ภายในใจซูจิ่นซีเกิดความรู้สึกรังเกียจจนแทบสำรอกออกมา
ในเวลานี้ ซูจิ่นซีรู้สึกว่าการพูดกับเยี่ยเซินทำให้นางเสียเวลา จึงพลิกฝ่ามือวางยาพิษบนแขนของเยี่ยเซิน
เยี่ยเซินรู้สึกว่าแขนของตนเกิดอาการปวดแสบปวดร้อน จึงชักมือกลับทันที
แทบจะเป็นเวลาเดียวกันกับที่เยี่ยเซินปล่อยมือ ซูจิ่นซีรีบผลักประตูและเดินออกไปอย่างรวดเร็ว
หลังจากเดินไปได้เพียงสองก้าว ซูจิ่นซีก็หยุดเดิน ทว่าไม่ได้หันหลังกลับไป
“เยี่ยเซิน ข้าไม่ต้องการเกี่ยวข้องอันใดกับเจ้า แม้ตอนนั้นเจ้าไม่ได้ถอนหมั้น ข้าก็จะถอนหมั้นด้วยตนเอง”
ซูจิ่นซีพูดจบก็เดินออกจากโรงน้ำชาทันที
เยี่ยเซินยังคงยืนอยู่ที่เดิม ใบหน้าแปรเปลี่ยนเป็นยิ้มเยาะตนเอง
ซูจิ่นซีเคยแสดงท่าทีเย็นชาต่อเขา แต่เขากลับคิดว่านางจงใจแสร้งทำเป็นปฏิเสธ เพื่อเรียกร้องความสนใจจากเขาเท่านั้น
ทว่าที่แท้ภายในใจของนางไม่มีเขาแม้แต่น้อย
ใต้หล้านี้ เกรงว่าไม่มีเรื่องใดน่าขันยิ่งกว่านี้อีกแล้ว
องครักษ์นายหนึ่งเดินเข้ามา เห็นแขนเยี่ยเซินที่ถูกซูจิ่นซีวางยาพิษค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีดำจึงรีบเรียกคนที่อยู่ด้านนอก “รีบไปตามหมอมาเดี๋ยวนี้”
“ไม่ต้อง! ”
เยี่ยเซินพูดพลางรวบรวมพลังลมปราณที่กลางฝ่ามืออีกข้างหนึ่งและส่งพลังไปยังแขนข้างที่ถูกยาพิษ ขับพิษจากหัวไหล่ให้ไหลลงมาที่ใจกลางฝ่ามือ
องครักษ์เป็นกังวล “ฝ่าบาท ทำเช่นนี้ไม่ได้นะพ่ะย่ะค่ะ! แขนของฝ่าบาทจะพิการได้”
เยี่ยเซินไม่สนใจคำทัดทานขององครักษ์ เขาเพียงยกยิ้มแผ่วเบา “ชีวิตคนดั่งความฝัน มีกี่คราที่สุขสันต์”
ชีวิตคนดั่งความฝัน มีกี่คราที่สุขสันต์?
แน่นอนว่าองครักษ์ไม่เข้าใจประโยคนี้
ตอนที่ลวี่หลีเดินตามซูจิ่นซีมาด้วย นางถูกเยี่ยเซินขวางไว้ให้ยืนรออยู่หน้าประตูโรงน้ำชา ไม่ให้เดินตามเข้าไป
ลวี่หลียืนอยู่หน้าประตู ชะเง้อคอสอดสายตาเข้าไปในโรงน้ำชา ไม่รู้ว่าไท่จื่อมีเรื่องอันใดจะพูดกับพระชายา
ยิ่งไม่รู้ว่าตนเองควรรออยู่ที่นี่ หรือกลับจวนอ๋องและตามองครักษ์มาช่วย
ลวี่หลีกำลังรอด้วยความร้อนใจเหมือนมดที่อยู่ในกระทะร้อน
เมื่อเห็นซูจิ่นซีเดินออกมา จึงรีบวิ่งเข้าไปหา “คุณหนู ท่านออกมาแล้ว บ่าวร้อนใจจะตายอยู่แล้วเจ้าค่ะ” นางเดินไปยังข้างกายซูจิ่นซีและกระซิบว่า “ไท่จื่อทำอันใดท่านหรือไม่? ”
“เขาจะกล้าทำอันใดข้า? ”
ลวี่หลีถอนหายใจด้วยความโล่งอก “ไม่มีอันใดก็ดีแล้วเจ้าค่ะ คุณหนู พวกเรารีบกลับกันเถิด! ”
ลวี่หลีพูดพลางดึงซูจิ่นซีกลับจวนโยวอ๋องอย่างรวดเร็ว
ในสายตาของลวี่หลี สถานะของซูจิ่นซีกับเยี่ยเซินนั้น หากพวกเขาทั้งสองพบปะพูดคุยกันตามลำพังต้องเป็นเรื่องใหญ่แน่นอน
ซูจิ่นซีเป็นพระชายาโยวอ๋อง ทว่าไปพบกับบุรุษที่ยังไม่ได้สมรส ทั้งยังเป็นถึงไท่จื่ออีกด้วย หากท่านอ๋องล่วงรู้เข้า นางที่เป็นบ่าวรับใช้ข้างกายพระชายา ต้องหัวขาดอย่างแน่นอน
“พระชายา! ”
ทั้งสองเดินออกมาได้ระยะหนึ่ง จู่ๆ ก็มีเสียงบุรุษดังขึ้นจากทางด้านหลัง
ซูจิ่นซีหันหลังกลับไป เป็นองครักษ์ของเยี่ยเซิน
องครักษ์ถือป้ายหยกลายมังกรยื่นให้ซูจิ่นซีและพูดว่า “พระชายา ไท่จื่อรับสั่งว่าต่อไปภายหน้า หากท่านไม่สามารถอยู่ข้างกายโยวอ๋องได้ ให้ท่านนำป้ายหยกนี้ไปหาไท่จื่อ พระองค์สามารถหาสถานที่ปลอดภัยให้ท่านได้พ่ะย่ะค่ะ”
ซูจิ่นซีมองป้ายหยกนั้นโดยไม่พูดอันใด ก่อนจะหันหลังเดินจากไป
องครักษ์รีบเดินเข้ามาขวางหน้าซูจิ่นซี “พระชายา ได้โปรดรับป้ายหยกนี้ไว้ มิฉะนั้นกระหม่อมไม่ทราบว่าจะทูลต่อไท่จื่อเช่นไร”
ซูจิ่นซีชักสีหน้าเย็นชา “เจ้าจะกลับไปทูลเช่นไร เกี่ยวอันใดกับข้าด้วย? อีกอย่าง… จากสถานการณ์ปัจจุบันของไท่จื่อ เขาควรสร้างบารมีไว้ให้มาก สุนัขฉลาดย่อมไม่ขวางทาง หลีกไปให้พ้น! ”
องครักษ์ยังคงยืนนิ่ง
ลวี่หลีกลัวว่าเยี่ยเซินจะออกมาด้วยตนเอง หรืออาจมีใครมาเห็นซูจิ่นซีกับองครักษ์ของเยี่ยเซินในยามดึกดื่นและนำเรื่องนี้ไปพูดในทางไม่ดี จึงรีบเดินไปเตะองครักษ์ผู้นั้น
“สุนัขฉลาดไม่ขวางทาง เจ้าไม่ได้ยินหรือ? ”
องครักษ์จนปัญญา ทำได้เพียงหลีกทางให้ ลวี่หลีรีบดึงซูจิ่นซีเดินจากไปอย่างรวดเร็ว
พวกนางออกมาไกลจากตรอกที่พูดคุยกับเยี่ยเซินแล้ว ทว่าลวี่หลียังคงดึงซูจิ่นซีให้เดินอย่างรวดเร็ว
ซูจิ่นซีเห็นท่าทางของลวี่หลี จึงแย้มยิ้มด้วยความขบขัน
ลวี่หลีหันศีรษะไปมองซูจิ่นซี เห็นว่านางแย้มยิ้มอย่างสุขใจจนหน้าเป็นลูกซาลาเปา “คุณหนู ท่านยังมีใจแย้มยิ้มอยู่อีกหรือเจ้าคะ”
“หากไม่ยิ้ม เจ้าจะให้ข้าร้องไห้หรือ? ”
“คุณหนู หากมีใครล่วงรู้เรื่องในวันนี้เข้า ถ้าอยู่ในจวนต้องถูกโยนลงบ่อเป็นแน่ แม้ไม่ได้อยู่ในจวน คนทั่วไปก็จะลงโทษโดยการจับไปขังไว้ในเล้าหมู ไม่รู้ว่าหากท่านอ๋องรู้เรื่องนี้จะลงโทษอย่างไร ใจของบ่าวแทบจะเต้นไม่เป็นจังหวะอยู่แล้ว คุณหนูยังล้อเล่นบ่าวอีก”
ขังเล้าหมู? โยนลงบ่อ?
ซูจิ่นซีนึกไม่ออกว่าเยี่ยโยวเหยาต้องการลงโทษเช่นไร แต่นางไม่คิดว่าในจวนโยวอ๋องจะมีกฎการลงโทษเช่นนี้
นางทะลุมิติมายุคโบราณตั้งนาน ทว่าไม่เคยออกมาเดินเล่นในยามค่ำมืดดึกดื่นเช่นนี้ ทั้งยังเดินอยู่กับบ่าวรับใช้อย่างลวี่หลี พูดจาหัวร่อต่อกระซิกกันอย่างสนุกสนาน
เมื่อเดินมาถึงหน้าประตูจวนโยวอ๋อง ซูจิ่นซีก็เห็นซูอวี้เดินเข้ามาหาด้วยท่าทีลนลาน
“พี่จิ่นซี พี่กลับมาเสียที”
“เกิดอันใดขึ้น? ”
ซูอวี้หันไปมององครักษ์หน้าประตูจวนโยวอ๋องที่ยืนอยู่ซ้ายขวา จึงปิดปากเงียบสนิท
ซูจิ่นซีรู้ทันทีว่าต้องเป็นเรื่องที่ไม่สะดวกให้ผู้อื่นล่วงรู้
นางเหลือบไปเห็นกระเป๋ายาบนไหล่ของซูอวี้ “ดึกดื่นเช่นนี้ เจ้าจะไปที่ใด? ”
“ได้ข่าวมาว่าชาวบ้านหลายคนในเมืองได้รับพิษ อวี้เอ๋อร์จึงคิดจะกลับไปที่จวนสกุลซู และพาบรรดาหมอจากหอโอสถไปช่วยเหลือขอรับ”
มีคนในเมืองถูกพิษ?
ระหว่างทางเดินกลับ นางกับลวี่หลีไม่ได้ยินใครพูดว่ามีคนได้รับพิษเลย!
“ชาวบ้านถูกพิษที่ใด? บอกให้ละเอียด”
“ได้ยินว่าพบครั้งแรกทางใต้ของเมือง ตอนนี้ทางตะวันตกของเมืองก็มีพบอยู่บ้างขอรับ”
ภายในเมืองหลวงตี้จิงแบ่งพื้นที่เป็น ‘ตะวันตกยากจน ตะวันออกทรุดโทรม เหนือสูงศักดิ์ ใต้มั่งคั่ง’ ด้วยสถานะของซูจิ่นซี ปกติแล้วนางจะไม่เดินทางไปทางใต้และทางตะวันตกของเมือง อีกทั้งจวนโยวอ๋องอยู่ทางทิศเหนือของเมือง หากไม่ได้ยินข่าวนี้ก็เป็นเรื่องปกติ
“ทำอันใดต้องรอบคอบ หากไม่ไหวก็ส่งคนมาแจ้งข่าวให้พี่รู้ทันที”
“อืม” ซูอวี้พยักหน้ารับคำ
เขาเดินเข้าไปใกล้ซูจิ่นซี พลางใช้มือป้องปากกระซิบว่า “พี่จิ่นซี ท่านอ๋องรู้เรื่องที่พี่ไปพบไท่จื่อแล้ว ได้ยินแม่นมฮวาบอกว่าสีหน้าท่านอ๋องบูดบึ้งยิ่งนักขอรับ”
แม้ซูอวี้จะจงใจพูดเสียงเบา ทว่าลวี่หลีที่ยืนอยู่ใกล้กับซูจิ่นซียังคงได้ยินอย่างชัดเจน ใบหน้าของนางซีดเผือด ค่อยๆ หันไปมองทางตำหนักฝูอวิ๋น แววตาราวกับมองขุมนรกก็มิปาน
ซูจิ่นซีเดินเข้าไปในจวนโยวอ๋อง นางไม่ได้แวะพักที่ใด ทำเพียงเดินตรงไปยังเรือนชิงโยวทันที แม่นมฮวามายืนรอซูจิ่นซีอยู่หน้าประตูเรือนชิงโยวนานแล้ว
เมื่อเห็นซูจิ่นซีเดินมาก็รีบเข้าไปทัก
“พระชายา ท่านอ๋องทูลว่าหลังจากท่านกลับมาให้ไปหาที่ตำหนักฝูอวิ๋นทันทีเพคะ”
ซูจิ่นซีอดขมวดคิ้วไม่ได้ นางมองไปทางตำหนักฝูอวิ๋น ภายในใจครุ่นคิด ‘ทำตัวใจแคบไปได้ นางไม่ใช่คนนัดแนะเองเสียหน่อย ต้องให้แม่นมฮวามายืนรอที่นี่เชียวหรือ? ’
ทว่าซูจิ่นซีไม่ได้พูดอันใดออกมา ทำเพียงเดินไปยังตำหนักฝูอวิ๋นตามที่แม่นมฮวาถูกกำชับ
ซูจิ่นซีไม่ได้คิดอันใด ทว่าแม่นมฮวากับลวี่หลีที่ยืนอยู่ด้านหลังกลับมองซูจิ่นซีด้วยแววตากังวล
สายตาของพวกนางจับจ้องซูจิ่นซีที่เดินเข้าไปในตำหนักฝูอวิ๋น ทันใดนั้นแม่นมฮวาก็พูดขึ้นอย่างไม่มีหัวไม่มีหาง “ลวี่หลี! เจ้าคิดว่าข้าไปเตรียมตั้งไฟทำน้ำแกงไก่ตุ๋นโสมดีหรือไม่? ”