เมื่อได้ฟังดนตรีที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวขนาดนี้ นักดนตรีส่วนใหญ่ต่างรู้สึกกระอักกระอ่วนขึ้นมาเล็กน้อย อย่างไรก็ตาม ผู้ประพันธ์เพลงนี้คือลูเซียน อีวานส์ หนึ่งในนักดนตรีชั้นนำ ซึ่งเป็นที่รู้จักในจิตวิญญาณแห่งการปฏิวัติและนวัตกรรมของเขา ดังนั้น พวกเขาจึงยังคงตั้งใจฟัง
ไม่นาน นักดนตรีส่วนใหญ่ที่ไม่ได้มีพื้นเพอยู่ในนครอัลโต้ต่างรู้สึกถึงความปรารถนาอันแรงกล้าที่ถ่ายทอดออกมา และย้ำเตือนพวกเขาถึงชีวิตวุ่นวายที่แบกรับเมื่อมาถึงอัลโต้ครั้งแรก
ชีวิตในอดีตวันนั้นช่างวุ่นวายแสนสาหัส เพราะเขาต้องทำงานหนักทุกวันเพื่อหาเลี้ยงชีวิตในฐานะนักเล่นดนตรี ด้วยเวลาว่างอันน้อยนิด พวกเขาก็ต้องเคร่งเครียดกับการแสวงหาท้วงทำนองหรือการเล่นเครื่องดนตรี แม้มือของตนจะเจ็บปวดเพียงไหน แต่พวกเขาจะพบความสงบได้จากดนตรีเท่านั้น
และเมื่อทุกคนได้ฟังดนตรีแนวใหม่ ซึ่งมาจากดนตรีพื้นเมืองอันมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวของประเทศอื่น โลกใหม่ของดนตรีก็ทำให้ผู้ฟังต่างตกตะลึง ไม่ต่างกับตอนที่พวกเขามาถึงอัลโต้แรกๆ และได้ยินเสียงดนตรีของที่นี่ รูปแบบดนตรีที่แตกต่างอย่างชัดเจนทำให้พวกเขาเกิดความเข้าใจใหม่ๆ ในดนตรีและได้พบเจอกับประสบการณ์ใหม่ๆ อย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
คิ้วที่ขมวดแน่นของคริสโตเฟอร์ค่อยๆ ผ่อนคลายลง เขามีความทรงจำมากมายอยู่ในหัว
ด้วยความฝันทางด้านดนตรีของเขา คริสโตเฟอร์ออกจากบ้านเกิดเมืองนอนและมาถึงอัลโต้หลังจากผ่านความยากลำบากมามากมาย อย่างไรก็ตาม นครอัลโต้เป็นเมืองที่ไม่เคยขาดนักดนตรีและนักดนตรีพรสวรรค์ คริสโตเฟอร์รู้ว่าหากไม่มีความสามารถอันโดดเด่นและทักษะการบรรเลงอันยอดเยี่ยม ไม่มีทางที่เขาจะสามารถอยู่ในเมืองนี้ได้อย่างสุขสบาย
ดังนั้น คริสโตเฟอร์ไม่มีตัวเลือกอื่นนอกจากต้องเล่นดนตรีตามริมถนน สมัยนั้น เขาดำรงชีวิตอยู่ได้ด้วยเศษเงินเล็กน้อยจากคนแปลกหน้า ระหว่างช่วงเวลาคืนแล้วคืนเล่า คริสโตเฟอร์ก็ศึกษาดนตรีจากอัลโต้อย่างบ้าคลั่ง ขณะเดียวกัน เขาก็ต้องเก็บเงินบางส่วนเพื่อเรียนวิธีการอ่านและหาหยิบยืมหนังสือ
ด้วยความบังเอิญ เขาได้พบกับเลสซิง คนที่เปลี่ยนชีวิตของเขาจากหน้ามือเป็นหลังมือและเปิดประตูต้อนรับเขาสู่โลกแห่งซิมโฟนี
เมื่อเขาได้ฟังซิมโฟนีครั้งแรก เขาก็รู้สึกเหมือนได้มาถึงดินแดนแห่งใหม่
คริสโตเฟอร์รู้สึกว่าดนตรีของลูเซียนย้ำเตือนใจให้เขาคิดถึงประสบการณ์ในอดีตอย่างไร้ที่ติ แม้ว่าเขาจะมีต้นแบบที่ชัดเจนของรูปแบบดนตรีอยู่ในใจก็ตาม
หลังจากนั้น คณะดนตรีก็เริ่มบรรเลงพร้อมกัน ท่องทำนองเต็มไปด้วยความปรารถนาอันแรงกล้าราวกับคลื่นทะเลอันทรงพลัง แล้วรูปแบบรองของดนตรีก็บรรเลงออกมา ขลุ่ยและปี่นำพาความเศร้าและความรู้สึกโดดเดี่ยวมาสู่รูปแบบดนตรีรูปแบบรองนี้
โครงสร้างใหม่ของดนตรีทำให้นักดนตรีที่ได้รับฟังประหลาดใจ เมื่อจบกระบวนแรก พวกเขาก็สัมผัสได้ถึงท่อนย้อนความที่ถูกเรียบเรียงด้วยวิธีการอันมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว หลังจากการสลับกันนำของเครื่องดนตรีและการหน่วงจังหวะหลายครั้ง ท่อนย้อนความก็เริ่มในที่สุด
ขุนนางและสามัญชนส่วนใหญ่ไม่ได้สัมผัสถึงโครงสร้างดนตรีอันเคร่งครัด แม้พวกเขาจะรู้สึกได้ว่าซิมโฟนีเพลงนี้แตกต่างจากเพลงที่พวกเขาเคยฟังมาก่อน และบางคนอาจบอกได้ว่าท่อนไหนที่ประหลาดออกไป แต่ทุกคนก็เห็นตรงกันว่า เพลง ‘ดินแดนใหม่’ เป็นบทประพันธ์ชิ้นเอกที่โดดเด่นและเพราะจับใจ
พวกเขากำลังฟังดนตรีด้วยใช้หูและหัวใจ
หลังจากหยุดพักครู่หนึ่ง ลูเซียนก็ยกไม้บาตองขึ้นอีกครั้ง พร้อมกับหรี่ตาลงเล็กน้อย ท่อนเสียงต่ำทำให้ผู้ฟังตกบรรยากาศที่ลึกลับแต่เศร้าหมอง ลูเซียนมีความทรงจำมากมายอยู่ในหัว และความทรงจำพวกนั้นก็กลายเป็นภาพต่างๆ ให้เขาคิดถึง
เขาคิดถึงครอบครัวและสหาย และความทรงจำที่ทุกคนได้อยู่ด้วยกันยังคงชัดเจน วิกเตอร์ซึ่งมีเมตตา โอบอ้อมอารี และมีความเป็นธรรมเสมอ ให้ความช่วยเหลือและสนับสนุนเขามากมาย ลุงโจเอลและป้าอะลิซ่าก็ดูแลเขาราวกับเป็นพ่อแม่ ซึ่งยังให้เขาหยิบยืมเงินเก็บและทำทุกอย่างเพื่อปกป้องเขาจากพวกอันธพาล สหายของเขา จอห์น เลือกที่จะสู้เคียงข้างกับเขาตอนที่เผชิญกับพวกอันธพาล นาตาชา เจ้าหญิงผู้มีอารมณ์ขันและใจกว้างดั่งมหาสมุทร คอยให้ความช่วยเหลือเขาโดยไม่เคยหวังผลตอบแทน และทั้งคู่ยังผ่านเรื่องราวมากมายมาด้วยกัน…
เขายังคิดถึงกระท่อมหลังเก่าโกโรโกโสในเขตอะเดรอน ลูเซียนต้องซ่อมประตูไม้ด้วยตัวเอง และใต้ดินยังมีห้องทดลองเวทมนตร์ที่ถูกทำลายลงแล้ว สมัยที่อยู่ในกระท่อมหลังนั้น ลูเซียนศึกษาวิธีการอ่านหนังสือ สู้กับพวกนอกรีตจากอาร์เจนต์ ฮอร์น และกลายเป็นนักเวทฝึกหัด…
เขาก็คิดถึงคฤหาสน์บ้านสวน แม้ว่าจะได้อยู่ที่นั่นเพียงไม่กี่เดือน เขายังจำได้ดีถึงก้อนอิฐก้อนหินและเถาวัลย์ที่ขึ้นปกคลุมกำแพง ภายในคฤหาสน์บ้านสวนหลังนี้ ลูเซียนได้บรรเลงเพลง ‘แด่ซิลเวีย’ และ ‘แสงจันทร์’ และที่นั่น ลูเซียนก็ได้รับรู้ถึงการมีอยู่ของ ‘สภาเวทมนตร์’ จากปากของไรน์
เขาคิดถึง ‘สมาคมนักดนตรี’ พรมปูพื้นที่หนานุ่ม บรรยากาศที่เงียบสงบ ห้องสมุดขนาดใหญ่ และห้องซ้อมดนตรีที่ออกแบบอย่างดี… สถานที่พวกนี้เป็นสักขีพยานในการฝึกซ้อมดนตรีนับครั้งไม่ถ้วน ซึ่งทำให้ลูเซียนเดินทางมาไกลจนถึงทุกวันนี้…
ภาพเหล่านั้นยังคงอยู่ในความทรงจำของลูเซียน แต่ที่ชัดเจนยิ่งกว่าก็คือความจริงที่ว่าลูเซียนกำลังจะบอกลาทั้งหมดที่กล่าวมา
ความเศร้าสร้อยถูกเปลี่ยนเป็นโน๊ตดนตรีที่พรั่งพรูผ่านไม้บาตองของลูเซียน
แล้วเสียงปี่ก็บรรเลงท่อนทำนองที่ไพเราะจับใจ ซึ่งประกอบด้วยทั้งความปิติและความข่มขืน ท่วงทำนองท่อนนี้เกาะกุมหัวใจของผู้ฟัง
คริสโตเฟอร์รู้สึกเหมือนเขาอยู่ในความฝัน จังหวะนั้นเอง เขารู้สึกว่าเขาได้กลับไปยังเมืองเล็กๆ ที่เป็นบ้านเกิด เขาเดินสำรวจอาคารสองชั้นหลังเก่าต่างๆ ที่ยังคงดูเก่าและเศร้าเหมือนเดิม ไม่ว่าจะมีการเล่าลือถึงเรื่องผีสางในอาคารพวกนั้นหรือไม่ก็ตาม เขาก็ยังอยากรู้ว่าแม่น้ำที่ลัดเลาะรอบเมืองยังคงใสสะอาด และต้นแอปเปิ้ลหน้าบ้านเก่ายังคงออกผลหรือไม่… รวมถึงหญิงสาวที่เขาเคยชอบพอสมัยหนุ่มๆ จะมีริ้วรอยบนใบหน้ามากมายเหมือนเขาหรือไม่ และครอบครัวของเขายังคงกลับไปเยี่ยมเยียนหลุมฝังศพของบรรพบุรุษหรือไม่…
ท่วงทำนองนี้ทำให้คริสโตเฟอร์รู้สึกถึงความอาลัยอาวรณ์อย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
เบ็ตตี้ โจแอนนา และไซมอนต่างก็ตกอยู่ในภวังค์ความคิดของตนขณะฟังดนตรีเพลงนี้ พวกเขาคิดถึงภูเขาและถนนที่วกไปวนมาในจิบูตี รวมถึงเรื่องเล่าอันน่าขนลุกเกี่ยวกับพวกนักเวทศาสตร์มืด พวกเขาคิดถึงเพื่อนสมัยเด็ก พ่อแม่ และบ้านหลังเก่าของตน…
เบ็ตตี้กับโจแอนนาเริ่มมีน้ำตาคลอเบ้า อยู่ๆ ทั้งคู่ก็อยากกลับบ้าน
ดนตรีเพลงนี้ยังย้ำเตือนให้โจเอลและอะลิซ่าคิดถึงเมืองเล็กๆ ทางตอนใต้ ลานหน้าบ้านที่เต็มไปด้วยเรื่องราวความรักของทั้งคู่ และแม้กระทั่งต้นไม้และก้อนหินที่นั่น ทั้งสองยังคงจำได้ถึงตะไคร่น้ำที่ขึ้นตรงมุมกำแพงหินและรสชาติของอาหารที่นั่น…
ในโลกดนตรี เกรซก็มองเห็นเมืองสเติร์ก เขาเห็นสะพานหินทอดยาวเหนือแม่น้ำ เรือไม้ที่มีรูปทรงหัวแหลม และรูปปั้นหุ่นขี้ผึ้งในพิพิธภัณฑ์ นอกจากนี้ นางยังมองเห็นพ่อแม่ที่แก่ลงทุกวันทุกวันและพี่ชายคนโตของนาง ซึ่งต้องขายแรงงานตลอดทั้งวัน…
ด้วยท่วงทำนองอันงดงามประหนึ่งเสียงสะอื้นร้องไห้ ทุกคนที่ได้รับฟังไม่ว่าจะเป็นขุนนาง นักดนตรี นักธุรกิจ หรือสามัญชนต่างก็เกิดความรู้สึกอาลัยอาวรณ์เกาะกุมหัวใจอย่างสุดซึ้ง
หลายต่อหลายคนมีน้ำตานองหน้า
หลังจากนั้น รูปแบบเพลงช่วงแรกของซิมโฟนีก็ค่อยๆ พาทุกคนกลับมาสู่โลกความเป็นจริง ความเป็นจริงที่ทุกคนต่างต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยวต่างบ้านต่างเมืองเพียงลำพัง
ไวโอลินบรรเลงจบกระบวนที่สองคอร์ดดนตรี
ไม่มีเสียงตบมือ ทุกคนต่างเงียบงัน ทุกคนต่างตกอยู่ในภวังค์ และต่างมีความทรงจำในอดีตของตน
กระบวนที่สามเริ่มขึ้นด้วยความปรารถนาอันแรงกล้าที่เต็มไปด้วยสีสันต่างๆ หลากหลาย นำพาผู้คนสู่ความงดงามและเสน่ห์ของดินแดนใหม่
แล้วกระบวนที่สี่ก็แสดงถึงความยิ่งใหญ่และความตื่นตาตื่นใจ และไล่เรียงทบทวนถึงรูปแบบดนตรีที่ผ่านมาอีกครั้งด้วยพลังอันแรงกล้าของกระบวนเพลงนี้ ซึ่งเป็นพลังจากความปรารถนาของผู้คนที่อยากกลับบ้านและความเชื่อที่ว่าสักวันหนึ่งพวกเขาจะได้กลับบ้านพร้อมกับชีวิตที่ดีขึ้น!
เหมือนกับสายน้ำหลั่งไหล กระบวนที่สี่ปิดท้ายซิมโฟนีเพลงนี้ด้วยความปิติและความหวัง
แล้วเพลง ‘ดินแดนใหม่’ ก็ค่อยๆ เบาเสียงจากไป
ความรู้สึกที่แรงกล้าของซิมโฟนีเพลงนี้เอาชนะหัวใจของทุกคนที่ได้รับฟัง เสียงตบมือดังสนั่นขึ้นจากผู้ฟังทั้งหลาย และทุกคนก็เริ่มส่งเสียงโห่ร้องแสดงความชื่นชมให้กับนักดนตรีหนุ่มและเพลงซิมโฟนี
เสียงปรบมือดังต่อเนื่องไม่หยุด จนลูเซียนต้องโค้งคำนับให้กับผู้ชมอยู่อย่างนั้น
ผู้คนยังคงปรบมือต่อไป แม้จะตบมือจนมือชาแล้วก็ตาม และใบหน้าของพวกเขาก็เต็มไปด้วยน้ำตา
ดนตรีของลูเซียนแสดงออกถึงความอาลัยอาวรณ์และความปรารถนาที่จะกลับบ้านของพวกเขา!
คริสโตเฟอร์พูดกับโอเทลโล่ วิกเตอร์ และนาตาชาด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “พรุ่งนี้ ข้าอยากกลับไปเยี่ยมบ้านเกิดเสียหน่อย”
หลังจากหยุดนิ่งไปพักหนึ่ง คริสโตเฟอร์ก็พูดต่อ “นี่เป็นเพลงจังหวะเลนโต้ที่น่าประทับใจที่สุดที่ข้าเคยฟังซิมโฟนี จนข้าลืมที่จะวิเคราะห์โครงสร้าง… บางทีเมื่อคนเรายิ่งแก่ตัวลง เขาก็ยิ่งคิดถึงบ้านเกิดเมืองนอนมากกว่าเดิม…”
……………………………
1เลนโต้เป็นจังหวะช้ามาก แต่เน้นความสง่างาม