ท่วงทำนองที่เพราะจับใจเผยให้เห็นอารมณ์และความรู้สึกอันซับซ้อนในความคิดของลูเซียนอย่างหมดเปลือก ทั้งความอ่อนโยน ความสังเวชใจ และความคิดมากมาย ไม่ต่างกับทะเลสาบที่สะท้อนแสงภายใต้แสงจันทร์ นำพาผู้ฟังไปสู่โลกเสมือนฝันที่เต็มไปด้วยอารมณ์ความรู้สึกของลูเซียน
ผู้ฟังต่างลืมความกังวลและความไม่สบายใจที่ต้องเผชิญอยู่แทบตลอดเวลา และเริ่มพิจารณาถึงชีวิต จนหลายๆ คนมีน้ำตานองหน้า…
กระบวนแรกของเพลงจบลง และกระบวนที่สองที่เต็มไปด้วยความรื่นเริงก็บรรเลงต่อในทันที ราวกับว่ากำลังปลอบประโลมหัวใจของทุกคน อารมณ์แปรเปลี่ยนอย่างไร้ที่ติ
นักดนตรีทั้งหลายที่ร่วมเป็นสักขีพยานต่างมองหน้ากันด้วยความประหลาดใจ พวกเขาล้วนมีอารมณ์อ่อนไหวกว่าบรรดาขุนนางและสามัญชนที่ไม่ได้เข้าใจดนตรีอย่างลึกซึ้ง เหล่านักดนตรีสังเกตได้ว่าไม่มีการหยุดพักระหว่างทั้งสอง กระบวน แต่กลับสามารถนำพาผู้คนข้ามผ่านอารมณ์ได้อย่างยอดเยี่ยมและลื่นไหล
นักดนตรีเหล่านั้นไม่ได้ฟังเพื่อหาข้อบกพร่อง แต่ฟังอย่างตั้งใจ เพราะนี่ถือเป็นโอกาสทองที่จะได้รับฟังการบรรเลง ‘เพลงแสงจันทร์’ ของลูเซียน อีวานส์ ด้วยหูตัวเองจากบนเวที สิ่งเดียวที่พวกเขาต้องการก็คือการดื่มด่ำกับความงดงามของดนตรี
กระบวนเพลงที่สองอันรื่นเริงก็ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นจังหวะที่หนักแน่นขึ้น แต่ขณะที่ผู้ฟังกำลังจะเข้าถึงความปิติของกระบวนเพลงที่รื่นเริงนี้ ลูเซียนก็พาทุกคนไปสู่กระบวนที่สาม
ท่วงทำนองที่เต็มไปด้วยความปรารถนาอันแรงกล้าเข้าเกาะกุมหัวใจของทุกคน จนต่างรู้สึกถึงความกระตือรือร้นและความตึงเครียด ราวกับกำลังเด็ดดอกไม้จากริมหน้าผา
ทุกคนกำลังเฝ้ามองมือของลูเซียนกระโดดไปมาและเต้นรำอยู่บนคีย์บอร์ดเปียโน ราวกับว่ามือคู่นั้นได้รับพลังจากพรจากพระเจ้า ฉะนั้น ความปรารถนาอันแรงกล้าจึงเข้าถึงและส่งผ่านอย่างไหลลื่น การเคลื่อนไหวของเขาบนเวทีช่างมีเสน่ห์และความปรารถนาอันแรงกล้าของเขาก็ช่างแตกต่างจากห้วงอารมณ์ที่เขาเป็นบรรเลงภายใต้กระบวนเพลงแรก ซึ่งก่อความรู้สึกที่แตกต่างอย่างสุดขั้ว
โน้ตคีย์สูงที่เป็นเอกลักษณ์บรรเลงจบอย่างงดงาม ทันใดนั้นผู้คนต่างรู้สึกผ่อนคลายจากความเข้มข้นในการบรรเลงเปียโนของลูเซียน เสียงตบมือก็ดังขึ้นราวกับเกลียวคลื่น
เบ็ตตี้ซึ่งมีสะพายธนูไขว้หลังพูดกับโจแอนนาและไซมอนด้วยความเป็นสุข “เทียบกับการบรรเลงของท่านอีวานส์ เพลงแสงจันทร์ที่เราเคยได้ยินมาก่อนหน้านี้ไร้ค่าไปเลย มีเพียงท่านอีวานส์เท่านั้นที่ถ่ายทอดพลัง ความเศร้า แล้วความสุขในเพลงนี้ได้!”
ในช่วงสามที่ผ่านมา นางมีความเป็นมืออาชีพมากยิ่งขึ้นในการเข้าถึงสุนทรียภาพของดนตรี
“ใช่แล้ว ท่านอีวานส์เป็นนักดนตรี ไม่ใช่นักเล่นดนตรีธรรมดาๆ” โจแอนนามองที่กำแพงคริสตัลเหนือจัตุรัสแล้วจะยิ้มออกมา “เบ็ตตี้ ข้าจำได้ท่านอีวานส์เคยสัญญาว่าเขาจะเล่นเพลงให้เจ้าฟัง ใช่ไหม?”
หน้าของเบ็ตตี้แดงระเรื่อ “อย่าแซวข้าเลย ข้ารู้ว่ายังมีหนทางอีกยาวไกลกว่าจะปลุกพรได้ แต่ข้าจะพยายามให้หนักขึ้น!”
ลูเซียนเคยสัญญาว่าเขาจะบรรเลงเพลงให้เบ็ตตี้ฟัง ถ้าหากนางสามารถปลุกพรและกลายเป็นอัศวินได้สำเร็จ
“ราชรัฐไวโอเล็ตเป็นที่ที่เหมาะกับการปลุกพรของเรา เราอยู่ใกล้กับเทือกเขาแห่งความมืดมาก” ไซมอนเอ่ย ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เขามีพัฒนาการขึ้นมากจากการฝึกในฐานะอัศวินฝึกหัดระดับสูง แล้วตอนนี้ เขาใกล้เคียงกับการปลูกพรมากขึ้น
เบ็ตตี้พยักหน้ารับ แล้วก็มองไปยังนักดนตรีหนุ่มบนเวทีซึ่งกำลังพักช่วงสั้นๆ แล้วตอบพร้อมกับยิ้มหวาน “ข้ารู้ว่าท่านอีวานส์ต้องการกระตุ้นให้ข้ามีความพยายาม ข้าไม่หวังให้เขาบรรเลงเพลงให้ข้าฟังหรอก แค่มีโอกาสได้ดูการแสดงของเขาก็พอแล้ว แต่ข้ายังต้องฝึกหนักและคอยกระตุ้นเตือนตัวเองตลอดเวลา”
ขณะปรบมือ กลินตันพูดกับผู้ฟังข้างๆ เขา “มหัศจรรย์! แค่ได้ฟังท่านอีวานส์บรรเลงเพลงแสงจันทร์ข้าก็อิ่มเอมกับการแสดงนี้แล้ว ข้าเชื่อว่าไม่มีใครเทียบกับท่านอีวานส์ได้หากต้องบรรเลงเพลงแสงจันทร์! นี่เป็นวิธีที่ปรมาจารย์แแห่งดนตรีบรรเลงเพลง!”
ณ เฉลียงที่นั่งของพวกขุนนางในโรงละครซาล์มฮอล
“ข้าเข้าใจล่ะ… ไม่ควรมีการหยุดระหว่างแต่ละกระบวน แล้วความแตกต่างของอารมณ์จะเห็นได้ชัดและโครงสร้างจะโดดเด่นขึ้น” นาตาชาพูดพึมพำ “มิน่าล่ะ ตอนที่ข้าเล่น ข้ารู้สึกเหมือนขาดอะไรไปบางอย่าง… เขาไม่พูดถึงเลยในจดหมาย…”
“บางทีเขาอาจคิดว่าฝ่าบาทน่าจะเข้าใจเองได้พะยะค่ะ” คริสโตเฟอร์หยอกล้อ
ตั้งแต่ลูเซียนออกจากนครอัลโต้และเริ่มการเดินทาง เขาเขียนจดหมายหาเจ้าหญิงนาตาชาเพียงคนเดียวเท่านั้น แม้กระทั่งจดหมายถึงครอบครัวก็จะส่งไปที่นาตาชาก่อน แล้วนางจึงส่งต่อ แม้หลายคนจะสรุปว่านี่เป็นวิธีที่สะดวกที่สุด แต่ก็มีคนอีกมากที่เชื่อว่าน่าจะมีบางอย่างระหว่างนักดนตรีหนุ่มกับเจ้าหญิง ตามที่มีเสียงซุบซิบนินทา
นาตาชาไม่ได้ใส่ใจกับคำหยอกล้อดังกล่าว แต่ยังคงพูดถึงความสำคัญของวิธีการบรรเลงดนตรีของแต่ละคนกับคริสโตเฟอร์
เมื่อได้ยินการอภิปรายของทั้งคู่ แกรนด์ดยุกก็หลุดจากภวังค์แห่งความทรงจำอันหวานชื่นและข่มขืนที่เกิดจากดนตรี เมื่อแกรนด์ดยุกมองไปยังนาตาชา เขาก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย แต่ก็มองหน้านาตาชาด้วยความโล่งใจ
นักดนตรีและนักเล่นดนตรีทั้งหลายกำลังเปรียบเทียบการบรรเลงของลูเซียนกับการบรรเลงเพลงเดียวกันของตัวเองและพยายามหาจุดที่จะพัฒนาทักษะของตน แต่ก็ไม่ใช่การพยายามเลียนแบบแบบฉบับของลูเซียน เพราะเพลงแสงจันทร์ในความคิดของแต่ละคนก็แตกต่างกัน
…
หลังจากพักช่วงสั้นๆ ลูเซียนก็เริ่มบรรเลงเพลง ‘โซนาตาแห่งเวทนา’
เพลงนี้ให้ความรู้สึกที่คุ้นเคยอย่างมาก แต่เมื่อเทียบกับครั้งแรกที่ลูเซียนเล่นโซนาตาเพลงนี้ ความเชื่อว่าทุกคนไม่ควรล้มเลิกความฝันแม้ว่าจะมีอุปสรรคมากมายในชีวิตกลับโดดเด่นขึ้นกว่าเดิม และทุกคนก็เข้าใจและเข้าถึงสุนทรียภาพของดนตรีแนวนี้มากขึ้น
เมื่อเขาบรรเลงเพลงโซนาตาแห่งเวทนาจบ ลูเซียนก็ไออย่างหนักหน่วงอยู่บนเวทีโดยใช้มือขวาปิดไว้ที่ปาก ฟรานซ์ เกรซ แฟบบรินี และอีกหลายๆ คนที่รับรู้ปัญหาสุขภาพของลูเซียนต่างรู้สึกเป็นกังวล
แต่โชคดี เพียงไม่นานลูเซียนก็หยุดไอ เขายืนขึ้นด้วยแก้มที่แดงปลั่งและแสดงความขอบคุณผู้ชมตามธรรมเนียมปกติ แล้วเขาก็นั่งลงบนเก้าอี้เปียโนอีกครั้ง
“ท่านอีวานส์จะแสดงทักษะอะไรให้เราดูอีก?” แฟบบรินีถาม เนื่องจากท่อนนี้เป็นการบรรเลงเดี่ยว แฟบบรินีเองก็ไม่รู้ว่าส่วนนี้จะออกมาเป็นอย่างไร
เขาคิดว่าฟรานซ์ ในฐานะผู้ช่วยของลูเซียน และเกรซ ในฐานะลูกศิษย์ของเขา อย่างน้อยก็น่าจะรู้อะไรเกี่ยวกับส่วนนี้บ้าง
ฟรานซ์ส่ายศีรษะ “ท่านอีวานส์ไม่เคยซ้อมส่วนนี้ต่อหน้าพวกเรา ไม่มีใครกล้าขอให้นักดนตรีผู้ยิ่งใหญ่อย่างท่านอีวานส์อธิบายรายการเพลงทั้งหมดในการแสดง เราสองคนก็ไม่รู้เช่นกันว่าเขาจะเล่นอะไร”
“จริง” เกรซเห็นด้วย “แต่อาจารย์เคยบอกว่าส่วนนี้จะเป็นการแสดงทักษะเปียโน คาดเดาว่าคงเป็นส่วนที่ยากมากๆ”
ตอนนั้นเอง ทั้งโรงละครซาล์มฮอลและจัตุรัสก็เงียบเสียงลง เนื่องจากทุกคนเห็นลูเซียนวางมือไว้บนคีย์บอร์ดเปียโน
แล้วลูเซียนก็เริ่มบรรเลง
ทันใดนั้น ผู้ฟังต่างคิดว่ากำลังได้ยินเสียงฝูงผึ้งจำนวนนับไม่ถ้วนกำลังบินและส่งเสียงหึ่งๆ อยู่ภายในหูของตน
จังหวะเร็วขึ้นและเร็วขึ้น เสียงของผึ้งที่บินอยู่รอบๆ กระจายไปทั่วพื้นที่ ผู้ฟังต่างตกตะลึงกับความรวดเร็วของมือลูเซียนที่พริ้วไหว จนไม่อยากเชื่อว่ามือของมนุษย์จะเคลื่อนไหวได้รวดเร็วปานนั้น!
ยิ่งเร็วขึ้นและเร็วขึ้น ผู้คนก็เริ่มจะบ้าคลั่งด้วยความปรารถนาอันแรงกล้าในดนตรี
แม้ว่าท่วงทำนอง ‘ผึ้งบิน’ จะกินเวลาเพียงไม่กี่นาที แต่เมื่อลูเซียนกดโน้ตคีย์สุดท้าย ผู้ฟังก็ต้องใช้เวลาหลายวินาทีก่อนจะเรียกสติคืนมาและเริ่มส่งเสียงโห่ร้องกึกก้องให้กลับนักดนตรีหนุ่มผู้ยิ่งใหญ่คนนี้!
พวกเขาไม่เคยฟังอะไรแบบนี้มาก่อน แต่กลับรู้สึกได้ถึงอิสรภาพที่ซ่อนอยู่ภายใต้ทักษะการบรรเลงของเขา
เมื่อได้เห็นทักษะการบรรเลงเปียโนอันยอดเยี่ยมของลูเซียน นักดนตรีทั้งหลายไม่เว้นแม้แต่คริสโตเฟอร์ วิกเตอร์ และโอเทลโล่ต่างพยักหน้าเรื่องความพึงพอใจ แต่ขณะเดียวกัน พวกเขาก็รู้สึกว่าส่วนนี้แปลกประหลาดและออกนอกกรอบเกินไปกว่าที่จะยอมรับได้ในช่วงเวลาปัจจุบัน
อย่างไรก็ตาม นาตาชากลับชื่นชมและเป่าปาก “สุดยอด! อยากรู้จังว่าเขาจะเร็วได้กว่านี้อีกไหม!”
นางเข้าใจดีว่าความเร็วไม่ใช่เรื่องสำคัญแต่อย่างใด ในฐานะอัศวินอาภา ความเร็วไม่ใช่ปัญหา แต่อย่างไรก็ตาม หากใครสักคนต้องการบรรเลงเปียโนด้วยความเร็วสูงและยังสามารถนำพาผู้ฟังเข้าถึงความงดงามของดนตรีได้ นั่นไม่ใช่เรื่องง่าย และเป็นทดสอบอันยิ่งใหญ่ของนักดนตรี
…
หลังจากจบท่อนบรรเลงเดี่ยว ผู้ฟังก็เริ่มพูดคุยกันเมื่อมีช่วงพักสั้นๆ เพราะยังมีบทเพลงซิมโฟนีขนาดยาวเหลืออยู่อีกสองเพลง
บางคนก็ร่ายยาวชื่นชมทักษะการอำนวยเพลงและการบรรเลงของลูเซียน บางคนก็พยายามบรรยายถึงความเร็วของมือลูเซียน และบางคนก็ถ่ายทอดความชื่นชอบต่อแรงบันดาลใจของลูเซียน…
สิบห้านาทีต่อมา ลูเซียนอยู่ในชุดทักซิโด้สีดำเดินกลับขึ้นมาบนเวที เขาโค้งคำนับให้กับผู้ฟังแล้วจึงก้าวขึ้นมายืนอยู่ต่อหน้าคณะดนตรี
คริสโตเฟอร์ลุกขึ้นยืนตัวตรง ในสมองของเขาเต็มไปด้วยความคาดหวังไม่ต่างกับนักดนตรีและผู้ฟังคนอื่นๆ พวกเขาต่างสงสัยว่าเพลงซิมโฟนี ‘ดินแดนใหม่’ จะเป็นอย่างไร
สำหรับดนตรีในนครอัลโต้ ซิมโฟนีเครื่องดนตรีกระแสหลัก เป็นอัญมณีที่ส่องประกายและมีค่าสูงสุดบนมงกุฎแห่งโลกดนตรี
ลูเซียนค่อยๆ หลับตาลง ไม้บาตองในมือขวาเริ่มขยับว่ายอากาศไปมา คณะดนตรีเดินตามคำสั่งของเขาและเริ่มบรรเลงเพลง ท่วงทำนองที่อ่อนหวานแต่ลึกซึ้งราวกับนิทานเรื่องยาวค่อยๆ ถ่ายทอดออกมา
นี่แหละ ดนตรีของลูเซียน อีวานส์! เสียงเพลงเข้าจับขั้วหัวใจของทุกคนในทันทีและทำให้นักดนตรีทุกคนที่ร่วมเป็นสักขีพยานต้องพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ
อยู่ๆ ส่วนท้ายของกระบวนแรกก็หนักแน่นขึ้นและเต็มไปด้วยพลังฮึกเหิม ทรัมเป็ตกลายเป็นตัวชี้วัดแนวดนตรีอันน่าหลงใหลของซิมโฟนีเพลงนี้มากยิ่งขึ้น
อย่างไรก็ตาม หลังจากจบกระบวนที่หนึ่ง นักดนตรีส่วนใหญ่ถึงกับขมวดคิ้ว เนื่องจากดนตรีเข้าสู่รูปแบบดนตรีพื้นบ้านและห่างไกลจากโครงสร้างซิมโฟนีดั้งเดิม
……………………