากฏความเจ็บปวดรวดร้าว มุมปากเผยรอยยิ้มเยาะเย้ยตนเอง
“ถอยไป! ”
ซูจิ่นซีชักสีหน้าดุดันมองเยี่ยเซินที่ยืนขวางทางตน
“ซูจิ่นซี หากตอนนั้นข้าไม่ได้ฉีกสัญญาหมั้นหมายระหว่างเราทั้งสอง ไม่ได้ผลักไสไล่ส่งเจ้าให้เสด็จอาโยวเหยา เจ้าจะยังรักข้าอย่างแน่วแน่เช่นนั้นหรือไม่? ”